คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1813 ฆ้องฉีเทียน
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1813 ฆ้องฉีเทียน
ไม่เพียงแค่หานลี่ นักพรตคนอื่นที่หลังจากตกใจแล้วก็ล้วนค้นพบการเปลี่ยนแปลงในร่างกาย
เพียงแต่ระดับผสานอินทรีย์ขึ้นไปนั้นมีการเพิ่มขึ้นน้อยมาก เทียบได้แค่กับการฝึกนั่งสมาธิเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น แต่สำหรับระดับหลอมสุญตานั้นถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเสียงฆ้องดังเสร็จ ก็ทำให้พวกเขามีพลังพรตเพิ่มขึ้นถึงสิบกว่าปีได้เลย
นี่ทำให้นักบำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตา ตกตะลึงเป็นอย่างมาก
แต่ตัวประหลาดเฒ่าระดับผสานอินทรีย์เหล่านั้นกลับดูตกใจไม่น้อย
แต่ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด ก็กวาดสายตาไปมองดัง “ขวับ” ล้วนมองไปยังฆ้องสีดำเขม็ง เปิดเผยความโลภออกมา ความร้อนแรงด้วยความเบิกบาน แทบอยากจะแย่งของสิ่งนี้มาให้ได้
เพียงได้ฟังเสียงของสิ่งนี้ ก็สามารถเพิ่มพลังบำเพ็ญเพียรได้เลยหรือ นี่มันช่างน่าตกใจอะไรเช่นนี้
แม้จะดูเหมือนว่าแว้งกัดเจ้าของของสิ่งนี้จะไม่เบา มันทำให้การกำเนิดปราณและโลหิตล้ำเลิศของคนที่ตีฆ้องสูญเสียไปในขณะเดียวกัน แต่ยังคงเป็นสิ่งของล้ำค่าระดับพลิกฟ้าสะเทือนแผ่นดินได้แน่นอน
หรือว่านี่จะเป็นของล้ำค่าของสวรรค์ทมิฬหรือ
การมีอยู่ของทั้งสองเผ่าเหล่านั้น ก็มีที่ลอบพึมพำออกมา
เมื่อมองไปที่ฆ้องสีดำนี้ หานลี่เองก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน และเขาก็ยังแอบสงสัยเล็กน้อย
น่าเสียดายที่จิตใจฝ่ายวิญญาณในอาณาจักรทมิฬถูกจำกัดอย่างมาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะสำรวจฆ้องดำในระยะไกลได้ มิฉะนั้นเขาเองที่เป็นเจ้าของผลของ สวรรค์ทมิฬ ยิ่งสามารถยืนยันได้กว่าผู้ใดว่าสมบัตินี้เป็นของสวรรค์ทมิฬจริงหรือไม่
เวลานี้ จอมพลังชราที่ผมเปลี่ยนเป็นสีขาวที่อยู่บนเวทีนั้น ทันใดนั้นวางค้อนทองแดงสีม่วงในมือลงบนโต๊ะหินสีดำต่อหน้าเขาด้วยความเคารพ ต่อมาแสงศักดิ์สิทธิ์ก็สว่างวาบ และหายไปจากที่ที่เคยอยู่
แต่เวลาต่อมา ก็พลันปรากฏเงาร่างอื่นขึ้นด้านฆ้องยักษ์แทน
เงาร่างนี้สวมอาภรณ์สีเงิน บนใบหน้ามีหน้ากากหน้ามังกรสีทอง ดวงตาทั้งสองข้างมีสีเขียวอย่างผิดปกติ ช่างไม่เหมือนเผ่าพันธุ์มนุษย์อย่างผิดปกติ
เมื่อคนผู้นี้ปรากฏตัวขึ้น ก็ทำให้ทุกสายตาบนศาลาลอยฟ้าจดจ้องไปที่นั่น
หลังจากที่คมพักตร์ทองกวาดดวงตาสีเขียวไปรอบด้านแล้วก็กระแอมในลำคอก่อนเอ่ยออกมาว่า
“เหอะๆ คิดว่าความมหัศจรรย์ของฆ้องฉีเทียนใบหน้านี้ สหายทุกท่านในที่นี้คงได้เห็นกับตัวแล้ว และเสียงฆ้องเมื่อครู่ ต่อให้อาณาจักรทมิฬมอบเป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ แก่ทุกท่านในที่นี้ ในขณะเดียวกัน ฆ้องฉีเทียนก็เป็นหนึ่งในของล้ำค่ารั้งท้ายที่พวกเราจะนำมาแลกเปลี่ยน และก็ถือเป็นของล้ำค่าที่จะถูกนำมาแลกเปลี่ยนเป็นชิ้นแรกในครั้งนี้ เชื่อว่ามูลค่าของของล้ำค่าชนิดนี้ จะไม่ทำให้ทุกท่านผิดหวัง”
“อะไรนะ ของนี้นำมาแลกเปลี่ยนจริงๆ น่ะหรือ” แม้ว่าคนส่วนใหญ่ในที่นั้นจะเดาได้หลายส่วนแล้ว แต่เมื่อได้ฟังบุรุษใบหน้าสีทองเอ่ยออกมาดังนี้ ก็มีคนประหลาดใจเสียจนเสียงหายไปเลย
“ทำได้เพียงนำของล้ำค่าที่ข้าพอใจออกมา จะมีอะไรที่แลกฆ้องฉีเทียนนี้ไม่ได้กัน” บุรุษใบหน้าสีทองหัวเราะเหอะๆ วาจาช่างโอหังอย่างน่าประหลาด
“อย่างนั้นก็แปลกล่ะ ข้าเองเข้าร่วมการแลกเปลี่ยนของอาณาจักรทมิฬมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แม้ว่าจะธรรมดาเทียบกับของที่อาณาจักรท่านได้นำมาแลกเปลี่ยนได้ แต่เมื่อเป็นอย่างนี้หลายครั้งเข้า ของล้ำค่าที่พลิกสวรรค์ได้เช่นนี้ ยังไม่เคยปรากฏออกมาเลยจริงๆ ยิ่งไปกว่านี้ ยังเป็นของล้ำค่าชิ้นแรกที่ถูกนำมาแลกเปลี่ยนอีกด้วย หรือว่าเพราะภัยพิบัติใหญ่เรื่องนี้ที่ใกล้จะเกิดขึ้นหรือ อาณาจักรของท่านเองก็กำลังตระเตรียมวางแผนอะไรอยู่หรือ” เสียงที่ดูแก่ชราผิดปกติ จู่ๆ ก็สะท้อนกลับไปมาในอากาศ ทำให้คนแยกไม่ออกเลยว่ามันดังมาจากศาลาหินหลังใด
หัวใจของหานลี่สั่นไหวหลังจากได้ยินเรื่องนี้ และเขารู้ดีว่าภัยพิบัติที่อีกฝ่ายกล่าวถึงจะต้องเป็นภัยพิบัติที่เลวร้ายที่ปะทุขึ้นภายในพันปีนั้นแน่
แต่เห็นได้ชัดว่าเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติมาร สองเผ่าพันธุ์ที่มาเข้าร่วมในการประชุมแลกเปลี่ยนอาณาจักรทมิฬ ท่าทางว่าต่างก็รู้อะไรสักหนึ่งหรือสองส่วน
ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครแปลกใจกับสิ่งที่เสียงชายชราพูดเมื่อครู่นี้ แต่พวกเขาแต่ละคนกลับมองไปที่บุรุษใบหน้าสีทอง เพื่อดูว่าพวกเขาตอบคำถามนี้อย่างไร
“สหายผู้นี้เอ่ยถูกแล้ว เรื่องที่เกี่ยวข้องกับการมาถึงของภัยพิบัติมาร เกี่ยวข้องกันคนทั้งหมดของเผ่าพันธุ์มนุษย์และปีศาจ ในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรทมิฬ แน่นอนว่าย่อมไม่หยิ่งทะนงที่จะอยู่เพียงลำพัง การเตรียมการบางอย่างล่วงหน้าเป็นเรื่องจำเป็น แต่มีสิ่งหนึ่งที่สหายคนนี้พูดผิดในตอนแรก แม้ว่าฆ้องฉีเทียนนี้จะวิเศษ แต่ก็ไม่ได้มีคุณค่าสูงส่งอย่างที่สหายทั้งหลายคิด จริงๆ แล้วมันเองก็มีข้อบกพร่องบางอย่างในตัวเอง เมื่อเปรียบเทียบกับของล้ำค่าก่อนหน้าที่อาณาจักรนำออกมาก่อนหน้านี้ มีบางข้อที่ด้อยกว่าเล็กน้อยจริงๆ” บุรุษใบหน้าสีทองกล่าวด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย
“ด้อยหรือ สหายพูดให้ชัดเจนอีกหน่อยได้หรือไม่ ของชิ้นนี้มิใช่ของล้ำค่าจากสวรรค์ทมิฬรึ” เสียงที่ดูเย็นชาอย่างผิดปกติ ดังขึ้นมาจากศาลาลอยฟ้าบางหลัง แต่เห็นได้ชัดถึงความผิดหวังเล็กน้อยที่อยู่ในคำพูดนั้น
“ของล้ำค่าจากสวรรค์ทมิฬรึ เหอะๆ อาณาจักรทมิฬของพวกเราแม้จะมีความสามารถนี้ แต่จะมีของล้ำค่านี่ในมือได้อย่างไรกัน ไม่แค่พวกเรา ต่อให้เป็นสามราชาทั้งเจ็ด หรือแม้แต่การมีอยู่ของมหาเมธีทั้งสองของเผ่าพวกเรา ก็มิอาจมีของล้ำค่าของสวรรค์ทมิฬครอบครองไว้ในมือได้ สมบัติของสวรรค์ทมิฬระดับนี้ ต่อให้โชคดีหลุดไปอยู่ในมือใครในเผ่าเราทั้งสองก็มีโทษร้ายแรงกระทั่งอาจล้มล้างเผ่าพันธุ์ได้เลย ไม่อย่างนั้น การโจมตีเมื่อร้อยปีก่อนจากต่างเผ่าพันธุ์ที่มีต่อเมืองเทียนหยวน จะเกิดขึ้นได้อย่างไร” บุรุษใบหน้าสีทองเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงลึกล้ำ ในคำพูดแม้ว่าจะคลุมเครือ แต่ก็รับทราบอย่างลึกล้ำถึงความหมายในนั้นของผู้อาวุโสเฒ่าระดับผสานอินทรีย์ไม่น้อย ต่างก็ล้วนหน้าเปลี่ยนสี
แต่คำกล่าวของบุรุษใบหน้าสีทองหยุดชั่วคราว น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไป แล้วเขาก็เอ่ยว่า:
“ทว่า ในเมื่ออาณาจักรนี้สามารถนำฆ้องฉีเทียนมาแลกเปลี่ยนได้ แน่นอนว่าต้องสามารถเอ่ยที่มาของมันได้อย่างชัดเจนแน่นอน หากมองมาแล้ว ของล้ำค่าชนิดนี้มีกฎของฟ้าดินอยู่ในความหมายนั้น มันมีพลังวิเศษบางอย่างที่สามารถครอบครองได้โดยของล้ำค่าจากสวรรค์ทมิฬ และที่มาจริงๆ ของสิ่งนี้ ผู้คนในอาณาจักรนี้ได้มาจากสถานที่ลับของเผ่าพันธุ์กลายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วในป่ารกร้าง เดิมทีก็ไม่สมประกอบนัก ต่างก็พลังลดลงไปมาก ตามคำอธิบายจากภาษาของเผ่าพันธุ์กลายพันธุ์ในดินแดนลึกลับนั้น สมบัตินี้น่าจะมีเป็นคู่ เป็นสมบัติของเผ่าพันธุ์กลายพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว นอกจากฆ้องฉีเทียนนี้แล้ว ยังมีค้อนสะเทือนนภา การรวมกันของทั้งสองถึงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสมบัติล้ำค่าชุดนี้ น่าเสียดายที่พวกเราค้นหาไปทั่วสถานที่ลึกลับ แต่ไม่เจอค้อนสะเทือนนภาเลย จึงต้องหาช่างฝีมือระดับปรมาจารย์หลังจากที่กลับมา และใช้ความพยายามอย่างมาก ในการเลียนแบบค้อนจากทองสัมฤทธิ์สีนั้นม่วงทองในทะเลลึกและวัสดุหายากอื่นๆ ขึ้นมาได้ แต่ของเลียนแบบนี้มิได้ถือว่าประสบความสำเร็จนัก อย่างมากก็แสดงพลังออกมาได้เพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น ในส่วนของการซ่อมแซมฆ้องฉีเทียนนั้น เนื่องจากวัสดุที่ทำขึ้นพิเศษมาก บนโลกนี้มิอาจหามาได้อีกแล้ว ทำได้เพียงรักษาไว้ซึ่งรูปร่างเดิม ไม่อย่างนั้น หากฆ้องฉีเทียนที่สมบูรณ์แบบและค้อนสะเทือนนภาของจริงรวมตัวกัน ต่อให้สู้ของล้ำค่าจากสวรรค์ทมิฬไม่ได้ เกรงว่าความมหัศจรรย์ก็คงไม่ห่างไกลกันนัก นี่มันน่าเสียดายจริงๆ! แน่นอน ถ้าไม่ใช่เยี่ยงนี้ มันเป็นไปไม่ได้ที่สมบัติชิ้นนี้จะเป็นของล้ำค่าชิ้นแรกของอาณาจักรนี้ และนำมาแลกเปลี่ยนกับทุกท่านได้แน่นอน”
“ข้าไม่สนหรอกว่าสมบัติชิ้นนี้เป็นสมบัติของสวรรค์ทมิฬหรือไม่ กุญแจสำคัญคือการได้ทราบถึงพลังวิเศษและข้อบกพร่องเฉพาะของมัน” เสียงผู้หญิงดังขึ้นเบาๆ ในความอากาศ
“แน่นอนอยู่แล้ว ข้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียดเอง อิทธิฤทธิ์ของฆ้องฉีเทียนที่สามารถกระตุ้นพลังได้ ทุกท่านคงล้วนทราบดีอยู่แล้ว เพียงแต่พลังนี้จะมีผลต่อการมีอยู่ของระดับเทพแปลงขึ้นไปเท่านั้น นักบำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงเมื่อได้ฟังหนึ่งครั้งก็จะสามารถลดเวลาบำเพ็ญเพียรได้ถึงสามสิบปี การมีอยู่ของระดับหลอมสุญตาเมื่อได้ฟังหนึ่งครั้ง ก็จะสามารถประหยัดเวลาบำเพ็ญเพียรได้ถึงสิบปี แต่สหายในระดับผสานอินทรีย์ก็น้อยจนไม่รู้จะน้อยอย่างไรเลย ทำได้เพียงประหยัดแรงไปไม่กี่เดือนเท่านั้น เพียงแต่ฆ้องนี้จะมีผลลัพธ์เพียงแค่สามครั้งแรกเท่านั้น หากเกินจากนี้ ต่อให้ได้ฟังอีกหลายครั้งเพียงใด ก็ไม่เกิดผลแล้ว และเมื่อขณะที่ฆ้องนี้กำลังส่งเสียง หากคนฟังมีจำนวนเกินจากที่กำหนดไว้ พลังก็จะกำลังลดลง ……” บุรุษใบหน้าสีทองอธิบายอย่างละเอียด
เมื่อทุกคนบนศาลาหินได้ยินว่าจำกัดจำนวนครั้ง ความปรารถนาในดวงตาของพวกเขาก็หายไป ส่วนใหญ่ส่ายหน้า ความคิดในใจต่างก็เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ไม่เพียงเท่านี้ หากต้องการตีฆ้องนี้ นักบำเพ็ญเพียรทั่วไปไม่อาจทำเรื่องนี้ได้ ต้องเลือกนักบำเพ็ญเพียรขึ้นมา เพื่อฝึกวิชาเผ่ากลายพันธุ์ที่ได้มาจากสถานที่ลึกลับ หลังจากฝึกวิชาจนได้ที่ ก็จึงจะสามารถตีฆ้องนี้ได้ แต่เนื่องจากฆ้องฉีเทียนนั้นทรุดโทรมจนไม่สมบูรณ์ คนที่มาตีฆ้องนี้ขณะที่กำลังเพิ่มพลังพรตให้ผู้อื่นนั้น ก็อาจถูกพลังจากวิชานี้ย้อนทำลายได้ การกำเนิดปราณและโลหิตวิเศษจะหายไปในขณะเดียวกัน ไม่นานก็จะสิ้นชีวิตแน่ ดังนั้นหากประสงค์จะใช้ฆ้องนี้ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการฝึกอบรมกลุ่มคนที่มีความสามารถพิเศษ ซึ่งค่อนข้างลำบาก แต่ตราบใดที่ใช้อย่างถูกต้อง ฆ้องฉีเทียนนี้ก็ยังมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักบำเพ็ญเพียรที่มีสาวกจำนวนมาก จะมีคุณค่ามาก” ดวงตาของชายหน้าทองวาววับ และในที่สุดการแนะนำก็จบลง
หลังจากฟังคำพูดของบุรุษใบหน้าสีทอง หานลี่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงตรงที่นั่งอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าฆ้องฉีเทียนนี้ไม่ได้มีประโยชน์กับเขามากนัก ตรงกันข้ามสำหรับการฝึกวิชาต่างๆ ของเผ่าแปลงกลาย ในใจพวกเขามีความสนใจต่อมันหน่อยๆ
อย่างไรก็ตาม แม้หลังจากฟังคำอธิบายของบุรุษใบหน้าสีทองแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่ามีคนจำนวนมากในศาลาลอยฟ้าก็ยังคงสนใจสมบัติชิ้นนี้
หลังจากที่ทั้งห้องโถงเงียบไปครู่หนึ่ง มีคนถามขึ้นมาว่า:
“ไม่ทราบว่าของสิ่งนี้ วางแผนจะแลกกับสิ่งใด คิดว่าหากเป็นของธรรมดา คงไม่เข้าตาอาณาจักรสูงส่งของท่านเป็นแน่”
“เหอะๆ ก็ไม่แน่หรอก ข้าจะเอ่ยนามสิ่งของไม่กี่อย่าง หากสพายทั้งหลายสามารถหามาได้หนึ่งอย่างในนั้น ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งนี้ไปได้ หากสหายพรตทั้งหมดไม่มีล่ะก็ อย่างนั้นก็ใช้ศิลาวิเศษขั้นสุดยอดหรือยาวิเศษที่บ่มด้วยไฟมากว่าพันปีจำนวนมากๆ ก็สามารถแลกเปลี่ยนได้เช่นกัน แน่นอนว่าจำนวนนี้ก็เป็นจำนวนที่ยากที่จะจินตนาการได้แน่” บุรุษใบหน้าสีทองกลับเองคำกล่าวที่ทำให้คนไม่น้อยในที่นั้นตกตะลึงออกมา
“ท่านพูดจริงหรือ!” นักพรตหญิงผู้หนึ่งที่ไม่ทราบนาม ราวกับสนใจในฆ้องฉีเทียนนี้เป็นอย่างมาก รีบถามออกมาด้วยอาการตื่นเต้น
“เมื่อข้าอยู่ที่นี่แน่นอนว่าต้องไม่มีอะไรไม่จริงแน่ ต่อมาคือต้องที่อาณาจักรข้าต้องการแลกเปลี่ยน แน่นอนไม่มีแค่ฆ้องฉีเทียนแน่ ต่อไปจะเป็นการนำของสิ่งอื่นออกมา ในขณะเดียวกันก็สามารถใช้ของสิ่งนี้แลกเปลี่ยนได้” บุรุษใบหน้าสีทองเอ่ย ก่อนพลิกฝ่ามือขึ้น ม้วนคัมภีร์หยกก็พลันปรากฏขึ้น
จากนั้นก็มีแสงวาบแห่งจิตวิญญาณ และลำแสงสีขาวครีมที่ส่องออกมาจากม้วนคัมภีร์หยก และหลังจากกระจายตัวขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือแท่นหิน ข้อความโบราณสีเงินหนาแน่นก็ปรากฏขึ้นจากอากาศ
มีรายนามของสิ่งของต่างๆ ขึ้นมากว่าร้อยอย่าง
“ผลึกทมิฬใต้พิภพขนาดหกชั่งขึ้นไป ไม้วิญญาณหิมะยาวสามจั้ง ผลโลหิตเขียวที่มีผลทางยาหนึ่งแสนปีขึ้นไป……” หานลี่มองไปยังรายนามสิ่งของต่างๆ บนจอ ในใจอดที่จะตกใจไม่ได้