คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1846 กลับมายังชั้นสองอีกครั้ง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1846 กลับมายังชั้นสองอีกครั้ง
ดังนั้นพอบุรุษชุดเกราะสีเขียวโบกมือข้างหนึ่ง ผู้คุ้มกันเหล่านั้นก็ก้าวออกมาจากแถว จากนั้นมือของแต่ละคนก็มีลำแสงสว่างวาบ แผ่นป้ายไม้สีม่วงอ่อนปรากฏออกมา
บนแผ่นป้ายไม้มีลำแสงสว่างวาบ จากนั้นลำแสงก็หมุนวนโคจรไปมาแล้วหายวับไป ด้านล่างกำแพงยักษ์มีประตูบานยักษ์สีเงินปรากฏขึ้นบานหนึ่ง
ประตูบานนี้สูงยี่สิบสามสิบจั้ง เปล่งแสงเย็นเยียบออกมา เผยความเย็นยะเยือกออกมา ราวกับว่าสร้างขึ้นจากทองคำก็ไม่ปาน
บุรุษชุดเกราะสีเขียวบริกรรมคาถา สะบัดแขนเสื้อไปทางประตู
เสียง “ปัง” ดังขึ้น หมอกสีเขียวกระโจมมา ประตูบานยักษ์เปิดออกอย่างช้าๆ
“รบกวนสหายแล้ว!” จินเย่ว์เผยรอยยิ้มออกมาพลางเอ่ยขอบคุณ
จากนั้นนางก็พาหานลี่และพวกทั้งสองกลายเป็นลำแสงหลีกหนีสามสายพุ่งทะลุผ่านประตูบานยักษ์ไป
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอยที่โลกด้านหลังประตู
บุรุษชุดเกราะสีเขียวยืนอยู่หน้าประตูบานยักษ์สีเงิน มองเงาแผ่นหลังทั้งสามที่สลายหายไป แล้วกลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา ดูเหมือนว่าจะบางสิ่งบางอย่างที่ยังไม่เข้าใจ
“ช่างเถิด ข้าอาจจะคิดมากไป แม้ว่าจะรู้สึกประหลาดๆ แต่ผู้คุ้มกันผู้นั้นน่าจะไม่มีปัญหาอันใด อีกอย่างจินเย่ว์ก็เป็นอาวุโสใหญ่ของเผ่าวิหคสวรรค์ คิดดูแล้วคงไม่ทำเรื่องที่ไม่สร้างประโยชน์ให้แก่เผ่าวิญญาณเหาะเหิน” บุรุษชุดเกราะสีเขียวเอ่ยพึมพำเสียงเบา จากนั้นก็ออกคำสั่งให้ทุกคนปิดผนึกกำแพงสีเงินยักษ์อีกครั้ง ส่วนตนก็นั่งขัดสมาธิลงอีกครั้ง และหลับตาลง
อีกด้านหานลี่และพวกทั้งสามกลับมาปรากฏตัวอยู่ที่ด้านล่างทะเลหมอกขนาดยักษ์ จ้องเขม็งไปยังพายุทมิฬ กำลังคิดจะบินเข้าไปที่ทางเข้าของหุบเหวลึก
หากกล่าวว่าตอนนั้นหานลี่มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง บางทีอาจจะบินผ่านพายุนี้ได้ยาก ยามนี้หลังจากบรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว ย่อมไม่เห็นพายุทมิฬเหล่านี้อยู่ในสายตา
แม้กระทั่งพอบินมาถึงด้านหลัง ยามที่พบกับพายุน้ำแข็งสีดำนั้น เขาแค่เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ ดีดพายุสีดำเหล่านั้นออกไปได้อย่างง่ายดาย ไม่อาจเข้าใกล้เขาได้เลยสักนิด
ส่วนเหลยหลันที่อยู่อีกด้าน ภายใต้การดูแลของหญิงสาวนามว่าจินเย่ว์ แน่นอนว่าจึงไม่เป็นปัญหาอันใด
ไม่นานนัก ทุกคนก็มองเห็นทางเข้าหุบเหวลึกขนาดยักษ์ที่ดูราวกับกรวยก็ไม่ปาน
มองพายุยะเยือกด้านล่างที่หมุนวนจนกลายเป็นหลุมขนาดยักษ์สีดำ หานลี่ก็หรี่ตาทั้งสองข้างลง แล้วร่อนลงมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ครั้งนี้กลับเป็นจินเย่ว์และพวกทั้งสองที่ต้องมองสบตากัน แล้วตามหลังไปติดๆ
หลังจากที่เข้ามาในหุบเหวลึก พายุหมุนรอบด้านก็กำเริบขึ้น ความรู้สึกทุกอย่างไม่แตกต่างกับตอนที่หานลี่เข้ามาในหุบเหวลึกในวันนั้น
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยน้ำชา เขาก็หยุดกายที่กำลังร่อนลงด้านล่าง ในที่สุดก็มาถึงทางเข้าหุบเหวลึกชั้นหนึ่ง
ทว่าหลังจากที่เขาพิจารณารอบด้านแล้ว กลับอดที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
คาดไม่ถึงว่าเขาจะลอยตัวกลางอากาศเหนือบ่อน้ำสีเทา และมีหมอกบางๆ สีเขียวอ่อนปกคลุมอยู่ พร้อมกับกลิ่นเน่าเหม็นที่โชยเข้ามาในจมูกจางๆ
เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ใช่ที่เดียวกันกับที่เขาเคยเข้ามาในตอนแรก
“สหายจิน เจ้ารู้จักที่นี่หรือไม่ ใกล้กับทางเข้าชั้นสองหรือยัง?” หานลี่หันหน้าไปทางจินเย่ว์
“ตามเครื่องหมายในแผนที่ ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นบ่อกล้วยไม้พิษ อยู่ไม่ใกล้กับทางเข้าชั้นสอง ใช้เวลาครึ่งวันถึงจะถึง สหายโปรดระวังหน่อย แม้ว่าไอพิษด้านล่างจะไม่มีผลต่อพวกเรา แต่ที่นี่มีฝูงผึ้งพิษที่เกิดจากดอกกล้วยไม้พิษอยู่ มันน่าขยะแขยงมาก” จินเย่ว์พิจารณาบ่อน้ำแล้วครุ่นคิด พลางเอ่ยอย่างมั่นใจออกมา
ยามนี้ทั้งหุบเหวลึกถูกเผ่าวิญญาณเหาะเหินยึดครองไว้ แผนที่ทั้งหมดย่อมไม่รางเลือนเหมือนในอดีต ดังนั้นอาวุโสเผ่าวิหคสวรรค์ผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้จักที่นี่
“ผึ้งพิษ”
หานลี่ได้ยินคำนี้ก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา ไม่สนใจเลยสักนิด
ดังนั้นทั้งสามคนพูดคุยกันอีกสองสามประโยค เมื่อมั่นใจว่าต้องเดินต่อไปข้างหน้า พวกเขาก็พุ่งตัวไปทันที
……
ครึ่งวันต่อมาหานลี่และพวกทั้งสามที่กลายเป็นสายรุ้งก็มาปรากฏตัวเหนือเทือกเขา และบินไปข้างหน้าอีกครึ่งชั่วยาม ก็มาถึงใจกลางเทือกเขาที่อยู่ในละแวกของยอดเขาประหลาด
สาเหตุที่ยอดเขาแห่งนี้ประหลาดเป็นเพราะยอดเขาทั้งลูกตั้งแต่สันเขาแบ่งออกเป็นสองส่วน ราวกับตัวอักษรคำว่า ‘เหริน’ (人) ส่วนยอดเขาทั้งลูกกลับโล่งเตียน เป็นสีเทาขาว
ที่นี่คือทางเข้าชั้นสองที่แสดงอยู่ในแผนที่ของจินเย่ว์
การเดินทางไปข้างหน้าราบรื่นมาก นอกจากพบกับฝูงผึ้งพิษในบ่อน้ำตอนแรก แล้วถูกหานลี่ใช้กระบี่กวาดออกไปอย่างง่ายๆ สองสามครั้ง ระหว่างทางก็แทบจะไม่พบปีศาจใดๆ อีก ทำให้การเดินทางของพวกเขาแทบจะไม่ล่าช้าเลยสักนิด
ดูแล้วปีศาจระดับต่ำที่ชั้นหนึ่ง คงถูกกำจัดไปกว่าครึ่งแล้ว
นั่นก็ไม่แปลก ปีศาจระดับต่ำที่ชั้นหนึ่งล้วนไม่มีคุณค่าอันใด เผ่าวิญญาณเหาะเหินเหล่านี้ย่อมไม่จำเป็นต้องเก็บพวกมันเอาไว้
ทว่าเมื่อเห็นทุกคนบินมาถึงด้านล่างยอดเขา ก็มีแสงเปล่งสว่างวาบแล้วหายวับไปนั้น หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี ทว่าครู่ต่อมากลับฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ
กลับเป็นจินเย่ว์ที่อยู่ด้านหน้าสุดที่หยุดชะงักลำแสงหลีกหนีชั่วครู่ แล้วหยุดลงด้านล่างยอดเขาคำว่า ‘เหริน’ และตะโกนด้วยเสียงเหี้ยมเกรียม
“ผู้ใดซ่อนอยู่ตรงนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้!”
“ที่แท้ก็ท่านอาวุโสใหญ่และบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลย หมิงเจิ้นคารวะท่านอาวุโสใหญ่!”
กลางอากาศใกล้ๆ กับทางเข้ายอดเขา บรรยากาศพลันบิดเบี้ยว จากนั้นเงาร่างคนติดปีกสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบ และคารวะจินเย่ว์อย่างนอบน้อม
ดูจากกลิ่นอายของคนผู้นี้ น่าจะเป็นบุรุษของเผ่าวิหคสวรรค์คนหนึ่ง สวมชุดเกราะสงครามสีฟ้าอ่อน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย
สถานการณ์เช่นเดียวกันปรากฏขึ้นกลางอากาศในละแวกนั้น เงาร่างอีกห้าสายปรากฏขึ้น แต่คนเหล่านั้นแค่คารวะจินเย่ว์เล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอันใด แต่ก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป
คนเหล่านี้ล้วนมีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาขึ้นไป
“ที่แท้ก็ศิษย์หลานหมิงเจิ้น เช่นนั้นพวกเขาก็คือผู้คุ้มกัน หรือว่ามาแอบซุ่มจับโจรเหมืองแร่ที่นี่!” จินเย่ว์กวาดสายตาไปที่คนเหล่านั้น สัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่น่าตกตะลึงจากพวกเขา ก็เอ่ยถามด้วยสีหน้าราบเรียบ
“อาวุโสใหญ่ทราบเรื่องนี้แล้ว! ท่านอาวุโสช่างมีดวงตาเฉียบแหลมนัก พวกเราได้รับคำสั่งให้ปิดผนึกทางเข้าแห่งนี้ เหตุใดท่านอาวุโสใหญ่ถึงมาบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยหลันมาที่นี่?” บุรุษเผ่าวิหคสวรรค์หน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นพลันตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างลังเล
“อืม ข้ารู้ว่าเหมืองแร่เกิดเรื่องจากผู้บัญชาการจิน ส่วนข้าและบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยหลันมาที่หุบเหวลึกก็เพราะมีธุระอื่น คงไม่อยู่ที่นี่นานนัก” จินเย่ว์ไม่ได้เล่าละเอียด แค่เอ่ยอย่างคร่าวๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นศิษย์หลานก็ไม่รบกวนการเดินทางของท่านอาวุโสใหญ่และบุตรศักดิ์สิทธิ์แล้ว แต่หากท่านอาวุโสใหญ่พบกับโจรผู้นั้นที่ชั้นล่าง หวังว่าจะลงมือจับเป็นมา ยามนี้ทั้งชั้นสองถูกผู้คุมกันปิดตายเอาไว้ โจรนั่นน่าจะซ่อนตัวอยู่ชั้นล่างๆ” บุรุษเผ่าวิหคสวรรค์ใจหายวาบ พลางเอ่ยอย่างนอบน้อม
“หึๆ หากพบกับคนน่าสงสัย ข้าจะจับทันที พวกเจ้าดูแลที่นี่ให้ดี ข้าจะพาบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยหลันไป” จินเย่ว์พยักหน้าแล้วไม่เอ่ยอันใดให้มากความอีก พาหานลี่และพวกทั้งสองบินไปยังทางเข้าคำว่า ‘เหริน’ ทันที และหายวับไปจากตรงนั้นอย่างไร้ร่องรอย
“พี่หมิงเจิ้น อาวุโสใหญ่ของเผ่าท่านผู้นั้น เหมือนกับในตำนานก็ไม่ปาน พลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดา! มีอาวุโสจินอยู่ เผ่าของท่านก็คงไม่ต้องหวาดกลัวอันใดไปอีกหลายหมื่นปี แต่อีกคนคือผู้ใด ดูจากพลังยุทธ์แล้วไม่ต่างอันใดกับพวกเรา แต่หน้าตาไม่คุ้นเลย ข้าดูเหมือนจะไม่เคยพบมาก่อน” ชาวเผ่าวิญญาณเหาะเหินปีกสีเทาอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านนอกยอดเขารอให้จินเย่ว์และพวกหายไปจากชั้นหนึ่ง ก็เอ่ยกับบุรุษเผ่าวิหคสวรรค์
“อาวุโสจินพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นย่อมเป็นเรื่องดีของเผ่า ทว่าที่สำคัญที่สุดคือพอในเผ่ามีบุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่สองคน เผ่าอื่นๆ ก็ไม่หาข้ออ้างมายุ่งกับเผ่าวิหคสวรรค์ของข้า ส่วนผู้ที่มากับอาวุโสใหญ่และบุตรศักดิ์สิทธิ์เหลยหลันเมื่อครู่ ข้าก็ไม่เคยพบมาก่อน แต่นั่นจะแปลกอันใด แม้ว่าวิหคสวรรค์ของพวกเราจะอ่อนแอ แต่คนในเผ่าก็มีอยู่มากมาย มีหน้าใหม่ที่ไม่คุ้นหน้าก็ทำให้สหายสงสัยแล้วหรือ?” บุรุษวิหคสวรรค์นามว่าหมิงเจิ้นมองสหายร่วมวิถีที่ถามแวบหนึ่ง สีหน้าเคร่งขรึม พลางเอ่ยอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
“ที่ไหนกัน พี่หมิงเจิ้นคิดมากไปแล้ว! ข้าน้อยแค่ถามไปงั้นๆ ย่อมต้องเชื่ออาวุโสจินและบุตรศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเจ้าอยู่แล้ว” ผู้ที่มีปีกสีเทาหัวเราะร่า แล้วรีบร้อนเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนา
“เอาล่ะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะพูดคุยกัน พวกเรามีภารกิจคุ้มกันที่นี่ ไปซ่อนตัวเถิด อย่าเผยร่องรอยออกมา” หญิงสาวที่มีปีกสีม่วงและเขาสั้นสีขาวบริสุทธิ์บนศีรษะเขาหนึ่งกลับเอ่ยปากขึ้น
บุรุษเผ่าวิหคสวรรค์ที่เดิมคิดจะเอ่ยอันใดอีก พลันกลืนคำพูดลงไปทันที คนอื่นๆ ก็รีบร้อนพากันพยักหน้า ล้วนมีท่าทีหวาดกลัวหญิงสาวผู้นี้
ดังนั้นทั้งหกคนจึงร่ายอาคม ร่างกายหายวับไปจากกลางอากาศอีกครั้ง
แทบจะในเวลาเดียวกันหานลี่ จินเย่ว์และพวกทั้งสองที่มีไอสีดำห่อหุ้มร่างอยู่ พลางบินลงไปด้านล่าง
“ดูแล้วเจ้าผู้ที่ขโมยแร่ผู้นั้นจะมีอิทธิฤทธิ์ไม่น้อย แม้แต่ทางเข้าออกก็ยังมีสิ่งมีชีวิตระดับแม่ทัพวิญญาณคุ้มกันอยู่ถึงหกคน ดูแล้วคนผู้นี้แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตระดับศักดิ์สิทธิ์ แต่อิทธิฤทธิ์ก็คงไม่ต่างกันนัก” จินเย่ว์เอ่ยปากในลำแสงหลีกหนีด้านข้าง น้ำเสียงไม่ต่างอันใดกับคำเยาะเย้ย
“อ๋อ ฟังจากน้ำเสียงของสหายจินดูเหมือนจะไม่ค่อยสนใจเหมืองแร่นัก” หานลี่ขบคิดอีกทีแล้วเอ่ยถามขึ้น
“เหตุใดข้าจะไม่สนใจ! เหมืองแร่นี้ถูกเผ่าวิญญาณเหาะเหินของพวกเราแบ่งกันเท่าๆ กัน แต่ความจริงแล้วแร่ที่ขุดได้ ส่วนใหญ่ล้วนถูกแบ่งให้เผ่าใหญ่ๆ กว่าจะมาถึงเผ่าวิหคสวรรค์ของพวกเราก็มีแค่นิดหน่อยเท่านั้น” จินเย่ว์หัวเราะอย่างเย็นชาออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เองแล้ว ดูแล้วแม้ว่าเผ่าของท่านจะหลุดพ้นจากการล่มสลายเผ่ามาได้ แต่ตำแหน่งในเผ่าวิญญาณเหาะเหินก็ยังไม่ดีนัก” หานลี่ตอบกลับอย่างครุ่นคิด
“หากไม่เป็นเช่นนั้น ข้าเองก็คงไม่ตอบรับคำขอเพื่อแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาของเจ้าง่ายๆ ขอแค่มีเคล็ดวิชาของสหาย ขอแค่ให้เวลาเผ่าของข้าสักสองสามหมื่นปี ก็เพียงพอจะทำให้เผ่าวิหคสวรรค์ของข้าแข็งแกร่งขึ้นแล้ว สหายหานเองก็มั่นใจใช่ไหมว่าคาถาส่วนหลังของเคล็ดวิชานี้ไม่มีปัญหา” จินเย่ว์เอ่ยอย่างราบเรียบ
“สหายจินโปรดวางใจ ข้าน้อยไปถึงที่จะมอบเคล็ดวิชาครึ่งหลังให้ทันที ให้สหายได้ตรวจสอบ มิเช่นนั้นผู้แซ่หานย่อมยอมให้ท่านอาวุโสใหญ่จัดการ” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“สหายหานรู้แล้วก็ดี!” หลังจากที่จินเย่ว์กล่าวเช่นนั้นก็ไม่ได้พูดจาอันใดอีก
และครู่ต่อมาไอสีดำก็เริ่มจืดจางลง ในที่สุดกลุ่มคนก็มาปรากฏตัวที่ชั้นสอง