คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1840 เงามารเข้ามาประชิด
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1840 เงามารเข้ามาประชิด
กลางอากาศเหนือทะเลทรายสีเหลืองเข้มที่กว้างไกลจนสุดลูกหูลูกตา รถศึกสัมฤทธิ์ที่มีนกอินทรีสีเงินยักษ์สองตัวลากอยู่กำลังเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบพลางบินอยู่กลางอากาศต่ำๆ
และใจกลางของรถศึก หานลี่กำลังหลับตานั่งสมาธิอยู่ตรงนั้น ผิวมีลำแสงสีทองไหลเวียนไปมารางๆ
ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ยกแขกขึ้นโบกสะบัดไปตรงหน้า
ชั่วขณะนั้นด้านล่างรถศึกพลันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ไอกระบี่สีเขียวความยาวสิบจั้งเศษเปล่งแสงวาววาบพลางปรากฏขึ้นกลางอากาศ แล้วสับลงมาด้านล่างอย่างแรง
เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ไอกระบี่ยักษ์จมหายเข้าไปในทะเลทรายอย่างไร้ร่องรอยราวกับภาพลวงตา
เสียงคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาจากทะเลทรายด้านล่าง ชั่วพริบตานั้นทะเลทรายในบริเวณรอบพลันพุ่งขึ้นมาราวกับน้ำตก
ส่วนใจกลางของทะเลทรายสีเหลือง อสูรโบราณราวกับรังไหมยักษ์ความยาวร้อยกว่าจั้งพลันปรากฏขึ้น แต่ร่างของมันทำได้แค่พลิ้วไหวกลางอากาศ แล้วกลายเป็นท่อนสองสามท่อนร่อนลงมา ในเวลาเดียวกันก็พ่นโลหิตสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา
รถศึกไม่ทันได้หยุดอยู่กลางอากาศ ก็กะพริบวาบๆ แล้วแฉลบผ่านด้านบนไป พลางพุ่งไปยังจุดที่ไกลออกไปต่อ
หานลี่ที่นั่งอยู่ในรถศึกยังคงไม่ลืมตาขึ้นมา หลังจากที่ลดแขนลง ก็ฝึกฝนอันใดสักอย่างเงียบๆ ต่อ
……
ในส่วนลึกของทะเลนิรนามแห่งหนึ่ง ภายในห้องลับของตำหนักขนาดยักษ์ รังไหมโลหิตเส้นผ่าศูนย์กลางเจ็ดแปดจั้งลอยตัวอยู่กลางอากาศ
เส้นไหมโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนที่พ่นออกมาจากรังไหมโลหิต ปกคลุมมุมต่างๆ ทั้งห้องลับเอาไว้ ตรงเพดานก็ไม่เหลือที่ว่าง
ส่วนตัวของรังไหมศิลาแวววาวก็โปร่งใส เมื่อมองผ่านเส้นไหมโลหิตจากไกลๆ ก็มองเห็นเงาสีดำที่กะพริบวาบๆ อยู่ได้iางๆ และยิ่งไปกว่านั้นหากเข้ามาประชิดอีกนิด ทุกๆ ระยะหนึ่งก็จะมีเสียง “ปัง” ดังขึ้น ราวกับว่ามีหัวใจที่แข็งแกร่งดวงหนึ่งกำลังเต้นอย่างช้าๆ
……
กลางอากาศเหนือหุบเขายักษ์นิรนามบนแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวน หญิงสาวสวมชุดสีขาวหน้าตางดงามคนหนึ่งและชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำหน้าตาอัปลักษณ์คนหนึ่งกำลังลอยนิ่งอยู่ตรงนั้น รอบด้านถูกชนต่างเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนปิดล้อมอย่างแน่นหนา
ชนต่างเผ่าเหล่านี้ล้วนมีผิวสีเขียว คอยืดยาว ประกอบกับท่อนขาหนาที่แหลมคมดุจใบมีดยักษ์สองใบ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเหมือนกับตั๊กแตนตำข้าวยักษ์ที่ยืนสองขาได้
ทว่าด้านล่างของหุบเขามีกองซากศพของชนต่างเผ่าจำนวนมาก เศษซากสีเขียวแทบจะกองเต็มพื้น ดูแล้วน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
แม้ว่าชายร่างใหญ่สวมชุดสีดำจะไม่มีคราบโลหิตบนเรือนร่าง แต่จิตสังหารบนเรือนร่าง โหนกแก้มทั้งสองล้วนมีเกล็ดสีดำขนาดเท่าเหรียญทองแดงอยู่ ในเวลาเดียวกันแขนสองขาที่โผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อก็เป็นสีดำสนิท ฝ่ามือทั้งสองกลายเป็นใบมีดสั้นที่แหลมคมสิบเล่ม ท่าทางดุดันเป็นอย่างยิ่ง
กลับเป็นหญิงสาวสวมชุดสีขาว ใต้ฝ่าเท้ามีบุปผายักษ์สีชมพูดอกหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์
แม้จะมีแค่สองคน แต่ชนต่างเผ่าจำนวนนับไม่ถ้วนรอบด้านกลับกำลังตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว ทยอยกันหวาดกลัวจนหัวหด ท่าทางหวาดกลัวมาก
“ข้าจะพูดอีกครั้ง ส่งดอกผลึกศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าขาเขียวของพวกเจ้าออกมา ข้าก็จะไปทันที มิเช่นนั้นข้าก็มีแต่ต้องสังหารทั้งเผ่าของเจ้าให้เกลี้ยง แล้วค่อยไปเอาบุปผาศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยปาก แต่กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ ราวกับว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว
“ดอกศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมบัติประจำเผ่าที่พวกเราถ่ายทอดสืบต่อกันมา จะมอบให้คนนอกได้อย่างไร แม้ว่าท่านอาวุโสจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย เงื่อนไขนี้ก็เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด” ชนต่างเผ่าผมสีเข้มที่ยืนอยู่ด้านหน้า ใช้สายตากวาดมองบุรุษชุดดำที่เพิ่งจะสังหารคนในเผ่าแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม
เขาเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง และเป็นผู้ที่มีพลังปราณสูงที่สุดสองสามคนในเผ่าประหลาด
ด้านหลังของเขายังมีสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นอีกสามคน แต่ก็มีท่าทางไฟลุกโชนในดวงตาเช่นกัน
ทว่าการต่อสู้เมื่อครู่ พวกเขาและอาวุโสหัวหน้าเผ่าถูกหญิงสาวชุดขาวใช้กลิ่นอายที่แข็งแกร่งบีบออกไป ไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด จึงทำได้เพียงมองชายร่างใหญ่ชุดดำสังหารคนอื่นๆ ในเผ่าตาปริบๆ
แม้ว่าเผ่าของพวกเขาจะต่อสู้สุดกำลัง แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็มีคนในเผ่านับพันคนถูกชายร่างใหญ่สังหารไป
อีกฝ่ายมีอิทธิฤทธิ์มากมาย ฝีมือโหดเหี้ยม ทำให้พวกเขาโกรธเกรี้ยวและอดที่จะรู้สึกเย็นเยียบในใจขึ้นมาไม่ได้
รู้ว่าเผ่าของพวกเขาพบกับหายนะในครั้งนี้ หากไม่ระวังเผ่าจะล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา
และในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน
“เรื่องนี้ข้าไม่สน หากไม่ส่งบุปผาศักดิ์สิทธิ์มา เผ่าของพวกเจ้าก็จะถูกกำจัดไปจากแดนวิญญาณ ไม่มีทางเลือกอื่น” หญิงสาวชุดขาวเอ่ยอย่างราบเรียบ แต่เนื้อหาในน้ำเสียงเย็นชาไร้ความรู้สึก
“นายท่านใช้ฐานะระดับมหายานรังแกเผ่าเล็กๆ ที่หลบหลีกจากโลกภายนอก และฝืนบังคับแย่งชิงสมบัติไป ไม่คิดว่าเกินไปหรือ!” อาวุโสหัวหน้าเผ่าขาเขียวลังเลเล็กน้อย ยังคงเอ่ยอย่างไม่ยินยอม
“ไม่ต้องมาจี้ใจดำข้า บุปผาศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าของเจ้าอาจจะมีประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างมาก ข้าจะต้องเอามาให้ได้ เจ้าเองก็อย่าคิดว่าโชคดี ข้าจะนับถึงสิบ หากไม่ส่งบุปผาศักดิ์สิทธิ์มา จากนี้ข้าจะลงมือเองแล้ว” หญิงสาวชุดขาวหัวเราะน้อยๆ ปากกลับเอ่ยสิ่งที่ทำให้ชนต่างเผ่าทั้งหมดรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
“หนึ่ง”
“สอง”
……
คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวชุดขาวจะเริ่มนับอย่างราบเรียบ
แม้ว่าเสียงของสตรีผู้นี้จะไพเราะน่าฟัง แต่เมื่อเข้าโสตประสาทของชนต่างเผ่ารอบด้าน กลับราวกับระฆังล่าวิญญาณ ล้วนพากันหน้าเปลี่ยนสี
“ท่านอาวุโสไม่ต้องนับ ข้ายอมมอบบุปผาผลึกศักดิ์สิทธิ์ให้!” อาวุโสหัวหน้าเผ่าขาเขียวมีสีหน้าซีดขาว ในที่สุดก็เอ่ยยอมแพ้อย่างไร้เรี่ยวแรง
“เช่นนั้นถึงจะเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด! ขอแค่ส่งบุปผาศักดิ์สิทธิ์มา ข้าย่อมไม่สนใจเผ่าของเจ้า” หญิงสาวชุดขาวยกแขนขึ้นลูบปอยผมที่หน้าผาก แล้วเอ่ยพร้อมกับหัวเราะเบาๆ
ดังนั้นทุกอย่างหลังจากนี้ก็ง่ายดายขึ้นมากแล้ว
ชนต่างเผ่าคนหนึ่งกลับไปยังเขตต้องห้ามในเผ่าขาเขียวในหุบเขาทันที หลังจากได้รับคำสั่งจากหัวหน้าเผ่า
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมื่อชนต่างเผ่าคนนั้นเอากล่องไม้สีเขียวมรกตใบหนึ่งมาส่งให้หญิงสาวชุดขาวด้วยสีหน้าปวดร้าว
หญิงสาวผู้นี้ก็ไม่แม้แต่จะเปิดของในกล่องออกดู แค่กวาดจิตสัมผัสไปเบาๆ สีหน้ากลับเคร่งขรึม ชายร่างใหญ่ชุดดำเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ใบหน้าอัปลักษณ์ก็ขยับ แล้วอดที่จะเผยสีหน้าโหดเหี้ยมขึ้นมาไม่ได้
นี่จึงทำให้ชนต่างเผ่าระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามใจเต้นระรัว จนเกือบจะคิดว่าอีกฝ่ายรู้สึกเสียดายในภายหลัง
โชคดีที่ครู่ต่อมาหญิงสาวชุดขาวกลับเอ่ยคำว่า “ไป” อย่างราบเรียบออกมากับชายร่างใหญ่ชุดดำ จากนั้นบุปผายักษ์สีชมพูใต้ฝ่าเท้าก็ขยับ กลายเป็นลำแสงสีแดงกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศออกไป
ชายร่างใหญ่ชุดดำส่งเสียงหวีดร้องยาวๆ ออกมา กลายเป็นไอสีดำไล่ตามหญิงสาวชุดขาวไปติดๆ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ทั้งสองก็หายวับไปจากสายตาของชนนอกเผ่า
ชาวเผ่าขาเขียวเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ถึงได้พ่นลมหายใจยาวๆ ออกมาเฮือกหนึ่ง
แม้ว่าการเสียสมบัติประจำเผ่าอย่างบุปผาศักดิ์สิทธิ์ไป จะทำให้พวกเขาที่อ่อนแออยู่แล้ว ลำบากในวันข้างหน้า แต่ถึงอย่างไรเผ่าก็ไม่ล่มสลายไปตรงหน้า
ภายใต้คำสั่งของอาวุโสผู้นั้น ชาวเผ่าขาเขียวก็บินไปยังหุบเขาด้านล่างทันที แล้วเริ่มเก็บซากโครงกระดูกของคนในเผ่า
แทบจะในเวลาเดียวกันหญิงสาวชุดขาวและชายร่างใหญ่ชุดดำกลับอยู่ห่างออกไปหลายหมื่นลี้แล้ว
“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ หรือว่าบุปผาศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่ท่านอยากตามหาหรือ?” ชายร่างใหญ่ชุดดำบินมาได้ระยะหนึ่ง ก็อดไม่ไหวเอ่ยถามหญิงสาวชุดขาวขึ้น
“ไม่ใช่ แค่คล้ายกับบุปผาที่ข้าอยากตามหาเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตฟ้าดินที่หายากได้ในแดนนี้ แต่สำหรับข้าแล้วกลับไม่มีประโยชน์” หญิงสาวชุดขาวตอบกลับอย่างราบเรียบ
“เช่นนั้นพวกเราก็มาเสียเที่ยว” ชายร่างใหญ่ชุดดำได้ยินคำตอบนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยสีหน้าผิดหวัง
“ของสิ่งนั้นจะหาเจอได้ง่ายๆ ได้อย่างไร พวกเราตามหาตามเผ่าต่างๆ ในละแวกนี้ไปแล้ว จากนี้ก็ไปหายังดินแดนใกล้เคียงเถิด แม้ว่าแผ่นดินใหญ่เฟิงหยวนจะมีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีเท่าไหร่ แต่จำนวนเผ่าต่างๆ กลับมากกว่าแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนีหลายเท่า จะตามหาคงต้องใช้เวลาอีกมาก” หญิงสาวชุดขาวตอบกลับอย่างไร้ซึ่งความประหลาดใจ
“ขอรับ ใต้เท้า” แม้ว่าชายร่างใหญ่ชุดดำจะถอนหายใจออกมา แต่ก็ยังตอบรับด้วยสีหน้านอบน้อม แล้วไม่ได้เอ่ยถามอันใดอีกอย่างซื่อสัตย์
……
แปดสิบปีต่อมาบนผืนทะเลสีฟ้าคราม ฝูงชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินกำลังกระพือปีกบินไปข้างหน้าสุดชีวิต
คนเหล่านี้มีทั้งบุรุษและสตรี แต่ทั้งหมดล้วนอายุยังน้อย พลังยุทธ์สูงที่สุดก็อยู่แค่ระดับก่อกำเนิดเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนมีพลังยุทธ์แค่ระดับหลอมรวม
ทว่าไม่ว่าจะพลังยุทธ์สูงหรือต่ำ ชนเผ่าวิญญาณสิบกว่าคนก็กำลังบินไปข้างหน้าอย่างสุดแรงพร้อมกัน บางครั้งก็หันไปมองด้านหลังไม่หยุดแล้วมีสีหน้าตกตะลึงระคนหวาดกลัว!
เห็นเพียงสุดขอบทะเลด้านหลังคาดไม่ถึงว่าจะมีเส้นสีเงินสายหนึ่งปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และกำลังหมุนวนมาทางนี้ด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อพร้อมกับมีเสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้มีสีหน้าหวาดผวายิ่งกว่าเดิม คาดไม่ถึงว่าจะกระอักโลหิตสดๆ ออกมา บ้างก็สำแดงเคล็ดวิชาลับปกป้องชีวิต บ้างก็สำแดงสมบัติอาคมและยันต์วิเศษต่างๆ ออกมา
ชั่วขณะนั้นความเร็วคนเหล่านี้ก็เพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง แต่เช่นนั้นก็ยังไม่ต่างอันใดกับสายสีเงินด้านหลังนัก
หลังจากบินมาเช่นนั้นครึ่งชั่วยามในที่สุดชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินก็ค่อยๆ ลดความเร็วลงเพราะพลังปราณไม่พอ
สายสีเงินด้านหลังหมุนวนเข้ามาประชิดเป็นอย่างมาก
เช่นนั้นใช้ตาเนื้อก็มองเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของสายสีเงินได้อย่างชัดเจน
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นพายุทะเลหมุนที่ไร้ขอบเขตส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
พายุทะเลนี้ไม่เพียงจะกว้างใหญ่ยังทะลวงขึ้นไปบนท้องฟ้าจนมองไม่เห็นปลายยอด ด้านในมีประจุไฟฟ้า ลูกเห็บและสิ่งของต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงกรีดร้องไม่หยุดท่าทางน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
เห็นพายุทะเลหมุนด้านหลังอยู่ห่างจากชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินไม่ถึงร้อยลี้ ขอแค่อีกชั่วครู่ก็จะไล่ตามทัน ชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินกลุ่มนี้ก็จะเผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
ครั้งนี้พวกเขาออกมาหาประสบการณ์นอกมหาสมุทรคาดไม่ถึงว่าจะพบกับ ‘ระลอกคลื่นสีเงิน’ หายนะสวรรค์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในละแวกมหาสมุทร นับได้ว่าดาวมฤตยูมาถึงตัว จะเอาชีวิตรอดได้นั้นเป็นไปได้ยากยิ่ง
ทว่าแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้ย่อมไม่ยินยอมรอความตาย
ทันใดนั้นชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินระดับก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ส่งเสียงร้องตะโกนออกมาคนทั้งกลุ่มกัดฟันหยุดหลบหนี จากนั้นก็สร้างเขตอาคมอย่างรวดเร็ว และทยอยกันควักธงอาคมขนาดสองสามจั้งออกมาจากกำไลเก็บของแล้วโบกสะบัดไปมาไม่หยุด!