คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1825 ลูกศิษย์
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1825 ลูกศิษย์
หล่งตงได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสตระกูลหล่งแล้ว ถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ไม่กล้าแสดงทีท่าต่อต้าน ได้เพียงแต่น้อมรับแต่โดยดี
แต่ชายในชุดดำผู้นั้นที่อยู่ด้านข้างผู้อาวุโสตระกูลหล่ง กลับมองไปที่ผู้อาวุโสตระกูลหล่งด้วยสายตาประหลาดใจอยู่เล็กน้อย ริมฝีปากกระตุกอย่างห้ามไม่ได้อยู่สองสามครั้ง
ในหูของผู้อาวุโสตระกูลหล่งทันใดนั้นก็มีเสียงแว่วเข้ามาว่า
“พี่หล่ง คำพูดของเจ้าเมื่อคู่หมายความว่า…”
“น้องฮุยยังคงจำวานรปีศาจลึกลับที่ลงมือกับข้าและคนที่ภูเขาเก้าเซียนได้หรือไม่” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งพูดขึ้น ชายในชุดดำได้ยินเสียงนั้นอย่างชัดเจนเช่นกัน
“ย่อมจำได้อยู่แล้ว พี่หลงยอมรับว่ามันอาจจะเป็นผู้บำเพ็ญปีศาจที่ออกมาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่หรือ” ชายชุดดำสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
“หึๆ เป็นเช่นนั้นจริงๆ! แต่ว่าหลังจากนั้นข้าได้ค้นหาอย่างละเอียดจึงรู้ว่า วานรปีศาจตัวนั้น คือเด็กระดับหลอมลมปราณที่ถูกเข้าใจผิดพามาที่บ้านตระกูลหล่ง และเด็กคนนี้ก็คือลูกศิษย์ที่ ‘สหายหานลี่’ ผู้นี้รับเอาไว้”
“มีเรื่องอย่างนี้ได้อย่างไรกัน! หรือว่าพี่หล่งคิดว่าคนผู้นี้จะเกี่ยวข้องกับเกาะศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้นหรือ” ชายชุดดำสูดหายใจดังเฮือก อดไม่ได้ที่จะพูดอู้อี้ขึ้นมา
“ย่อมเป็นไปได้ บางทีอาจจะมีเบื้องหลังอะไรบางอย่างส่วนตัวกับวานรปีศาจนั้นก็ได้ ข้าก็ไม่อาจยืนยัน แต่มีอยู่เรื่องหนึ่ง ก่อนถึงช่วงชิงมาร ตระกูลหล่งอย่างไรเสียก็ควรจะหาเรื่องที่ไม่จำเป็นน้อยหน่อยจะดีกว่า ระดับการบำเพ็ญพรตของคนผู้นี้ถึงแม้จะไม่อยู่ในสายตาของข้าและเจ้า แต่สามารถบรรลุถึงระดับผสานอินทรีย์ได้เร็วถึงเช่นนี้ เกรงว่าจะไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต้นทั่วไป หากไม่ใช่มีญาณรับรู้อันแก่กล้า ก็อาจจะครอบครองสมบัติวิเศษมหัศจรรย์บางอย่างก็ได้” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งตอบกลับยังสงบนิ่ง
“ถ้าว่าตามที่พี่หล่งพูด ตระกูลหล่งก็ไม่อาจที่จะสร้างศัตรูขึ้นตามอำเภอใจจริงๆ แต่ทว่าพิธีใหญ่ในอีกสักครู่ เรื่องที่ต้องพูดกับตระกูลกู่ เราจะยอมอ่อนข้อให้กับเขาอย่างนั้นเชียวหรือ” ชายชุดดำพยักหน้าก่อน แต่จากนั้นก็ขมวดคิ้วถามขึ้น
“นั่นคงไม่จำเป็น ในพิธีวิญญาณเที่ยงแท้ควรลงมืออย่างไร ก็ยังคงต้องทำเช่นนั้น หากบังเอิญพบกับคนผู้นี้ ก็ไม่จำเป็นต้องออมมือแต่อย่างใด จะได้ถือโอกาสดูด้วยว่าความสามารถอันแท้จริงของคนผู้นี้เป็นเช่นใด หากว่ามีญาณรอบรู้จริง ไม่แน่ว่าเรื่องนั้น เมื่อถึงเวลาแล้วอาจจะต้องนับเขาเข้ามาอีกคนก็ได้” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งพูดขึ้นโดยไม่ต้องคุณคิด
“อืม ข้าเข้าใจความคิดของพี่หล่งแล้ว เดี๋ยวการแข่งขันจับคู่ในพิธี มอบให้ผู้น้อยจัดการก็แล้วกัน” ชายชุดดำหัวเราะขึ้นเบาๆ จากนั้นก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
ผู้อาวุโสตระกูลหล่งหลับตาทั้งคู่ลงเบาๆ ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยไร้อารมณ์อย่างเสมอ ราวกับว่าไม่เคยพูดอะไรก่อนหน้านี้
อีกด้านหนึ่ง เซียนเสี่ยวเฟิงและผู้อาวุโสเซียวเห็นหานลี่เริ่มเคลื่อนไหวก่อน ก็รู้สึกสะดุ้ง
ถึงแม้ว่าตระกูลกู่จะไม่ถูกกับตระกูลหล่ง แต่การที่หานลี่ท่าทีไม่เกรงใจตอบผู้อาวุโสตระกูลหล่งเช่นนี้ ทำให้คิดว่าการที่ทั้งสองคนไม่มีผู้อาวุโสสูงสุดคอยบัญชาการ ก็แอบรู้สึกเป็นกังวลอยู่อย่างมาก
แต่ถ้าว่าเมื่อเห็นผู้อาวุโสตระกูลหล่งไม่ได้ถือสาหาความผิดความคาดหมาย ก็ทำให้ทั้งสองคนทั้งรู้สึกดีใจและแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
หานลี่ยังคงรักษาสีหน้าสงบนิ่ง มองไม่ออกว่าการกระทำเมื่อคู่นั้นเป็นเพราะเจตนาใด
แต่เขาในสายตาตระกูลขนาดเล็กและกลางอื่นๆ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเก่งกาจล้ำลึก บางคนอดไม่ได้ที่จะถกเถียงกันเกี่ยวกับเรื่องราวของเขา
……
“อ้อ อิ่งเอ๋อร์! สหายหานที่ช่วยเจ้าเมื่อก่อนคนนี้ ช่างกล้าไม่น้อยทีเดียว เพียงแค่ระดับช่วงต้นก็กล้าแหย่เจ้าปีศาจเข้าตระกูลหล่งได้ ดูไปแล้วถ้าไม่ใช่ว่ามีญานรอบรู้จริง ก็ต้องมีบางอย่างหนุนหลังอยู่แน่ มิน่าเล่า แม้แต่อิ่งเอ๋อร์น้อยของตระกูลพวกเราก็ไม่กล้าคิดอะไรกับเขา” คนที่พูดคือผู้บำเพ็ญหญิงกลุ่มหนึ่งจากตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้ตระกูลหนึ่งที่เข้าแถวเรียงอยู่ด้านหน้า
ผู้คนกลุ่มนี้อยู่ติดกับผู้บำเพ็ญเพียรตระกูลหล่ง และเหมือนกับคนตระกูลกู่ ส่วนใหญ่แล้วมีผู้หญิงเป็นหลัก
คนพูดนั่งอยู่ด้านหน้าสุดของคนกลุ่มนี้ เป็นหญิงสาวดูแล้วอายุราวสิบเจ็ดสิบแปดปีผู้หนึ่ง สวมเสื้อขนนกสีสันสดใสตัวหนึ่ง สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ทั้งสองข้างของหญิงผู้นี้ คือหญิงสาวหน้าตาสะสวยอายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดผู้หนึ่งและหญิงชราผมหงอกสีดอกเลาผู้หนึ่งนั่งอยู่เคียงข้าง
“ท่านทวด อิ่งเอ๋อร์หน้าตาไม่ได้โดดเด่นสักนิด ไม่อาจเข้าตาของท่านพี่หานหรอกเจ้าค่ะ ไม่ได้เห็นความสำคัญเลยแม้สักนิด” หญิงสาวในชุดสีขาว อีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังหญิงสาวหน้าตาสะสวย เมื่อได้ยินก็ดีดตัวขึ้นมา ใบหน้าแดงก่ำไปทั้งดวง พร้อมพูดตอบอย่างตะกุกตะกัก
นั่นก็คือเย่ว์อิ่งคนนั้นผู้ซึ่งหานลี่ได้เคยพบเจอในงานหมื่นสมบัติ!
หญิงสาวผู้นี้หน้าตาเหมือนหญิงสาวในชุดขนนกอยู่หลายส่วน
“ใช่หรือ แต่ข้าว่าอย่างไรก็รู้สึกว่าเสี่ยวอิ่งเอ๋อร์ของตระกูลพวกเราจะดูอย่างไรก็น่ารัก ดูท่าสายตาของเจ้าเด็กแซ่หานคงแย่เสียจริง ไม่เช่นนั้นเพียงแค่เข้าร่วมกลับตระกูลเย่ว์ของพวกเรา ไม่เพียงแต่จะมีข้อดีมากมาย ซ้ำอย่างสามารถแต่งงานกับหลานสาวสุดที่รักของข้าได้ด้วย” หญิงสาวในชุดขนนกพลันหัวเราะคิกคัก เสียงไพเราะกังวานราวกับนกขมิ้น จนทำให้ผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงล้วนแต่อดไม่ได้ที่จะหันมองตามเสียงมา
ถึงแม้จะใช้มนตราสะกดตรึงไว้ ระดับการบำเพ็ญพรตของตระกูลอื่นไม่อาจจะได้ยินเสียงพูดของหญิงสาวผู้นี้ แต่เพียงแค่สายตาของคนตระกูลอื่นที่อยู่ใกล้เคียง ก็ทำให้เย่ว์อิ่งถึงกับหน้าแดงก่ำ ไม่เพียงแต่ไม่กล้าที่จะต่อคำกับผู้อาวุโสประจำตระกูลท่านนี้ แม้แต่ใบหน้าอันงดงามก็ก้มต่ำจนเชยชมต่อไม่ได้
“ท่านแม่ ท่านก็อย่าไปแกล้งนางหนูนี่อีกเลย คนแก่อย่างท่านนี่ก็เสียจริง ทำไมต้องจงใจเย้าแหย่อิ่งเอ๋อร์เสียให้ได้ทุกครั้ง”
“ฮิๆ แล้วนี่มีอะไรแปลกหรือ ในลูกหลานเหล่านี้ มีเพียงนางหนูอิ่งเอ๋อร์คนนี้ที่หน้าตาพอจะเหมือนกับข้าในอดีตอยู่บ้าง จะมีก็แค่นิสัยที่แตกต่างกันมากเสียหน่อย ข้าย่อมต้องแนะนำกันบ้างนิดหน่อยอยู่แล้ว ไม่เช่นนั้นสาวงามคนหนึ่ง วันๆ ทำตัวนิ่งเฉยราวกับหุ่นไม้ จะไม่น่าเบื่อไปหน่อยหรือ” หญิงสาวในชุดขนนกตอบพลางส่ายหน้า สีหน้าดูไม่ได้ใส่ใจอะไร
ได้ยินหญิงสาวผู้ตอบเช่นนี้ หญิงสาวผู้นั้นแม้ว่าจะดูไปแล้วเป็นคนที่ดูหนักแน่นอย่างถึงที่สุด ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแหยโดยไม่ได้พูดอะไรต่อ
สำหรับหญิงชราอีกคนที่อยู่ในวงสนทนาและเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรชายหญิงตระกูลเย่ว์คนอื่น ได้ยินบทสนทนาเมื่อครู่ ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มแก่นขึ้นมา
……
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์สองคนจากตระกูลใหญ่อีกตระกูลหนึ่งกำลังหารือกันอยู่เงียบๆ
“ยายเฒ่าเทียนหลีถึงแม้จะไม่ได้มา แต่เจ้าเด็กแซ่หานคนนี้ก็ดูจะรับมือไม่ง่าย อีกเดี๋ยวพวกเราจะยังคงดำเนินตามแผนเดิมอยู่หรือไม่ อย่างไรเสียตอนแรกแผนการที่หารือกับคนตระกูลเหลาก็เพ่งเล็งไปที่ยายเฒ่านั่น” ชายในชุดหรูหราท่าทีภูมิฐานพูดขึ้นพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“ไหนจะไม่ลงมือเล่า ยายเฒ่านั้นไม่มา ถือว่านางโชคดี เจ้าเด็กแซ่หานคนนี้ไม่มีความแค้นกับพวกเรา แต่ในเมื่อให้ความช่วยเหลือกับตระกูลกู่ ถึงจะไม่มีอะไรกันก็ต้องจัดการมันสักหน่อย ถึงแม้พวกเราทั้งสองจะเป็นเพียงระดับผสานอินทรีย์ช่วงต้น แต่อย่างไรเสียก็บรรลุมานานกว่ามันนับหมื่นปี ต่อให้ไม่ใช้วิธีร่วมมือกัน ก็พอที่จะทำให้มันรู้ว่าคนละระดับกัน หนำซ้ำสิ่งที่พวกเราต้องทำก็เพียงแค่ผลาญพลังปราณของมันเท่านั้น เพื่อบีบให้มันใช้ความสามารถอันแท้จริงส่วนใหญ่ออกมา ส่วนศึกหนัก ปล่อยให้คนตระกูลเหลาจัดการก็พอ ยายเฒ่านั่นไม่ได้เข้าร่วมพิธีครั้งนี้ เกรงว่าตระกูลคงจะแอบยินดีปรีดากันนานแล้ว” อสุรรกายสวมหน้ากากสำริดครึ่งหน้าที่อยู่ด้านข้าง เผยให้เห็นเพียงใบหน้าดูอ่อนเยาว์ครึ่งดวง ตอบน้ำเสียงเรียบ
“ท่านพี่พูดได้ถูกต้อง อีกอย่าง ยายเฒ่าเทียนหลีเมื่อก่อนก็ไม่ใช่คู่ค้าการร่วมมือของข้ากับเจ้าสองคน ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นอย่างไรก็ไม่ไหวแน่นอน” ชายหนุ่มในชุดหรูหราครุ่นคิดพลางโคลงศีรษะเล็กน้อย แล้วหัวเราะอย่างเห็นด้วย
……
“คราวนี้ เทพเทียนหลีไม่ได้เข้าร่วมพิธีวิญญาณเที่ยงแท้ มีเพียงเจ้าเด็กระดับผสานอินทรีย์ช่วงต้นคอยบัญชาการ ช่างเป็นโอกาสงดงามอันน่ายินดีของพวกเราตระกูลเหลาเสียจริง เดี๋ยวตอนแข่งขัน เจอคนตระกูลอื่น ก็ออมมือบ้างก็ได้ แต่เมื่อถึงตอนที่เราท้าประลองกับตระกูลกู่ ต้องทุ่มเทสุดกำลังโดยไม่ต้องออกมือ” เสียงพูดอันเยือกเย็นเสียงหนึ่ง ดังขึ้นจากแถวด้านหลังตระกูลหนึ่งอย่างน่ายำเกรง
“ขอรับ ท่านทวด!”
ตระกูลระดับเล็กอื่น ก็มีคน…
แต่ทว่าในเวลานี้ หานลี่ได้ละสายตากลับมานานแล้ว จากนั้นก็มองจากล่างขึ้นบนอีกครั้ง
เห็นระหว่างนิ้วมือของเขา มีน้ำเต้าสีทองขนาดเท่าหัวแม่โป้งอันหนึ่งปรากฏขึ้นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ปรากฏอยู่รำไรระหว่างนิ้วมือ ราวกับว่าไม่ได้มีตัวตนจริง แต่นอกจากสิ่งนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีเรื่องแปลกประหลาดอื่นใดอีก
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด หานลี่กลับลูบคลำสิ่งของชิ้นนี้เล่นด้วยความสนใจอย่างเต็มที่ ท่าทีดูหวงแหน
ครั้นแล้วด้วยสภาพเช่นนี้ เวลาก็ค่อยๆ ผ่านไป คนจากตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้นับสิบ ล้วนแต่รอต่อไปอย่างอดทน
ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปสองชั่วยาม ทันใดนั้นแสงวิญญาณก็ส่องสว่างขึ้นตรงกลางแท่นหมื่นวิญญาณ ค่ายอาคมสีขาวราวกับน้ำนมชุดหนึ่งก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่าเหนือศิลาสีคราม ขนาดที่ใหญ่เพียงไม่กี่จั้งในตอนแรก แต่เมื่อค่อยๆหมุนวน ก็ปล่อยแสงสว่างออกมาอย่างเต็มที่ กลายสภาพเป็นขนาดใหญ่มหึมา
ตัวอักษรยันต์สีต่างๆ เริ่มลอยพุ่งออกมาจากกลางค่ายอาคม ส่งเสียงดังอื้ออึงออกมาเป็นระยะ
ทั่วทั้งแท่นหมื่นวิญญาณในวินาทีที่ค่ายอาคมปรากฏขึ้น ก็เริ่มสั่นขึ้นมาเบาๆ
ดูราวกับว่ากำลังมีปฏิกิริยาตอบสนองซึ่งกัน เสียงหวีดแหลมดังขึ้นติดกันไม่ขาดจากหน้าผาทุกด้าน ตามด้วยเสาแสงขนาดยักษ์จำนวนนับร้อยเสาแล้วเสาเล่า ผุดขึ้นมาถ้วนหน้าจากบริเวณที่เกิดเสียงหวีดแหลมขึ้นมาอย่างไม่มีเค้ามาก่อน แต่ละเสาใหญ่ราวกับโอ่งน้ำ ส่องแสงหลากสีแสบตา
และด้วยพลังจากกลุ่มแสง ลมพายุที่พัดบนท้องฟ้าเหนือหุบเขา ชั่วคู่เดียวเมฆดำก็แผ่ขยายไปทั่ว ทางด้วยเสียงฟ้าร้องอันน่าสะพรึงกลัวเสียงหนึ่ง สายฟ้าสีทองปนม่วงลูกยักษ์หลายรูปปรากฏขึ้นกลางอากาศ
“อ๊ะ อัสนีบาตชิงสวรรค์นี่!”
ลูกศิษย์ตระกูลวิญญาณเที่ยงแท้จำนวนไม่น้อยที่ได้เข้าร่วมพิธีที่แท่นหมื่นวิญญาณเป็นครั้งแรก ตอนแรกถูกปรากฏการณ์บนท้องฟ้าทำให้ตกตะลึงจนอึ้ง เมื่อได้เห็นสายฟ้าโค้งสีทองม่วงเหล่านั้น ก็ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นกลัวอย่างโกลาหลขึ้นมาทันที
“ฮึ พวกไร้ประโยชน์! มีอะไรน่าตกใจกัน นี่เพราะใต้เท้าหมื่นวิญญาณจะปรากฏตัวแล้ว พิธีได้ฤกษ์เริ่มแล้ว สหายทุกท่านเห็นเช่นใด” ผู้อาวุโสตระกูลเหลาที่หลับตาทั้งคู่สนิทในตอนแรก ทันใดนั้นก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที จากนั้นก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้ แล้วพูดขึ้นน้ำเสียงเย็นชาสีหน้าเรียบนิ่ง
ถึงแม้ว่าเสียงจะไม่ดัง แต่แว่วไปถึงกลางหูของผู้คนทั้งหมดชัดเจนอย่างน่าแปลกประหลาด และทำให้ลูกศิษย์หลายคนที่กำลังตื่นเต้นลนลานเหล่านั้น ก็สงบขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว พร้อมกับมองหน้ากันไปมา
“นี่มันแน่อยู่แล้ว ตามธรรมเนียม พิธีนี้คงต้องให้พี่หล่งเป็นประธานแล้ว” ชายในชุดหรูหรากลางตระกูลเฟิงผู้นั้น พูดพลางหัวเราะลั่น
“ผู้น้อยไม่มีความเห็นอื่น!”
“ข้าเองก็ไม่มีความเห็นอื่น ก็พี่หล่งเป็นผู้ที่มีระดับการบำเพ็ญพรตสูงที่สุดในหมู่พวกเรานี่นา”
“พี่หล่ง เชิญเถอะ!”
ตระกูลอื่นๆ ที่เหลือต่างก็ส่งเสียงเห็นพ้อง
“ในเมื่อทุกท่านไม่ขัดข้อง เช่นนั้นก็เอาเครื่องเซ่นมาก่อนเถอะ” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งมองไปท่ามกลางความว่างเปล่า แล้วจึงพยักหน้าพูดขึ้น
ในเวลานี้ ท่ามกลางสายฟ้าโค้งสีทองม่วงที่พลาดผ่านไปมาบนท้องฟ้าเหนือหุบเขา ประสานกันกลายเป็นเครือข่ายสายฟ้าขนาดใหญ่โตมหึมาแถบหนึ่ง รวมกับเสาแสงแท่งยักษ์ที่ผุดขึ้นรอบด้านหุบเขา ทำให้กลายสภาพเป็นกรงขนาดยักษ์อันหนึ่ง