คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1818 สามต่อหนึ่ง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1818 สามต่อหนึ่ง
เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของชายในลำแสงสีเลือด บุรุษใบหน้าสีทองที่เดิมทีนั่งอยู่ในมุมหนึ่งอย่างเงียบๆ ก็ยังลุกขึ้นมาในชั่วพริบตา
ถ้าหากมีคนสร้างปัญหาขึ้นในการชุมนุมใหญ่นี้ ในฐานะผู้จัดงานของอาณาจักรทมิฬย่อมมิอาจทนอยู่เฉยได้
“สหายอย่าเพิ่งเข้าใจผิดไป ข้าน้อยมิได้มีความเจตนาร้าย เพียงแค่เมฆปีศาจมีประโยชน์ต่อข้าน้อยจริงๆ สหายได้โปรดรออีกสักหน่อย ให้ข้าน้อยได้คิดหาวิธีสักครู่ว่าข้าน้อยจะสามารถนำสมบัติวิญญาณที่ใต้เท้าต้องการมาแลกเปลี่ยนได้หรือไม่ ถ้าหากยังทำไม่ได้แล้วละก็ ข้าก็จะไม่ขัดขวางสหายไม่ให้กลับไปอีก” ชายในลำแสงสีเลือดโบกมือของเขาครั้งแล้วครั้งเล่าและอธิบายอย่างร้อนรน
“ยังต้องรออีกครู่หนึ่ง? เห็นแก่ที่ท่านต้องการเมฆปีศาจจริงๆ ข้าจะรอจนกว่าชาจะหมดถ้วย ถ้าหากถึงเวลาแล้วข้ายังไม่ได้สิ่งที่ข้าต้องการ ข้าก็จะไม่อยู่ให้เสียเวลาเปล่าต่อไปอีก” หลังจากที่ชายพลังปราณสีดำลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วยในที่สุด
เห็นได้ชัดมากว่าชายในลำแสงสีเลือดนั้นจำเป็นต้องได้เมฆปีศาจไป และชายในพลังปราณสีดำนั้นก็ให้ความสำคัญกับสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าเป็นอย่างยิ่ง แม้โอกาสเพียงน้อยนิดก็ไม่อยากพลาดมันไป
เมื่อเห็นอีกฝ่ายยอมรับคำขอร้องของตนเองแล้ว ชายในลำแสงสีเลือดก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา ใจหงายใจคว่ำสองสามครา เขาลูบไปที่กำไลเก็บของด้วยมือข้างเดียวอย่างปวดใจ ทันใดนั้นคัมภีร์ม้วนโบราณสีทองสว่างไสวก็ปรากฏขึ้นที่กลางฝ่ามือ และจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาอีกครั้ง
“ปีที่แล้วๆ มาข้าน้อยเคยรอดตายจากที่ข้าถลันเข้าไปในสถานที่ที่มีซากปรักหักพังโบราณแห่งหนึ่งอย่างหวุดหวิด และได้ม้วนคัมภีร์โบราณที่มีผนึกที่ไม่ทราบชื่อมา เนื่องจากผนึกของม้วนคัมภีร์โบราณนี้ลึกลับมหัศจรรย์มาก ข้าน้อยพิจารณากับตัวเองแล้วสรุปได้ว่าหากเปิดม้วนคัมภีร์โบราณแล้วคงไม่มีทางไม่สร้างความเสียหายแก่คัมภีร์แน่ ดังนั้นข้าจึงเก็บสะสมของมีค่าชิ้นนี้เอาไว้ตลอดมา เพราะว่าผนึกทองของม้วนคัมภีร์เล่มนี้เขียนด้วยอักษรจ้วนสีทอง ข้าน้อยเต็มใจนำของชิ้นนี้และยาอายุวัฒนะจิ้งหมิงแลกกับสมบัติวิญญาณแบบโจมตีของการจัดอันดับหมื่นวิญญาณ” ชายที่อยู่ท่ามกลางลำแสงสีแดงเลือดพูดเสียงดังขึ้นด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
“อักษรจ้วนทองหรือ”
“หรือจะเป็นของที่ตกทอดออกมาจากแดนเซียนจริงๆ ”
คำพูดของชายในลำแสงสีแดงเลือดย่อมทำให้ความโกลาหลขึ้นอีกครั้ง คนจำนวนไม่น้อยต่างแสดงความสนใจออกมาในทันที
พวกเขาไม่กลัวว่าจะโดนชายในลำแสงสีแดงหลอกลวง ผนึกชนิดนี้ไม่ว่าจะเคยโดนเปิดมาก่อนหรือไม่ย่อมสามารถมองออกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น
น่าเสียดาย ถึงแม้ว่าจะใจเต้นกับการแลกเปลี่ยนนี้ไม่น้อย แต่สิ่งของที่มีอยู่ในมือนี้ก็ไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับอีกฝ่ายได้ ก็คงทำได้เพียงนั่งมองเฉยๆ อย่างช่วยไม่ได้เท่านั้น
หานลี่จ้องมองไปยังคัมภีร์โบราณสีทองนั้น ใบหน้าของเขาแสดงอารมณ์ออกมาเช่นกัน แต่ตัวเขานั้นกลับนั่งอยู่บนเก้าอี้นิ่งไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อมองไปรอบทิศทางและเห็นว่าไม่มีผู้ใดขึ้นมาบนศาลาหินเพื่อทำการแลกเปลี่ยน ไม่เพียงแต่ร่างในลมปราณสีดำจะแสดงความผิดหวังออกมาเรื่อยๆ ร่างที่อยู่ในลำแสงสีเลือดเองก็ยิ่งกระสับกระส่ายมากเช่นกัน
เมฆปีศาจที่รวบรวมวิญญาณสิบล้านดวงไว้เช่นนี้ หากพลาดโอกาสในการแลกเปลี่ยนที่อาณาจักรทมิฬครั้งนี้แล้ว ก็คงจะไม่มีโอกาสได้เห็นในการประมูลที่อื่นอีกเป็นแน่
แม้ว่าเจ้าของสมบัติล้ำค่าชิ้นนั้นจะออกจากสถานที่แห่งนี้ไป เขาก็คงจะเก็บเมฆปีศาจเอาไว้อย่างระมัดระวังและคงไม่นำออกมาเปิดเผยอีก และแม้ว่าในอนาคตเขาอาจจะมีสิ่งของที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการแลกเปลี่ยน จะตามหาอีกฝ่ายเพื่อแลกเปลี่ยนอีกครั้งก็คงเป็นไปไม่ได้
เป็นไปได้หรือไม่ที่เมฆปีศาจนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับการที่เขาจะรอดชีวิตจากภัยพิบัติใหญ่ครั้งถัดไปได้ ถ้าหากไม่มีเมฆปีศาจนี้ เขาคงตกทุกข์ได้ยากและตายในภัยพิบัติใหญ่ถึงแปดหรือเก้าจากสิบส่วน มิเช่นนั้นจะไม่พยายามสุดความสามารถเพื่อจะได้รับเมฆปีศาจได้อย่างไร
หรือว่าผู้คนที่เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนครั้งนี้ แท้จริงแล้วไม่มีผู้ใดครอบครองสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าประเภทโจมตีเลยจริงๆ ?
เมื่อเห็นว่าชายในลมปราณสีดำให้เวลามาพอสมควรแล้ว ชายในลำแสงสีเลือดก็กัดฟัน จู่ๆ ก็ตบเข้าที่ถุงผ้าสีฟ้าแปลกๆ ซึ่งเหน็บอยู่ที่ข้างเอว
ชั่วขณะนั้นก็มีแสงสีฟ้าบินขึ้นมาอยู่ใต้เมฆ และจู่ๆ กรงน้ำแข็งสีฟ้าในก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
กรงนั้นมีความสูงเพียงแค่หนึ่งไม้บรรทัด ด้านนอกมียันต์สีเงินและสีทองแปะเอาไว้หลายใบ หนึ่งในนั้นคือวิหควิญญาณสีขาวหิมะที่ใสพร่างพราวไปทั้งตัว ยืนอย่างทะนงองอาจอยู่บนคานสีเงินแวววาวของสำนักพยัคฆ์มังกร พินิจพิเคราะห์ทุกสิ่งนอกกรงทั้งหมดโดยไม่แสดงความรู้สึกอันใดแม้แต่น้อย
“วิหคสวรรค์วิญญาณฟ้าดินที่สืบทอดสายเลือดส่วนหนึ่งของหงส์สวรรค์ เป็นหงส์น้ำแข็งโตเต็มวัยตัวหนึ่ง ลมปราณของหงส์น้ำแข็งตัวนี้ดูเหมือนเป็นเพียงนำสีแดงมารวมเข้าด้วยกัน แต่ที่จริงแล้วเป็นเพราะได้รับบาดเจ็บมาก่อน จึงแปรเปลี่ยนจากสภาพเดิมมาเป็นเช่นนี้ ขอเพียงให้เวลาบ่มเพาะอีกสักหน่อย ก็สามารถบำเพ็ญเพียรฟื้นฟูกลับมาเหมือนในหลายร้อยปีก่อนได้อย่างง่ายดาย และข้ายังรับประกันได้อีกว่า หงส์น้ำแข็งตัวนี้หลังจากแปลงร่างแล้วจะกลายเป็นเตาอันน่าทึ่งที่มีปราณหยิน และหากได้รับปราณหยินลมสวรรค์ของมันแล้ว ข้าคงไม่ต้องอธิบายถึงประโยชน์ของสมดุลหยินหยางแล้วกระมัง แม้ว่าผลอัศจรรย์ในการทำลายคอขวดจะไม่ดีเท่ายาอายุวัฒนะจิ้งหมิง แต่ก็ไม่ต่างกันมากนัก แม้ว่าจะไม่รับปราณหยินของมัน แต่หากสามารถพิชิตมันไปได้ มันก็เป็นอสูรวิญญาณที่มีกำลังไร้ขีดจำกัด เชื่อว่าจะไม่ทำให้เหล่าสหายทั้งหลายต้องผิดหวังแน่นอน ข้าจะใช้หงส์น้ำแข็งที่ข้าได้มาโดยไม่ตั้งใจนี้ ของสองอย่างก่อนหน้านี้ข้าจะแถมให้ด้วยเพื่อแลกกับสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้า นี่เป็นสมบัติทั้งหมดที่ข้าน้อยมีติดตัวมาแล้ว หากพลาดโอกาสแลกเปลี่ยนครั้งนี้ไป ในงานแลกเปลี่ยนครั้งอื่นๆ ก็คงไม่มีโอกาสดีๆ เช่นนี้แล้ว” ชายในลำแสงสีเลือดกล่าวด้วยเสียงแหบแห้งเล็กน้อย ในแววตามีรอยแข็งกร้าวปรากฏเล็กน้อย ราวกับว่าเขากำลังถูกบีบบังคับอย่างสุดกำลัง
นี่ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาด ใครที่เห็นสิ่งที่ช่วยชีวิตได้อยู่ห่างจากมือเพียงแค่เอื้อม แต่กลับไม่มีหนทางได้ครอบครอง น่ากลัวว่าทุกคนก็คงจะโกรธและหวาดกลัวด้วยกันทั้งนั้น
แต่ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยังไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากรอบทิศทางในศาลาลอยฟ้า
“สหาย หากว่าข้าใช้ของทั้งสามนี้แลกกับเจ้า…” ด้วยความสิ้นหวัง ชายในลำแสงสีเลือดหันศีรษะและถามชายในลมปราณสีดำเพื่อนปรึกษาอีกครั้ง
“ไม่ได้ ข้าน้อยพูดไว้ชัดเจนแล้ว นอกจากสมบัติวิญญาณแบบโจมตีของการจัดอันดับหมื่นวิญญาณแล้ว ของมีค่าอย่างอื่นแม้ว่าจะหายากเพียงใดก็ไม่สามารถแลกเปลี่ยนได้” ชายในลมปราณสีดำส่ายหัวอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อชายในลำแสงสีแดงได้ยินคำพูดนั้น หน้าตาก็ดูไม่ได้ยิ่งนัก ในใจมีความสิ้นหวังอยู่พอสมควร
แต่ในเวลานั้นเอง ก็มีเสียงของชายร่างบางดังขึ้นทันที ดั่งเสียงเพลงแห่งสวรรค์ที่ดังเข้ามายังโลกไหลเข้าไปในหูของชายในลำแสงสีเลือด
“เอาละ ข้าขอแลกเปลี่ยนแล้ว”
ในตอนแรกที่ชายในลำแสงสีแดงได้ยินเสียงนั้น เขาก็แทบจะไม่เชื่อหูตัวเอง หลังจากอยู่ในความงุนงง เขาพูดขึ้นอย่างยินดี
“ท่านพูดจริงหรือ? เชิญขึ้นมาบนแท่นเร็วๆ เถิด!”
และในเวลาเดียวกันนั้น สายตาของเขาก็สะบัดไปทางศาลาลอยฟ้าตามทิศทางที่มีเสียงดังออกมา
ร่างในลมปราณสีดำก็ดูตกใจและตื่นเต้นไม่แพ้กัน
แน่นอนว่าผู้ที่พูดย่อมเป็นหานลี่
นับตั้งแต่ที่ชายในลำแสงสีเลือดนำหงส์น้ำแข็งออกมาจากกรงแล้ว สีหน้าของเขาก็แปลกประหลาดขึ้นมาทันใด หลังจากคิดทบทวนอีกครั้ง เขาก็ไม่ลังเลที่จะเอ่ยปากออกไป
เมื่อได้ยินเสียงของหานลี่ สายตาประหลาดใจของผู้คนก็กวาดมองไปมาในทันที
แต่เขาแสดงอาการเมินเฉยไม่สนใจต่อสิ่งใด แสงสีฟ้าสว่างวาบขึ้นในดวงตา กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หลังแสงสว่างขึ้นมาแวบหนึ่งแล้ว ก็ปรากฏตัวขึ้นที่บนเวที
“สหายท่านมีสมบัติสะท้านฟ้าจริงหรือ?” แม้ว่าหานลี่จะยืนอยู่ต่อหน้าชายในลำแสงสีเลือดแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ยังอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา
หานลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย และเหลือบมองหงส์น้ำแข็งสีขาวราวกับหิมะที่อยู่ในกรงก่อนจะพูดขึ้นอย่างใจเย็น “ในมือของข้าน้อยมีสมบัติวิญญาณสะท้านฟ้าประเภทโจมตีที่ทรงพลังอยู่ แต่ตอนนี้มันยังไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในการจัดอันดับหมื่นวิญญาณและข้าน้อยเองก็ไม่แน่ใจนัก ข้าคิดว่าให้สหายทั้งสองลองดูเสียก่อนดีกว่า”
“โอ้ สหายนำมันออกมาให้ข้าดูสักหน่อย” เมื่อชายในลำแสงสีเลือดได้ฟังคำพูดของหานลี่ ความยินดีปรีดาในใจเมื่อครู่ก็หายไปมากกว่าครึ่ง แต่เขายังคงพูดออกมาด้วยความหวัง
ส่วนชายในลมปราณสีดำนั้น เขาเพียงแค่อยู่ด้านข้างโดยไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดสักคำ ทำเพียงแค่มองอย่างเฉยเมย
หานลี่ย่อมไม่รีรอชักช้า ทันใดนั้นก็มีใบมีดสีดำขนาดใหญ่ที่สูงเท่ากับคนปรากฏขึ้นในมือ รูปแบบโบราณเรียบง่าย แต่กลับปล่อยลมปราณดุร้ายออกมา
เป็นยามที่หานลี่อยู่ในแดนกว้างเย็นนั้นเอง หลังจากสังหารคนตระกูลหรงที่มีพลังมหาศาลแล้ว เขาก็ได้รับใบมีดยักษ์ที่มีขนาดไม่น้อยไปกว่าไม้ผสมปราณ
สองสิ่งนี้ควรเป็นสมบัติวิญญาณในการจัดอันดับหมื่นวิญญาณ!
“มีดลำแสงทมิฬ!” ชายในลำแสงสีเลือดยังคงมีปฏิกิริยาเช่นที่ผ่านมา ร่างในลมปราณสีดำที่อยู่ด้านข้างนั้นทันทีที่เห็นใบมีดยักษ์อย่างชัดเจนแล้ว เขาก็พูดไม่ออกไปด้วยความปิติยินดี
“ไฉน สหายจำมีดเล่มนี้ได้หรือไม่!” เมื่อชายในลำแสงสีเลือดได้ฟัง เขาย่อมดีใจเป็นอย่างมากอีกครั้งและถามขึ้นอย่างเร่งรีบ
“จำได้แน่นอน แม้ว่าสมบัติสะท้านวิญญาณชิ้นนี้จะอยู่ในอันดับท้ายๆ ของการจัดอันดับหมื่นวิญญาณ แต่ก็ยังเป็นของที่ติดอยู่ในอันดับเช่นกัน ข้าต้องการแลกเปลี่ยนสมบัติวิญญาณประเภทนี้ เช่นนั้นข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร แต่อย่างไรก็ตามสมบัติชิ้นนี้เป็นของจริงหรือไม่ ข้าน้อยยังคงต้องขอประเมินอย่างถี่ถ้วน” ชายในลมปราณสีดำระงับความตื่นเต้นในใจของเขาและตอบอย่างเคร่งขรึม
“ช่างดีเสียนี่กระไร! สหาย ท่านเห็นเป็นเช่นนั้นหรือไม่…” ชายในลำแสงสีเลือดเริ่มพูดจาสุภาพต่อหานลี่เป็นอย่างมาก
“ไม่มีปัญหาแน่นอน แต่ว่าสิ่งของของสหาย ก็ควรให้ข้าตรวจสอบดูเสียหน่อยหรือไม่” หานลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงหัวเราะ และเขย่าข้อมือของเขาและส่งใบมีดยักษ์สีดำไปยังชายในลมปราณสีดำโดยตรง
“แน่นอน แน่นอน สหายเชิญลงมือตรวจสอบอย่างละเอียดได้อย่างเต็มที่” เมื่อเห็นหานลี่เปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้ ชายในลำแสงสีเลือดก็ตื่นเต้นดีใจมาก และโยนขวดยา ม้วนคัมภีร์โบราณ รวมถึงกรงน้ำแข็งให้หานลี่ในลมหายใจเดียว
ดวงตาของหานลี่ฉายแสงสีฟ้า ปล่อยจิตสัมผัสครอบคลุมของทั้งสามสิ่งและเริ่มตรวจดูอย่างระมัดระวัง
และในเวลานี้เอง ชายในลำแสงสีเลือดก็หันไปขอชามกลมสีดำใบนั้นจากชายในลมปราณสีดำ เขาจำเป็นต้องจำแนกเมฆปีศาจในชามกลมนั้นอย่างระมัดระวังว่าในนี้มีวิญญาณมากถึงสิบล้านดวงหรือไม่
การตรวจสอบของทั้งสามนั้นนับว่าไม่ช้าเลย ชายในพลังปราณสีดำเกือบจะเทพลังวิญญาณลงไปในมีดยักษ์ทั้งหมด หลังจากนั้นมือที่ถือสิ่งล้ำค่าอยู่ก็ลองสะบัดมีดฟันลงกลางอากาศ และพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ หลังจากนั้นก็รวบเก็บมันไว้ในที่เก็บของตรงข้อมือ
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว เมฆปีศาจนี่ช่างเหมาะกับข้าเสียจริง” ชายในลำแสงสีเลือดหัวเราะ และตรวจดูเมฆปีศาจในชามกลมเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาก็ไม่พูดสิ่งใดกับหานลี่และชายในพลังปราณสีดำอีก เขากลายเป็นลำแสงสีขาวที่สวมทับลำแสงสีดำไว้แล้วล่องหนกลับไปยังศาลาลอยฟ้าของตนเอง
เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้หานลี่ก็ยิ้มจางๆ หยิบม้วนคัมภีร์โบราณสีทองและขวดยาที่เพิ่งได้รับมาตรวจสอบเมื่อสักครู่เก็บไว้ จากนั้นก็เหลือบมองไปยังหงส์น้ำแข็งที่อยู่ในกรงเล็กน้อย
พบว่าดวงตาสีน้ำเงินซีดของหงส์น้ำแข็งตัวนี้ มีร่องรอยแววตาความเศร้าเช่นเดียวกับมนุษย์ แต่เพียงชั่วพริบตาก็มีความเย็นชากลับคืนมาดังเดิม
หานลี่เองก็มิได้พูดสิ่งใดเช่นกัน เขาเพียงแต่นำแหวนอสูรวิญญาณออกมาและดูดกรงและวิหควิญญาณเข้าไปในทันที จากนั้นเขาก็ยกกำปั้นขึ้นทำความเคารพชายในลมปราณสีดำ และออกไปจากตรงนั้นอย่างว่องไวแบบเดียวกัน ชั่วพริบตาเดียวก็กลับที่เดิมก่อนหน้านี้
และชายในลมปราณสีดำนั้น หัวเราะเสียงต่ำออกมาเบาๆ และออกจากแท่นหินด้วยลมสีดำเหมือนกัน
ทันใดนั้นก็มีคนอื่นรีบแย่งกันขึ้นไปที่แท่นหิน และการแลกเปลี่ยนก็ดำเนินต่อไป
หานลี่เอนตัวลงบนเก้าอี้ หลับตาทั้งสองข้างลง สีหน้าแลดูสงบ แต่ในใจเขากลับกระสับกระส่ายอย่างมาก ผ่านไปเนิ่นนานก็ยังไม่สามารถสงบลงได้
หลังจากผ่านครึ่งวันไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดการชุมนุมแลกเปลี่ยนทั้งหมดก็ยุติลงด้วยการประกาศของบุรุษใบหน้าสีทอง
หานลี่นั้นก็เหมือนกับตัวประหลาดเฒ่าผสานอินทรีย์อื่นๆ ปฏิเสธที่จะอยู่งานเลี้ยงที่บุรุษใบหน้าสีทองจัดต่อ ออกจากอาณาจักรทมิฬภายใต้ทูตผู้ชักนำ ปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบๆ ที่ทางออกที่ไม่คุ้นเคยที่โลกภายนอก บินตรงไปยังเขาเก้าเซียนโดยไม่หยุดและไม่หันกลับ