คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1844 กลับไปยังหุบเหวลึก (ตอนต้น)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1844 กลับไปยังหุบเหวลึก (ตอนต้น)
“เข้าไปในหุบเหวลึก?” จินเย่ว์ได้ยินพลันตกตะลึง
“อันใด สหายจินคิดว่าเงื่อนไขนี้ยากเกินไปหรือ? ยามนี้หุบเหวลึกไม่ได้ถูกเผ่าวิญญาณเหาะเหินครอบครองเอาไว้งั้นหรือ สหายส่งข้าเข้าไปน่าจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายสินะ” หานลี่เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“หากเป็นร้อยปีก่อน สหายพูดเช่นนี้ย่อมไม่ผิด พาคนเข้าไปในหุบเหวลึกย่อมไม่ใช่เรื่องเปลืองแรงอันใด แต่ยามนี้กลับยุ่งยากมาก” จินเย่ว์ใช้นิ้วลูบไปที่คัมภีร์หยกในมือสองครั้งตามจิตสำนึก แล้วถึงได้เอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“อ๋อ เพราะเหตุใด?” หานลี่เอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“ง่ายมาก ร้อยปีก่อนมีคนเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของหุบเหวลึกโดยบังเอิญ แล้วพบแร่หายากลึกลับ แร่นี้ไม่เพียงสำคัญกับเผ่าต่างๆ เป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นจำนวนยังน่าตกตะลึง เพื่อไม่ให้ถูกเผ่าอื่นๆ ขโมยไป ดังนั้นทั้งหุบเหวลึกจึงถูกปิดผนึกเอาไว้ โดยเฉพาะชั้นสุดท้ายที่มีเหมืองแร่ นอกจากผู้รักษาการณ์แล้ว คนอื่นๆ แม้กระทั่งอาวุโสย่อมไม่อาจเข้าไปได้ง่ายๆ” จินเย่ว์ลังเลเล็กน้อย แล้วถึงได้อธิบายขึ้น
“ชั้นที่ลึกที่สุด? ข้าน้อยเอ่ยบอกว่าจะไปที่นั่นยามใดกัน ข้าแค่จะเข้าไปที่ชั้นที่สามของหุบเหวลึกเท่านั้น” หานลี่ได้ฟัง ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เข้าไปส่วนลึก ย่อมไม่ใช่ว่าจะไม่อาจปรึกษากันได้ ทว่าหากสหายหานอยากแลกเปลี่ยนจริงๆ ก็ต้องบอกจุดประสงค์ที่จะเข้าไปในหุบเหวลึกกับข้าก่อน ถึงอย่างไรเสียหุบเหวลึกก็เป็นที่มั่นของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน และยังมีความลึกลับที่ยังไม่พบอีก สหายคงไม่ได้คิดว่าข้าจะพาคนนอกเข้าไปที่นั่นโดยไม่รู้อันใดหรอกนะ แม้ว่าคาถาของสหายจะมีประโยชน์ต่อเผ่าวิหคสวรรค์มาก ข้าก็ไม่อาจทำเรื่องที่โง่เขลาได้” หญิงสาวจ้องเขม็งไปที่หานลี่ แล้วเอ่ยออกมาทีละคำๆ
หานลี่ได้ฟังคำพูดของอีกฝ่าย ใบหน้าก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยว่า
“ข้ารู้ว่าสหายกังวลใจเรื่องใด ทว่าอาวุโสโปรดวางใจ สาเหตุที่ผู้แซ่หานต้องเข้าไปในที่ชั้นสามของหุบเหวลึกก็เพราะมีนัดกับอาวุโสท่านหนึ่ง จำต้องอาศัยพิกัดนี้ให้ท่านอาวุโสผู้นั้นดึงเข้าไปในอีกห้วงมิติเวลา ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับเผ่าวิญญาณเหาะเหินแน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเสียหายอันใด ส่วนเรื่องที่เป็นรูปธรรมนั้นต้องขอโทษด้วยที่ผู้แซ่หานไม่อาจบอกได้”
“อีกมิติเวลาหนึ่ง! สหายหานมีพลังยุทธ์อยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว ผู้ที่ทำให้สหายเรียกว่าท่านอาวุโสได้หรือว่าจะเป็น…” จินเย่ว์หน้าเปลี่ยนสี
“ท่านอาวุโสรู้แล้วก็ดี ท่านอาวุโสผู้นี้มีที่มาที่ไปเดียวกับเผ่ามนุษย์ของพวกเรา ตอนนั้นข้าหนีรอดจากเงื้อมมือของสี่ราชาปีศาจมาได้ก็เพราะมีท่านอาวุโสผู้นี้คอยช่วยเหลือ ครั้งนี้ที่ข้าน้อยกลับมาที่นี่ก็เพราะข้อตกลงของท่านอาวุโส หากไม่ได้พบกันจริงๆ เกรงว่าท่านอาวุโสผู้นี้คงไม่พอใจและไม่แน่ว่าอาจจะพาลโกรธเผ่าของท่าน” หานลี่แววตาเปล่งประกายแล้วเอ่ยอย่างมีเลศนัย
“เจ้ากำลังข่มขู่ข้า!” จินเย่ว์มีสีหน้าดูไม่ได้
“ไม่ได้ข่มขู่แน่นอน ทว่าท่านอาวุโสผู้นี้ซ่อนตัวมาหมื่นปีแล้วก็ไม่รู้ และการเดินทางของข้าน้อยในครั้งนี้ก็สำคัญกับท่านอาวุโสผู้นี้เป็นอย่างมาก คิดดูแล้วสหายจินคงไม่อยากให้เผ่าวิญญาณเหาะเหินมีศัตรูโดยเปล่าประโยชน์หรอกกระมัง!” หานลี่หยักมุมปากขึ้นพลางเอ่ยด้วยสีหน้าอมยิ้ม
“หึ ต่อให้เป็นเช่นนั้นข้าจะรู้ว่าเจ้าพูดจริงได้อย่างไร?” จินเย่ว์มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส สุดท้ายก็แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา
“นี่ยังไม่ง่ายดายอีกหรือ ขอแค่สหายพาข้าน้อยไปที่ชั้นสามของหุบเหวแล้วดูขั้นตอนการจากไปของข้าน้อยด้วยตาของตัวเองก็น่าจะไม่สงสัยใดๆ อีกแล้วกระมัง หากถึงยามนั้นสหายคิดว่ามีจุดใดที่ไม่เหมาะสม ก็ลงมือจับเป็นผู้แซ่หานได้เลย จากพลังยุทธ์ระดับขั้นปลายของสหายในยามนี้ขัดขวางระดับขั้นกลางคนหนึ่งคงเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แน่นอนว่าหากสหายจินยังไม่รู้สึกไว้วางใจก็พาคนไปด้วยสักสองสามคนข้าน้อยจะไม่โต้แย้ง” หานลี่ตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด
“วิธีการไม่เลวแต่ข้ายังไม่วางใจ ปีนั้นสหายมีอิทธิฤทธิ์ไม่ธรรมดา ยามนี้พัฒนามาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางถึงยามนั้นหากมีจุดใดที่ไม่เป็นความจริงข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะจับเป็นเจ้าได้” แววตางดงามของจินเย่ว์เปล่งประกาย กลับยังมีท่าทางระมัดระวังตัว
“ที่สหายจินพูดก็จริง อาคมที่ข้าจะให้สหายสอดคล้องกับเคล็ดวิชาแปลงกายของเผ่าท่านเพียงพอที่จะทำให้อานุภาพในการแปลงกายเป็นวิหคสวรรค์เพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง หากเผ่าของท่านได้คาถานี้ไปภายในหมื่นปีย่อมมีความหวังที่จะทำให้เผ่าวิหคสวรรค์กระโดดขึ้นไปอยู่ลำดับแรกๆ ของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน สหายจินกลับคิดจะอยากได้มันโดยไม่เสี่ยงอันตรายใดๆ ไม่คิดว่ามันจะเกินไปหรือ!” หานลี่เอ่ยอย่างเย้ยหยันเล็กน้อย
ได้ยินคำพูดของหานลี่รูม่านตาของจินเย่ว์ก็หดเล็กลงแล้วเผยแววตาเย็นชาออกมา
“สหายจินอย่าคิดเรื่องอื่นเลยดีกว่าสหายน่าจะรู้ดีในเมื่อข้ามาที่นี่เพียงลำพังแน่นอนว่าย่อมไม่ได้หวาดกลัวว่าเผ่าของท่านจะมีความคิดอื่น คาถาท่อนหลังข้าไม่ได้คัดลอกเอาไว้ในคัมภีร์แต่จำไว้ในจิตสัมผัส หากสหายอยากใช้วิธีอื่นให้ได้มันมาข้าน้อยก็คงทำลายคาถานี้ไป และยิ่งไปกว่านั้นจากพลังของเผ่าท่านจะหยุดผู้แซ่หานได้จริงหรือไม่เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่พูดยาก” หานลี่หัวเราะหึๆ ออกมา
“นายท่านกังวลเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรเสียปีนั้นนายท่านก็มีบุญคุณต่อเผ่าเรา ข้าจะมีความคิดอื่นต่อเจ้าได้อย่างไร เอาล่ะในเมื่อแค่ไปส่งที่ชั้นสามข้าก็มีวิธีทำได้ ทว่าหากจะให้เป็นขั้นตอนที่เหมาะสมสหายก็ต้องรอสักระยะหนึ่ง ยามนี้สหายก็พักที่เมืองศักดิ์สิทธิ์ก่อนเป็นอย่างไร” หลังจากที่จินเย่ว์ครุ่นคิดชั่วครู่ในที่สุดก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วตอบตกลง
“ได้ การกระทำเช่นนี้ถึงจะเป็นการกระทำที่ชาญฉลาด ทว่าข้าน้อยอยากจะถือโอกาสนี้พักผ่อนฝึกฝนเคล็ดวิชาลับสักสองสามวัน คงไม่รบกวนเมืองศักดิ์สิทธิ์ อีกครึ่งเดือนผู้แซ่หานจะมาเยี่ยมเยียนอีกครั้ง เชื่อว่าถึงยามนั้นสหายจะจัดการทุกอย่างเอาไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” ในที่สุดหานลี่เห็นอีกฝ่ายตัดสินใจก็หัวเราะยาวๆ แล้วลุกขึ้นยืน
แม้ว่าจะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่วางใจที่จะอยู่ต่อ จินเย่ว์เองก็ทำได้เพียงลอบถอนหายใจแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ข้าก็จะไม่รั้งเอาไว้ ทว่าสหายโปรดรอก่อน!”
“ใครก็ได้เอาชาวิญญาณที่ข้าต้องการเข้ามาเสิร์ฟสิ!”
หญิงสาวผู้นี้พลันถ่ายทอดเสียงออกไปด้านนอกตำหนัก
ครู่ต่อมาสาวใช้คนหนึ่งก็เดินเข้ามาอย่างรีบร้อนแล้วถือถุงหนังสีเหลืองอ่อนเอาไว้พลางส่งให้หานลี่ด้วยมือทั้งสองมือ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้แซ่หานก็ไม่เกรงใจแล้ว!” หานลี่ไม่ได้ปฏิเสธ สะบัดแขนเสื้อหมอกสีทองม้วนวนออกมาถุงหนังหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
จากนั้นเขาก็ประสานมือคารวะจินเย่ว์อีกครั้งแล้วขอตัวกล่าวลา
หลังจากนั้นไม่นานสายรุ้งสีเขียวก็พุ่งออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ หลังจากกะพริบวาบๆ ก็หายวับไปที่ปลายฟ้า
ในที่สุดหานลี่ก็ออกห่างจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ไปเป็นล้านลี้พลางร่อนลงบนเนินเขาที่ไม่สะดุดตาแห่งหนึ่ง และใช้อิทธิฤทธิ์สร้างห้องลับแห่งหนึ่งตรงตีนเขาขึ้นและวางเขตอาคมอำพรางลึกลับตรงทางเข้า แล้วจึงเข้าไปในห้องลับ
หลังจากที่เขานั่งสมาธิลงก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา เริ่มขบคิดถึงคำพูดที่พูดในเมืองศักดิ์สิทธิ์ว่ามีจุดใดที่ไม่เหมาะสมหรือไม่
หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาถึงได้พ่นลมหายใจออกมาแล้วมีสีหน้าผ่อนคลายลง
ครั้งนี้เพื่อให้เผ่าวิหคสวรรค์เห็นความสำคัญ เขาจึงจงใจแปลงร่างเป็นวิหคสวรรค์
จากความชำนาญในคาถาตื่นจากจำศีลแปลงกายสิบสองครั้งของเขาในยามนี้ การแปลงกายเป็นวิหคสวรรค์จึงมีพลานุภาพที่น่าตกตะลึงมากกว่าการแปลงกายของผู้ที่มีพรสวรรค์ในบรรดาชาววิหคสวรรค์
ทว่าความแตกต่างของมันเดาว่าก็มีเพียงจินเย่ว์ที่ดูออก ดังนั้นยามที่เห็นหานลี่ครั้งแรกจึงไม่อาจปกปิดความตกตะลึงในใจได้
แน่นอนว่าสาเหตุที่หานลี่กล้าทำเช่นนี้ก็เพราะพลังยุทธ์มาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว ประกอบกับมีอิทธิฤทธิ์มากมายคุ้มครองกาย จึงไม่ต้องหวาดกลัวว่าอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์จะเข้ามาล้อมโจมตี แม้ว่ายามนี้พลังปราณของเขาจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของจินเย่ว์และพวกที่ร่วมมือกัน แต่หากจะหนีกลับก็ไม่ใช่ปัญหา
จุดนี้จินเย่ว์ผู้ซึ่งเป็นอาวุโสใหญ่ของเผ่าวิหคสวรรค์ย่อมรู้ดีอยู่แก่ใจ ประกอบกับจุดที่แปลกประหลาดยามที่หานลี่แปลงกายเป็นวิหคสวรรค์ถึงได้ทำให้สตรีผู้นี้มีมารยาทต่อเขาตั้งแต่แรก
ส่วนคาถาส่วนนั้นที่เขาเอาออกมาแลกเปลี่ยนกลับเป็นคาถาหลอมโลหิตวิญญาณของตระกูลกู่และคาถาแปลงกายเป็นวิหคคุนเผิงจากคาถาตื่นจากจำศีลมารวมกันจนเกิดเป็นสิ่งนี้ขึ้น
มันมีผลต่อเผ่าวิหคสวรรค์จริงๆ มิเช่นนั้นคงไม่อาจทำให้อีกฝ่ายสนใจได้
ยามนี้มีจินเย่ว์ที่ตัดสินใจทำการแลกเปลี่ยน เรื่องที่เขาจะเข้าไปในหุบเหวลึกก็น่าจะไม่ใช่ปัญหา ต่อให้เผ่าวิหคสวรรค์เป็นเผ่าที่อ่อนแอในเผ่าวิญญาณเหาะเหิน จินเย่ว์ผู้ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ขั้นปลายคนหนึ่ง เรื่องแค่นี้ย่อมไม่ใช่ปัญหาอันใด
หากไม่เป็นเช่นนี้แล้วให้เขาแอบเข้าไปในหุบเหวลึกเพียงลำพังจะต้องยุ่งยากแน่ ไม่อาจทำได้ง่ายๆ
ทว่าครึ่งเดือนต่อมายามที่ไปพบจินเย่ว์นั้นเขาก็ต้องระวังตัวให้มาก ต้องระวังว่าอีกฝ่ายจะเกิดความไม่พอใจและทำเรื่องที่ไม่สมควรขึ้น
แน่นอนว่าความเป็นไปได้นี้ย่อมน้อยมาก เมื่อเขาเอ่ยถึงชิงหยวนจื่อผู้ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวระดับมหายานคนหนึ่ง
หลังจากที่ขบคิดเสร็จแล้วก็รู้ว่าไม่มีความผิดพลาดอันใดอีก หานลี่ถึงได้เลิกคิดแล้วหลับตาทำสมาธิ
แทบจะในเวลาเดียวกันภายในตำหนักของเมืองศักดิ์สิทธิ์เผ่าวิหคสวรรค์ อาวุโสของเผ่าวิหคสวรรค์กลุ่มหนึ่งกำลังปรึกษาเรื่องลึกลับกับจินเย่ว์แล้วแยกย้ายออกจากตำหนักไปด้วยสีหน้าหลากหลาย
ภายในตำหนักจึงเหลือเพียงจินเย่ว์ที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก แววตาเปล่งประกายกำลังครุ่นคิดอันใดอยู่
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา
วันต่อมาลำแสงหลีกหนีสองสามสายพลันออกจากเมืองศักดิ์สิทธิ์ตรงไปยังส่วนลึกของเผ่าวิญญาณเหาะเหิน
ในลำแสงหลีกหนีเหล่านี้มีทั้งหานลี่ที่สวมชุดคลุมสีเขียว และจินเย่ว์ที่สวมชุดคลุมสีขาวพลิ้วไสว และยังมีหญิงสาววัยดรุณีที่ร่างกายมีประจุไฟฟ้าเปล่งประกายอยู่รางๆ
แววตาของหญิงสาวผู้นี้ดุจวารีในวสันตฤดูสวมชุดคลุมสีเงิน นั่นก็คือ ‘เหลยหลัน’ หนึ่งในสองบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าวิหคสวรรค์
“สหายหาน ครั้งนี้ข้าจะบอกว่าจะส่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ไปฝึกฝนเคล็ดวิชาลับน้ำแข็งทมิฬที่หุบเหวลึก ให้เจ้าใช้ฐานะผู้คุ้มกันเข้าไป ในสถานการณ์ปกติน่าจะไม่มีปัญหาอันใด ทว่ายามที่เข้าไปในหุบเหวลึกแล้วถูกตรวจสอบก็ต้องระวังหน่อย ถึงอย่างไรเสียเผ่าวิญญาณเหาะเหินอย่างพวกเราก็มีสิ่งมีชีวิตระดับสูงที่มีเคล็ดวิชาลับจึงป้องกันได้ยาก หากผู้ที่มาเข้าเวรเป็นผู้ที่มีเคล็ดวิชาลับในการตรวจสอบก็อาจจะพบความยุ่งยาก” ออกเดินทางมาได้ไม่นานจินเย่ว์ก็กำชับหานลี่อย่างเคร่งขรึม