คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1836 ไป๋กั่วเอ๋อร์และการแลกเปลี่ยน
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1836 ไป๋กั่วเอ๋อร์และการแลกเปลี่ยน
และในยามนี้เรื่องเคราะห์มารก็เริ่มแพร่งพรายไปในกลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำและกลาง แม้กระทั่งมีข่าวลือไปถึงหูของคนธรรมดาที่มีฐานะพิเศษด้วย
ทว่าถึงอย่างไรเสียเคราะห์มารก็จะเกิดขึ้นอีกสองสามร้อยปี ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำและคนธรรมดาย่อมมีอายุไม่ถึงสองสามร้อยปี แม้ว่าจะให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ แต่ก็ไม่ถึงกับลนลานจนทำอันใดไม่ถูก
แต่ตระกูลเล็กๆ และคนธรรมดาในขุมอำนาจจำนวนมาก ก็ทยอยกันเริ่มเตรียมตัวรับเคราะห์มารครั้งนี้อย่างจริงจัง
คนธรรมดาในย่านร้านค้าเล็กๆ เหล่านี้เริ่มย้ายไปหาขุมอำนาจใหญ่ๆ ต่างๆ ภายในระยะเวลาสองร้อยปี
แน่นอนว่าสำหรับคนธรรมดานั้นภายนอกย่อมไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเคราะห์มาร แต่ใช้เหตุผลต่างๆ มาอ้างแทน
เวลาผ่านไปทีละปี บรรยากาศในเขตของเผ่ามนุษย์ก็เคร่งขรึมขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรที่เดิมจะปรากฏตัวต่อหน้าคนธรรมดาน้อยมาก เริ่มรวมตัวกันไปปรากฏตัวตามย่านร้านค้าใหญ่ต่างๆ
พวกเขาบ้างก็เริ่มเตรียมเขตอาคมป้องกันต่างๆ ในเมือง บ้างก็รวบรวมผู้ฝึกตนในบรรดาคนธรรมดาให้ฝึกตนเพื่อต่อกรกับเผ่ามาร
แม้ว่าผู้ฝึกตนที่ได้รับการฝึกฝนในยามนี้อาจจะอยู่ไม่ถึงยามที่เคราะห์มารปะทุก็หมดอายุขัย แต่กลับต้องฝึกฝนพลังที่กว้างใหญ่ในบรรดาคนธรรมดาก่อน เช่นนี้ถึงจะกลายเป็นกฎสืบทอดไปอีกสามสี่รุ่น และยามที่เคราะห์มารปะทุ ถึงจะช่วยขุมอำนาจต่างๆ ได้อีกแรง
ถึงอย่างไรเสียจากจำนวนของคนธรรมดา จำนวนของผู้ฝึกจนก็แทบจะมากกว่าผู้บำเพ็ญเพียรหลายเท่า แม้ว่าผู้ฝึกตนระดับสูงที่สุดในบรรดาคนเหล่านั้นจะเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อกำเนิดเท่านั้น แต่จำนวนที่น่ากลัวเช่นนี้ ก็เพียงพอที่จะกลายเป็นพลังที่พึ่งพาได้ในเคราะห์มาร
ก่อนที่เคราะห์มารจะปะทุ ก็ต้องพิสูจน์ผู้ฝึกตนที่ถูกฝึกฝนเหล่านี้ก่อน ว่าจะมีประโยชน์ในการต่อกรกับมารโบราณระดับต่ำและกลางหรือไม่
‘อาวุธวิญญาณ’ ที่เดิมถูกซ่อนเอาไว้ในคลังลับของขุมอำนาจต่างๆ ต่างก็เอาออกมา และเริ่มแบ่งให้กับขุมอำนาจต่างๆ ของคนธรรมดา
และอาวุธวิญญาณที่มีอานุภาพที่น่าตกตะลึง ก็ถูกหลอมขึ้นโดยปรมาจารย์ด้านการหลอมอาวุธของขุมอำนาจต่างๆ
แทบจะในเวลาเดียวกันศาสตราอาคมระดับต่ำและกลางและพืชสมุนไพรที่เตรียมไว้สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำและกลางโดยเฉพาะก็ถูกนำออกมาปรุงอย่างไม่เสียดาย
เช่นนั้นวัตถุดิบในการหลอมอาวุธและสมุนไพรต่างๆ ที่ขุมอำนาจเหล่านี้ได้เก็บสะสมเอาไว้จึงหมดไปอย่างรวดเร็ว
ราคาของวัตถุดิบต่างๆ ในย่านร้านค้าจึงเพิ่มสูงขึ้น แทบจะสูงกว่าก่อนหน้าหลายเท่า
เช่นนั้นในย่านร้านค้าเหล่านี้จึงมักจะเกิดสถานการณ์ที่วัตถุดิบขาดแคลนขึ้นบ่อยๆ และย่อมเป็นสิ่งที่มีราคาแต่หาสินค้าไม่ได้
ส่วนเจ็ดดินแดนของเผ่าปีศาจ สถานการณ์ก็ไม่ต่างจากฝั่งมนุษย์มากนัก
แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงของทั้งสองเผ่าล้วนค่อยๆ เกิดขึ้นในเวลาร้อยกว่าปี จึงไม่ได้ทำให้ดินแดนของทั้งสองเผ่าเกิดความวุ่นวายอันใด
ทว่าสำหรับบางคนทุกอย่างนี้กลับดูเหมือนจะไม่ได้รับผลกระทบ และยิ่งไปกว่านั้นภายในระยะเวลาร้อยปี ก็แทบจะไม่มีข่าวคราวอันใดแพร่งพรายออกมาเลย
วันนี้เห็นได้ชัดว่ากลางอากาศเหนือเมืองเทวะสวรรค์มีสายรุ้งสีขาวบินโฉบไปมาอยู่บนกำแพงเมืองมากกว่าในอดีตหลายเท่า
เงาร่างอรชนอ้อนแอ้นปรากฏขึ้นรางๆ ในลำแสงสีขาว กะพริบวาบๆ ก็หายไปจากสายตาของผู้พิทักษ์ชุดเกราะที่คุ้มกันเมืองสองสามคน
“เอ๋ คนผู้นี้คือผู้ใด! ช่างอาจหาญนัก เป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวม ยังกล้าบินออกไปโดยไม่ผ่านประตูเมืองของพวกเรา” ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำหนึ่งในนั้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันตะลึงงัน ทันใดนั้นก็โกรธขึ้งขึ้นมา และเปล่งแสงสีดำออกมาดูเหมือนคิดจะไล่ตามไปทันที
“ช้าก่อนน้องชายหู เซียนไป๋ผู้นี้ไม่ต้องตรวจสอบ ก็เข้ามาในเมืองเทวะสวรรค์ได้เลย” ผู้พิทักษ์ชุดเกราะที่อยู่ด้านข้างกลับคว้าชายร่างใหญ่เอาไว้อย่างรวดเร็ว
“อ่า เพราะเหตุใด นางเป็นผู้แค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมเท่านั้น จะมีอำนาจพิเศษได้อย่างไร” ชายร่างใหญ่ได้ยินแล้วพลันตกตะลึง
“แต่อาจารย์ของนางกลับเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้เวลาไม่กี่ร้อยปีก็พัฒนาจากระดับเทพแปลงขึ้นมาระดับผสานอินทรีย์ได้ วันข้างหน้าอาจจะพัฒนาขึ้นไปอยู่ในระดับขั้นปลาย ส่วนเซียนไป๋ผู้นี้ว่ากันว่าใช้เวลาแค่ร้อยกว่าปีก็พัฒนาจากระดับสร้างปราณมาอยู่ในระดับจิตวิญญาณสีทองได้ พรสวรรค์ในการฝึกฝนน่าตกตะลึงเช่นกัน น้องชายหูเพิ่งเข้าร่วมเมืองเทวะสวรรค์ได้ไม่นาน จึงไม่รู้จักเซียนไป๋ผู้นี้” ผู้พิทักษ์ชุดเกราะผู้ที่ห้ามเขาเอาไว้เอ่ยอธิบาย
“สองสามปีก็สามารถพัฒนาจากระดับเทพแปลงขึ้นไประดับผสานอินทรีย์ หรือว่าสหายหมายถึงท่านอาวุโสหานที่เคยต่อกรกับบรรพชนตระกูลหล่ง!” ชายร่างใหญ่หน้าเปลี่ยนสี ร้องอุทานเสียงหลงออกมา
“อ๋อ ที่แท้น้องหูก็รู้จักท่านอาวุโสหาน ทว่านั่นก็ไม่แปลก แม้ว่ายามนี้แทบจะไม่มีข่าวคราวของท่านอาวุโสผู้นี้ แต่ชื่อเสียงของเขาก็มีคนรู้จักมากมาย มิเช่นนั้นท่านอาวุโสคงไม่ออกคำสั่งพิเศษว่าไม่ต้องตรวจสอบศิษย์ในนามที่มักจะเข้ามาที่เมืองเทวะสวรรค์บ่อยๆ ผู้นี้” ผู้พิทักษ์ชุดเกราะอีกคนหนึ่งก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ
“ที่แท้สตรีผู้นี้ก็เป็นศิษย์ในนามของท่านอาวุโสหาน มิน่าล่ะถึงมีอำนาจพิเศษ ทว่าฟังจากน้ำเสียงของเหล่าสหาย เซียนไป๋ผู้นี้เข้าออกเมืองเทวะสวรรค์บ่อยๆ หรือ?” หลังจากที่ชายร่างใหญ่พยักหน้า ก็เอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจเล็กๆ
“ก็ไม่นับว่าบ่อยกระมัง บางทีก็ปีละหนึ่งถึงสองครั้ง บางทีก็เจ็ดแปดปีจะมาสักครั้ง ทว่าฟังจากสหายคนอื่น ทุกครั้งที่เซียนไป๋ผู้นี้มา ก็จะไปซื้อขายวัตถุดิบที่ย่านร้านค้า ทว่านั่นก็ไม่แปลก ยามนี้วัตถุดิบต่างๆ ขาดแคลน มีแค่เมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราที่นับว่ามีครบครัน” ผู้พิทักษ์ชุดเกราะที่ห้ามชายร่างใหญ่เอาไว้ ตอบอย่างไม่ต้องขบคิด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! แต่ในเมื่อศิษย์ในนามของท่านอาวุโสหานอยู่แถวๆ เมืองเทวะสวรรค์ เช่นนั้นท่านอาวุโสหานเองก็น่าจะพักอยู่แถวๆ นี้” ชายร่างใหญ่เอ่ยอย่างครุ่นคิด
“นั่นก็ไม่แน่ใจ ถึงอย่างไรเสียผู้ใดก็ไม่กล้าสะกดรอยตามเซียนไป๋ไป เอาล่ะ เรื่องของเหล่าอาวุโสระดับผสานอินทรีย์ พวกเราวิจารณ์กันน้อยๆ หน่อยจะดีกว่า น้องชายหูบอกว่าครั้งที่แล้วพบของล้ำค่าในย่านร้านค้าสินะ” มีคนหัวเราะร่า แล้วเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาอย่างละเอียดรอบคอบ
“หึๆ เรื่องนี้ ครั้งนั้นผู้แซ่หูไปตรวจสอบช่องโหว่ แล้วพบกับลาภเล็กๆ เข้าพอดี วันนั้นได้ผ่านร้านค้าเล็กๆ แห่งหนึ่งในย่านร้านค้าเข้าพอดี…” ชายร่างใหญ่ถูกอีกฝ่ายเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับตนวันก่อน ก็อดที่จะอธิบายอย่างมีชีวิตชีวาไม่ได้
คนอื่นๆ เองก็โยนเรื่องเมื่อครู่ทิ้งไป รวบรวมสมาธิตั้งใจฟังคำพูดของชายร่างใหญ่
และในยามนี้ลำแสงหลีกหนีสีขาวที่อยู่ไกลออกไปซึ่งสลายหายไปนานแล้ว กลับพุ่งมาที่ย่านร้านค้าของเมืองเทวะสวรรค์
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยามลำแสงหลีกหนีสีขาวก็ร่อนลงหน้าตำหนักใหญ่ที่ใช้แลกเปลี่ยนระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจทั้งสองเผ่าในย่านร้านค้า
ลำแสงหลีกหนีหม่นแสง เผยร่างหญิงสาวสวมชุดผ้าไหมสีเงินออกมา อายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปี ใบหน้ากลมมน ดวงตาสีดำสนิท ผิวขาวอมชมพู หน้าตางดงามหยดย้อย
หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้ส่งศิลาวิญญาณให้กับผู้พิทักษ์ที่อยู่หน้าตำหนัก แล้วหยิบอาวุธออกมากลบฐานะตัวเองไว้ ก็ถูกลำแสงวิญญาณปกคลุมเรือนร่างขณะเดินเข้าไปในตำหนัก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หญิงสาวก็มาปรากฏตัวในห้องโถงของตำหนัก ที่นี่มีผู้บำเพ็ญเพียรที่อำพรางกายเช่นกันอยู่ร้อยกว่าคน กำลังวางแผงแลกเปลี่ยนกันไปมาด้วยท่าทีคึกคัก
ส่วนหญิงสาวสวมชุดสีเงินก็แค่กวาดดวงตาสีดำขลับไป ดวงตาเปล่งประกายพลางเดินไปที่มุมหนึ่ง
ตรงนั้นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าปีศาจที่ถูกห้อมล้อมด้วยไอสีดำกำลังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
เมื่อเห็นหญิงสาวสวมชุดสีเงินเดินเข้ามาใกล้ ไอสีดำก็หมุนวน ฝ่ามือสีขาวบริสุทธิ์ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากด้านใน กุมแผ่นหยกชำรุดครึ่งหนึ่งเอาไว้
หญิงสาวสวมชุดสีเงินเห็นเช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีทันที พลิกฝ่ามือทันที หยิบแผ่นหยกชำรุดอีกแผ่นออกมา
แผ่นหยกสองแผ่นประสานกันที่ตรงกลาง แล้วกลายเป็นของสมบูรณ์แบบทันที
“นายท่านนี่คือ…” หญิงสาวสวมชุดสีเงินมีสีหน้าผ่อนคลายลง แต่ยังคงใช้น้ำเสียงหยั่งเชิงเอ่ยถาม
“หึๆ เป็นเจ้าอีกแล้ว อาจารย์ของเจ้ากำลังกักตนหรือ?” ไม่รอให้หญิงสาวสวมชุดสีเงินเดินเข้ามาใกล้ ในไอสีดำกลับมีเสียงไพเราะของสตรีดังออกมา คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนรู้จักอีกฝ่ายอย่างไรอย่างนั้น
“อ่า ท่านอาวุโสฉิน เหตุใดท่านถึงมาด้วยตัวเอง ท่านอาจารย์ยังไม่ออกจากการกักตนเลย!” หญิงสาวสวมชุดสีเงินกลับเอ่ยถามด้วยความตกตะลึง
“วัตถุดิบที่ท่านอาจารย์ของเจ้าอยากได้ครั้งที่แล้ว มันล้ำค่ามาก ข้าไม่วางใจที่จะให้คนอื่นนำวัตถุดิบไป จึงทำได้เพียงต้องมาด้วยตัวเอง กลับเป็นอาจารย์ของเจ้าที่มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกร คาดไม่ถึงว่าจะทำให้เจ้าทะลวงระดับสร้างปราณ ผนึกจิตวิญญาณสีทอง และบรรลุระดับจิตวิญญาณสีทองขั้นกลางได้ในระยะเวลาสั้นๆ เพียงร้อยปี” หญิงสาวที่อยู่ในไอสีดำถอนหายใจออกมาเบาๆ ขณะเอ่ยตอบ
“นี่เป็นเพราะสมุนไพรต่างๆ ที่ท่านอาจารย์มอบให้อย่างไม่เสียดาย มีผลในการชำระไขกระดูกของกั่วเอ๋อร์ มิเช่นนั้นแค่คุณสมบัติของชนรุ่นหลัง ไม่มีอาจผนึกจิตวิญญาณสีทองได้ง่ายดายเช่นนี้แน่” หญิงสาวสวมชุดผ้าไหมกลับตอบด้วยสีหน้าซาบซึ้งต่ออาจารย์ของตน
นางคือศิษย์ในนามของหานลี่ เด็กหญิงที่มีนามว่าไป๋กั่วเอ๋อร์
ทว่าไม่ได้พบกันสองร้อยปี นางไม่เพียงเปลี่ยนจากเด็กหญิงในยามแรกเป็นหญิงร่างกายผอมบาง และกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมขั้นกลางแล้ว
หญิงสาวในไอสีดำนั่นก็คือฉินซู่เอ๋อร์ของเผ่าสุนัขจิ้งจอกสวรรค์ที่นัดแลกเปลี่ยนสมบัติจำนวนมากกับหานลี่ไว้ตอนแรก
ที่ผ่านมาทุกๆ ระยะเวลาหนึ่งไป๋กั่วเอ๋อร์ก็จะวิ่งมาที่นี่รอบหนึ่ง แน่นอนว่าก็เพื่อแลกเปลี่ยนตามที่หานลี่นัดกับหญิงสาวเอาไว้
“ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็นับถือวิธีของอาวุโสหานจริงๆ ดูจากสถานการณ์อนาคตของเจ้าคงจะบรรลุระดับเทพแปลงหลอมสุญตาได้แน่ เอาล่ะ พวกเราแลกเปลี่ยนตามที่ตกลงกันไว้ตอนแรกเถิด” ฉินซู่เอ๋อร์พลันเอ่ยชื่นชม แล้วเอ่ยถึงการแลกเปลี่ยน พลางส่งกล่องไม้สีม่วงที่ไม่รู้ว่าเอามาจากไหนออกมา
“ชนรุ่นหลังย่อมไม่มีปัญหา” ไป๋กั่วเอ๋อร์ฉีกยิ้มหวาน พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือมีวงแหวนทรงกลมสีฟ้าปรากฏขึ้น
……
หนึ่งชั่วยามต่อมาไป๋กั่วเอ๋อร์ก็เดินออกมาจากตำหนักอีกครั้ง และหลังจากที่มาถึงมุมหนึ่งของจุดรกร้าง ก็พวยพุ่งขึ้นไปบนฟ้าตรงไปยังทางที่มาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
สองเดือนต่อมาในเทือกเขาที่มีไอวิญญาณหนาแน่น ไป๋กั่วเอ๋อร์ควบคุมลำแสงหลีกหนีบินขึ้นไปกลางอากาศ และสุดท้ายก็ร่อนลงบนยอดเขาขนาดยักษ์ที่อยู่ในส่วนลึกของยอดเขา