คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1842 ตกตะลึง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1842 ตกตะลึง
หานลี่ที่กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวอยู่ห่างจากกลุ่มชนเผ่าวิญญาณเหาะเหินไปสองสามพันลี้แล้ว แต่ใบหน้ากลับยังมีสีหน้าครุ่นคิด
จากปากของชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินเมื่อครู่ เขาจึงรู้ความเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในช่วงที่ผ่านมาของเผ่าวิญญาณเหาะเหินอย่างชัดเจน ทว่าเรื่องอื่นย่อมไม่เกี่ยวอันใดกับเขา แน่นอนว่าจึงไม่ได้สนใจอันใด
เรื่องที่หานลี่สนใจก็มีแค่สองเรื่องเท่านั้น
เรื่องแรกก็คือหลังจากที่ราชาปีศาจทั้งสี่ดินแดนเข้าไปในแม่น้ำยมโลกพร้อมกับเขาแล้ว ดูเหมือนจะไม่ได้กลับมา จนทำให้เผ่าวิญญาณเหาะเหินต่างๆ ร่วมมือกันยึดครองและกำจัดปีศาจต่างๆ จนเกลี้ยง
อีกเรื่องหนึ่งก็คือไป๋ปี้และเหลยหลันที่กลับมาได้อย่างปลอดภัยจากการทดสอบ ก็ได้ฐานะบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ ทำให้เผ่าวิหคสวรรค์หลุดพ้นจากสถานการณ์การถูกล้างเผ่าพันธุ์
เรื่องแรกนั้นไม่ต้องพูดถึง แม่น้ำยมโลกมีชิงหยวนจื่อนั่งบัญชาการอยู่ ประกอบกับเผ่าแมลงมีเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงดูเหมือนจะมีความลับอื่นซ่อนอยู่ ราชาปีศาจทั้งสี่ติดอยู่ในนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
ทว่าเช่นนี้เขาก็ไม่ได้เข้าไปในแม่น้ำยมโลก หากเขายังไม่เข้าไปในแม่น้ำยมโลก ก็จะเกิดปัญหา
พิกัดที่ชิงหยวนจื่อตกลงกับเขาไว้ในตอนแรกก็คือสถานที่ใดสักแห่งหนึ่งในหุบเหวลึก
หากไม่ถึงตำแหน่งนั้น แม้ว่าอีกฝ่ายจะมอบจานดาราให้ เขาก็ไม่อาจทะลวงแดนเข้าไปในแม่น้ำยมโลกได้
ถึงอย่างไรเสียแม้ว่าตอนแรกสี่ราชาปีศาจจะร่วมมือกัน ก็ยังต้องเสียวลาไปไม่น้อย และยังต้องอาศัยพลังจากภายนอกถึงจะเปิดทางเข้าแม่น้ำยมโลกได้
ยามนี้แม้ว่าเขาจะรู้ตัวว่าไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นปลาย แต่ก็ไม่มีความสามารถจะทลายห้วงเวลาได้
ส่วนเรื่องที่สองตอนนั้นเขาเคยสวมรอยเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ และอาศัยพลังจากเผ่านี้หลอมคาถาตื่นจากจำศีล แต่ก็ถูกอาวุโสของเผ่าบีบให้เข้ามาในหุบเหวลึก และตกอยู่ในมือของสี่ราชาปีศาจ ดังนั้นความแค้นที่มีต่อเผ่าวิหคสวรรค์ จึงยังไม่อาจแยกแยะให้กระจ่างได้
ทว่าหากอยากเข้าไปในหุบเหวลึกอีกครั้ง ไม่แน่ว่าอาจจะอาศัยพลังของเผ่านี้ได้
หานลี่ขบคิดเรื่องนี้อีกครั้ง ฉับพลันนั้นพลันพลิกฝ่ามือ คัมภีร์สีฟ้าและจานทรงกลมสีขาวปรากฏขึ้นในมือพร้อมกัน
มือหนึ่งเอาคัมภีร์แตะที่หน้าผาก หรี่ตาทั้งสองข้างกวาดจิตสัมผัสเข้าไปในเนื้อหาในคัมภีร์ แล้วควงจานทรงกลมสีขาวเล่น
หลังจากที่หานลี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส สุดท้ายก็ดูเหมือนตัดสินใจได้ เก็บทั้งสองสิ่ง สายรุ้งสีเขียวส่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา จากนั้นพลันสั่นเทา ชั่วพริบตานั้นความเร็วก็เพิ่มขึ้นหลายเท่า
ห้าเดือนต่อมา กลางอากาศห่างจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ไปร้อยกว่าลี้ ลำแสงสีเขียวเจิดจ้าดวงหนึ่งพุ่งแหวกอากาศมาราวกับดาวตก ยังไม่ทันได้เข้าใกล้เมืองศักดิ์สิทธิ์ ก็มีเสียงผิวปากดังขึ้น
ยามแรกเสียงผิวปากนี้ไม่ดังนัก แต่ก็ดังอย่างต่อเนื่อง ชั่วครู่ก็พุ่งทะลุท้องฟ้า ดังสะท้อนไปมาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ราวกับระลอกคลื่น
สถานการณ์ที่น่าตกตะลึงนี้ย่อมทำให้สิ่งมีชีวิตระดับสูงในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ตกตะลึง ชั่วขณะนั้นเงาร่างคนสองสามสายพลันพุ่งออกมาจากสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ จากนั้นพลันพลิ้วไหว กลายเป็นประจุไฟฟ้าสายหนึ่งบ้างก็รางเลือนหายไปพร้อมกัน
ครู่ต่อมาเงาร่างคนสองสามสายก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศด้านนอกเมืองศักดิ์สิทธิ์ ใช้สายตาประหลาดใจมองไปยังลำแสงสีเขียวที่พุ่งเข้ามา
แม้ว่าดวงลำแสงสีเขียวจะอยู่ห่างจากพวกเขาระยะหนึ่ง แต่กลิ่นอายป่าเถื่อนที่แผ่ออกมาก็ดูเหมือนว่าจะกลืนกินท้องฟ้าและผืนทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น
กลิ่นอายนี้เป็นกลิ่นที่พวกเขาคุ้นเคยมาก เป็นกลิ่นอายของวิหคสวรรค์ที่พวกเขาบูชา และระดับความบริสุทธิ์เช่นนี้ ดูเหมือนจะมีแค่อาวุโสใหญ่ในเผ่าที่มีได้
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้คนอื่นๆ ก็อดที่จะหันหน้าไปไม่ได้
จุดที่พวกเขามองไป หญิงสาวสวมชุดสีขาวมีปีกสีทองที่แผ่นหลังคนหนึ่ง กำลังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แต่สายตาที่มองไปยังลำแสงสีเขียวก็ยังคงมีสีหน้าฉงน
นั่นก็คือจินเย่ว์อาวุโสใหญ่ของเผ่าวิหคสวรรค์!
ทว่าหญิงสาวผู้นี้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ แม้ว่ากลิ่นอายที่แผ่ออกมาจะน่าตกตะลึง แต่ก็ไม่มีอันใดต้องหวาดกลัว กลับใช้มือหนึ่งร่ายอาคมโดยไม่พูดไม่จา รูม่านตาเปล่งแสงสีทองออกมา สำแดงอิทธิฤทธิ์เนตรวิญญาณนิรนามชนิดหนึ่งออกมา
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเขียวที่ทำให้ผู้คนไม่อาจสบสายตาตรงๆ ได้ ก็ปรากฏอย่างชัดเจนในสายตาของหญิงสาว
“นี่คือ…”
แต่จินเย่ว์พลันตะลึง ใบหน้าเผยสีหน้าเปลี่ยนสีออกมา
“ท่านอาวุโส ท่านเห็นสิ่งใด?” ชายชราเคราสีแดงระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นด้านข้างอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้
“อาวุโสเซียวอีกเดี๋ยวก็รู้เอง!” จินเย่ว์มีสีหน้าแปลกประหลาด หลังจากเงียบขรึมไปเล็กน้อย ถึงได้สั่นศีรษะขณะเอ่ย
ได้ยินจินเย่ว์กล่าวเช่นนี้ อาวุโสเซียวย่อมไม่ซักถามอันใดต่อ อาวุโสระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ ก็ไม่ได้เอ่ยปากอย่างรู้จักวางตัว ล้วนจ้องมองไปที่ลำแสงสีเขียวที่อยู่ไกลออกไป
และเวลาที่ล่าช้าเพียงเท่านั้น ลำแสงสีเขียวกลับมาอยู่ตรงหน้าทุกคนราวกับพายุ ลำแสงหม่นแสง คาดไม่ถึงว่าจะเผยร่างวิหคยักษ์สีเขียวออกมา
วิหคตัวนี้มีความยาวสิบจั้ง ปีกทั้งสองข้างดุจเหล็กกล้า กรงเล็บดุจตะขอ คาดไม่ถึงว่าจะเหมือนวิหคคุนเผิงในตำนานก็ไม่ปาน
แม้ว่าจะคาดเดาเอาไว้ในใจตั้งนานแล้ว แต่พอพบกับวิหคยักษ์ตรงหน้า อาวุโสเซียวและพวกก็ยังอดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
ยังไม่รอให้คนเหล่านั้นเอ่ยปากซักถามอันใด วิหคยักษ์ก็สยายปีกทั้งสองข้าง ชั่วขณะนั้นก็ผิวปากยาวๆ ออกมา แต่ครู่ต่อมาผิวของมันก็มีอักขระสีเขียวไหลวนโคจร ร่างกายขยายใหญ่ขึ้น
กะพริบวาบๆ วิหคคุนเผิงสีเขียวตัวนี้ก็มีขนาดใหญ่ยักษ์สองสามร้อยจั้งราวกับภูเขาขนาดย่อม ดวงตาสีทองทั้งสองข้างเปล่งประกาย กระพือปีกเบาๆ สายฟ้าฟาดลงมา กลิ่นอายมหึมาทำให้อาวุโสขอเผ่าวิหคสวรรค์ระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้นอดที่จะตกตะลึงจนล่าถอยไปหลายก้าวไม่ได้
แม้ว่าจินเย่ว์จะยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ทว่าหน้าเปลี่ยนสี แววตากลับฉายแววดีใจ
“นายท่านคือผู้ใด? ในเมื่อรู้วิธีแปลงร่างของวิหคสวรรค์ และฝึกฝนได้ถึงขั้นนี้ ก็น่าจะเป็นคนของเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราถึงจะถูก เหตุใดถึงไม่ปรากฏตัวด้วยร่างเดิม” จินเย่ว์มองวิหคยักษ์ ในที่สุดก็เอ่ยปากอย่างเชื่องช้า น้ำเสียงแหบพร่าไปเล็กน้อย แต่ก็เต็มไปด้วยท่าทีไม่อาจสงสัยได้
“ไม่เจอกันสองสามร้อยปี สหายจินยังคงงดงามเหมือนเก่า ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ” วิหคยักษ์สีเขียวก้มหน้ากวาดมองจินเย่ว์แวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เอ่ยภาษามนุษย์ออกมา แม้ว่าจะไม่ได้อยากเอ่ยเสียงดัง แต่ก็ยังคงดังก้องโสตของอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์
“เอ๋ ท่านคือ…” จินเย่ว์เลิกคิ้วดำขลับ กลับดูเหมือนจะฟังอันใดออก ใบหน้างดงามอดที่จะเผยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมาไม่ได้
“หึๆ ดูแล้วท่านอาวุโสคงจำผู้แซ่หานได้แล้ว”
วิหคยักษ์หมุนตัวร่อนลงมาด้านล่าง ร่างกายอันใหญ่ยักษ์กลายเป็นลำแสงสีเขียวแล้วสลายหายไป ปรากฏตัวเป็นชายสวมชุดคลุมสีเขียวมีปีกที่แผ่นหลัง กำลังมองจินเย่ว์ด้วยรอยยิ้มบางๆ
“เป็นเจ้า”
“เป็นไปไม่ได้”
ครั้งนี้ไม่รอให้จินเย่ว์เอ่ยปาก อาวุโสแซ่สวีและหญิงงามอีกคนที่ดูท่าเป็นอาวุโสกลับร้องอุทานออกมาพร้อมกัน
“ที่แท้อาวุโสทั้งสองก็อยู่ที่นี่ ผู้แซ่หานขอคารวะ” ชายสวมชุดคลุมสีเขียวย่อมเป็นหานลี่ที่เพิ่งสำแดงการแปลงร่างสวรรค์เมื่อครู่ เมื่อได้ยินคำพูดของอาวุโสเคราสีแดง ทันใดนั้นก็มองไปแวบหนึ่ง แล้วประสานมือคารวะด้วยรอยยิ้มบางๆ
“พี่ซวี พวกเจ้ารู้จักคนผู้นี้! คนผู้นี้คือคนของวิหคสวรรค์ของพวกเราหรือไม่? หากใช่เหตุใดพลังยุทธ์ขนาดนี้ข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน?” อาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ย่อมตกตะลึงค้าง หนึ่งในนั้นทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
อาวุโสแซ่สวีและหญิงงามกลับไม่สนใจจะตอบคำถาม กลับมองสบตากันแวบหนึ่ง ล้วนมองสีหน้าตกตะลึงจากใบหน้าของอีกฝ่ายออก
ตอนแรกที่หานลี่มาปรากฏตัวในเมืองศักดิ์สิทธิ์ อาวุโสคนอื่นๆ นั้นมีธุระไปนั่งบัญชาการที่เมืองอื่นของเผ่าวิหคสวรรค์ ในตอนแรกไม่รู้จัก ‘บุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์’ผู้นี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด
ทว่าตามหลักการแล้ว หานลี่ตกอยู่ในมือของราชาปีศาจหุบเหวลึกตอนแรก แปดเก้าส่วนก็คงต้องเพลี่ยงพล้ำไปถึงจะถูก
แต่ยามนี้อีกฝ่ายกลับมาปรากฏตรงหน้าพวกเขา และสำแดงการแปลงร่างเป็นวิหคสวรรค์ที่น่าตกตะลึง แทบยังพัฒนาระดับขั้นจนมาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ นี่จะไม่ทำให้ทั้งสองคนตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งได้อย่างไร
“เป็นสหายหานจริงๆ ด้วย ตอนนั้นสหายไม่ได้เพลี่ยงพล้ำในหุบเหวลึกดังคาด ยามนี้ยังพัฒนามาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ ดูแล้วสหายหานคงมีวาสนาในหุบเหวลึกสินะ” ในที่สุดจินเย่ว์ก็เอ่ยปาก แต่น้ำเสียงยังคงเยือกเย็นจนอยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคน
“ผู้แซ่หานบังเอิญมีวาสนาในหุบเหวลึกจริง แต่ไม่เกี่ยวกับที่ข้ามีพลังยุทธ์ระดับนี้ในยามนี้ กลับเกือบจะเพลี่ยงพล้ำในเงื้อมมือของสี่ราชาปีศาจไปหลายครั้ง” หานลี่กลับหยักมุมปาก ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งเบาๆ
“งั้นหรือ? ไม่ว่าสหายหานจะพัฒนาพลังยุทธ์ได้อย่างไร แต่ในเมื่ออยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ได้ย่อมเป็นเรื่องน่ายินดี และยิ่งไปกว่านั้นเรื่องในปีนั้นข้าก็ยังไม่ได้ขอบคุณสหายเลย ทว่าที่นี่ไม่ใช่สถานที่พูดคุย สหายตามข้ามาพักในเมืองเถิด ข้าว่าที่สหายทำเช่นนี้ คงไม่ได้แค่มาพบกับข้าและสหายเก่าสินะ” จินเย่ว์แววตาเปล่งประกาย ฉับพลันนั้นก็ฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย
“อาวุโสใหญ่มีดวงตาเฉียบแหลมนัก ข้าน้อยมาเพราะมีเรื่องจะปรึกษาสหายจินจริงๆ” หานลี่หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ยยอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“เช่นนั้นก็เชิญสหายหานเถิด” จินเย่ว์ได้ยิน ใบหน้างดงามก็เผยรอยยิ้มออกมา ทันใดนั้นก็ทำท่าเผยมือเชิญ
อาวุโสคนอื่นๆ ในเผ่าวิหคสวรรค์รวมทั้งอาวุโสซวีและหญิงงาม แม้ว่าจะตกตะลึงระคนสงสัย แต่จินเย่ว์รับตำแหน่งอาวุโสใหญ่มานานแล้ว อำนาจในเผ่าวิหคสวรรค์จึงไม่เป็นสองรองใคร แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่กล้าขัดแย้งใดๆ
ส่วนหานลี่ก็ฉีกยิ้ม ขยับกาย บินตามหญิงสาวสวมชุดคลุมสีขาวตรงไปยังเมืองศักดิ์สิทธิ์ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีท่าทางลังเลเลยสักนิด
อาวุโสคนอื่นๆ ของเผ่าวิหคสวรรค์ก็ตามไปด้วยสีหน้าหลากหลาย
เสียงร้องและร่างวิหคยักษ์สีเขียวของหานลี่เมื่อครู่ ล้วนเป็นสิ่งที่น่าตกตะลึง แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจจากสิ่งมีชีวิตระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนในเมืองศักดิ์สิทธิ์
ทว่าสิ่งมีชีวิตระดับขุนพลวิญญาณของเผ่าวิหคสวรรค์เหล่านี้ เห็นอาวุโสสองสามท่านปรากฏตัวนอกเมือง ย่อมไม่กล้าเข้ามารบกวน แค่มองไปยังท้องฟ้านอกเมือง
แต่แค่พวกเขาอยู่ห่างกันเกินไป ประกอบกับบริเวณนี้ถูกอาวุโสใหญ่จินเย่ว์วางเขตอาคมกั้นเสียงเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่ได้ยินอันใดเลยสักนิด
พวกเขาแค่เห็นวิหคยักษ์สีเขียวตัวนั้นกลายเป็นชายหนุ่มที่ดูเหมือนคนของเผ่าตน จากนั้นก็พูดคุยกับอาวุโสสองสามท่าน แล้วตรงเข้ามาในเมือง
เช่นนั้นพวกเขาย่อมรู้สึกงุนงง ไม่เข้าใจเหตุผลเลยสักนิด
ดังนั้นภายใต้การจับจ้องของวิหคสวรรค์ หานลี่กลับเข้ามาในเมืองศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์ด้วยสีหน้าราบเรียบ
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ชาววิหคสวรรค์ถึงได้แยกย้ายกันออกไปทำธุระของตนเองต่อ