คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1866 เหล่าลูกศิษย์
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1866 เหล่าลูกศิษย์
“แน่นอนว่าผู้น้อยต้องทราบเจตนานั้นของแน่นอน อย่างนั้นโปรดกล่าวลาอาวุโสหยวนเหยาทั้งสองแทนผู้น้อยด้วยเถิด ผู้น้อยก็จะไม่กลับไปยังถ้ำของอาวุโสแล้ว จะออกไปจากโลกทันทีเลย” หานลี่เมื่อได้ฟังคำนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้งก่อนเอ่ยพลางทำความเคารพต่อชิงหยวนจื่อ
“เหอะๆ สหายหานอย่าถือว่าข้าไม่ไว้หน้าเลย เพราะเหยาเอ๋อร์มาเกี่ยวข้องกับท่านในช่วงเวลาแบบนี้มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากเกี่ยวพันกันต่อไปเป็นเวลานาน เมื่อนางเร่งผ่านระดับแล้วเข้าสู่แดนมาร เกรงว่าจะผ่านไปได้อย่างยากลำบาก ข้าต้องป้องกันไว้ก่อน” เมื่อเห็นว่าหานลี่รับปากแล้ว สีหน้าของชิงหยวนจื่อก็ผ่อนคลายลง ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมไปเล็กน้อย
“ท่านผู้อาวุโสเข้าใจผิดแล้ว ผู้น้อยไม่ได้คิดอื่นใดกับแม่นางหยวนเหยาเลย เพียงมองนางว่าเป็นเพียงสหายสนิทเท่านั้น” หานลี่หัวเราะเสียงขมขื่น และก็ไม่รู้ว่าจะพูดให้ชัดเจนอย่างไรดี
“สหายมองนางเป็นเพียงสหายที่สนิทเท่านั้นหรือ แต่ลูกบุญธรรมข้าผู้นี้อาจไม่ได้มีความคิดอย่างนี้นะ” หานลี่ดวงตาทั้งสองข้างหรี่ลง ราวกับจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม
“ผู้น้อยไม่รู้จะอธิบายอย่างไร คิดว่าท่านอาวุโสคงไม่อยากได้ยินคำกล่าวอธิบายของข้ากระมัง ไม่ว่าอย่างไร ครั้งนี้ผู้แซ่หานก็ได้รับน้ำนมจากแม่น้ำยมโลกมาได้อย่างราบรื่น ยังต้องขอบคุณในการสนับสนุนอย่างมากของท่าน บุญคุณนี้ข้าจะจดจำให้ขึ้นใจ ผู้น้อยก็จะไม่โอ้เอ้อยู่ต่อแล้ว หวังว่าการพบกันคราหน้า ผู้อาวุโสจะข้ามผ่านอุปสรรคได้สำเร็จ” เห็นได้ชัดว่าหานลี่ไม่ยินดีที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้มากเท่าใดนัก หลังจากโค้งทำความเคารพ ก่อนจะเอ่ยคำกล่าวมา
“อืม อย่างนั้นผู้แซ่เจียงขออวยพรล่วงหน้าให้สหายน้อยมีโอกาสเข้าสู่ระดับมหายานในเร็ววัน” ชิงหยวนจื่อก็โค้งคำนับหานลี่เล็กน้อยอย่างเคร่งขรึม
หานลี่เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ หลังจากพยักหน้า ก็เกิดประกายแสงรอบกาย เขากลายเป็นแสงรุ้งสีเขียวอีกครั้งก่อนจากไป เป้าหมายก็คือช่องว่างปรักหักพังที่เพิ่งจากมานั่นเอง
ก่อนหน้านี้เนื่องจากพลังไม่เพียงพอ ยังต้องการให้ชิงหยวนจื่อยื่นมือมาช่วยเหลือถึงจะออกไปจากซากปรักหักพังได้ แต่ตอนนี้ได้เข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์แล้ว แค่พลังของเขาคนเดียวแน่นอนว่าต้องสามารถทะลุซากปรักหักพังออกไปได้แน่
ชิงหยวนจื่อยืนนิ่งไม่ขยับอยู่บนท้องฟ้า อาภรณ์ปลิวไสว ตราบจนแสงสีเขียวนั้นหายลับไปจากของฟ้า ถึงได้ถอนหายใจเสียงเบาจนแทบจะไม่ได้ยินออกมา
“เจ้าเด็กนี่มีการพัฒนารวดเร็วถึงเพียงนี้ ครั้งนี้ยังได้น้ำนมจากแม่น้ำยมโลกไปอีก คิดว่าการเข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ตอนปลายนั้นคงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป แต่หากอยากเข้าสู่ระดับมหายาน หากไม่มีวาสนาหรือโอกาสบ้าง น่าจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เขาเองก็เหมือนเป็นตัวประหลาด ในตัวเขามีของล้ำค่าและความลับมากมาย เข้าสู่ระดับมหายานได้ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน ครั้งนี้ ข้าก็ถือว่าได้ช่วยเขาจนสุดความสามารถแล้ว หากวันข้างหน้าเขาได้เข้าสู่ระดับมหายานได้จริง ไม่แน่อาจจะได้พึ่งพาคนผู้นี้อีกก็เป็นได้”
หลังจากพึมพำกับตนเองจบ ชิงหยวนจื่อก็ถอนสายตากลับมา และพุ่งตัวกลับเข้าไปในถ้ำตามลำแสงไป
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งวัน ก็เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงอย่างกะทันหันที่ความสูงของภูเขาไร้ชื่อบนเทือกเขาสูง จากนั้นภายใต้หมอกสีเทาที่แบ่งแยก และรอยร้าวสีดำขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนอากาศ
หลังจากสายฟ้าฟาด ลำแสงห้าสีพุ่งออกมาจากด้านบนของเทือกเขา แวบเดียวก็หายไปตามรอยแยกของเทือกเขาแล้ว
หลังจากนั้นความผันผวนต่างๆ ก็ค่อยๆ เบาบางลง รอยแยกขนาดยักษ์นั้นก็ค่อยๆ สมานตัวดังเดิม ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาก่อนเลย
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว สามร้อยกว่าปีได้ผ่านไปแล้ว หากแต่สำหรับแดนวิเศษแล้ว เวลาเหล่านี้อาจเป็นเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่สำหรับปุถุชนธรรมดาแล้ว กลับเป็นความปรารถนาที่จะมีอายุชั่วกัลป์เลยทีเดียวสำหรับของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นที่สามารถเหินเดินอากาศได้เหล่านั้น ช่วงเวลาที่ยาวนานก็เป็นช่วงเวลาที่ไม่อาจละเลยได้เลย ตระกูลของเผ่าเหล่านั้น สามารถใช้เวลาเหล่านี้ในการบ่มเพาะคนในตระกูลและลูกศิษย์ในระดับพื้นฐานได้เลย
แต่สำหรับเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว เวลาสามร้อยปีนี้กลับเพียงพอที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เลย
วันนี้ในหลายร้อยปีให้หลัง ดินแดนวิเศษทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้มีทหารเป็นกองทัพที่อยู่ทั่วไปทุกหนแห่ง และเมืองใหญ่ที่ราวกับป้อมปราการ
เมื่อมองเมืองขนาดใหญ่นี้เป็นหลัก ค่ายกลประหลาดที่มีรูปแบบต่างๆกัน ยิ่งแผ่ขยายไปทั่วราวกับใยแมงมุม โอบล้อมเมืองนี้เอาไว้เป็นชั้นๆ เพียงพอที่จะทำให้ศัตรูท้อใจยามเมื่อคิดจะรุกรานได้
ผู้ฝึกฝนเหล่าขั้นหลอมรวมปราณก่อกำเนิดซึ่งหาตัวได้ยากในเมืองทั่วไป เมื่อหลายร้อยปีก่อนเหล่านั้นเริ่มปรากฏตัวต่อหน้ามนุษย์บ่อยขึ้น และแม้แต่บางคนก็มีโชคดีก็อาจได้เห็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับเทพแปลงอีกด้วย
ในส่วนของจำนวนนักพรตระดับหลอมสุญตาที่เป็นคนธรรมดานั้น หลังจากการขยายตัวอย่างบ้าคลั่งของกองกำลังหลักในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นอกจากจำนวนก็ได้เพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ ต่างก็ติดตั้งอาวุธที่ล้ำสมัยเกินกว่าอาวุธรุ่นก่อนๆ ในส่วนของประชาชนทั่วไปที่แม้แต่การบำเพ็ญระดับหลอมสุญตาก็ไม่อาจไม่อาจฝึกได้ ก็จะมีการรวบรวมกำลังคนหนุ่มจำนวนมาก เพื่อฝึกกังฟูแบบกำลังภายในของคนธรรมดา เพื่อให้มีร่างกายแข็งแรงเพียงพอจะปกป้องตัวเองได้
และทั้งหมดนี้ ทั้งหมดนี้ก็เป็นประชาชนทั้งหมดล้วนยินดีทำทั้งสิ้น เนื่องจากจวบจนถึงตอนนี้ ข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เคราะห์มารกำลังจะมาถึง ต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็ยังทราบเรื่องนี้เป็นอย่างชัดเจน
ร้อยกว่าปีก่อน ท่ามกลางเมืองหลวงขนาดใหญ่ต่างๆ ต่างก็มีทูตของหมู่เกาะแห่งปราชญ์ปรากฏขึ้น ต่างก็ป่าวประกาศการคาดเดาอย่างแม่นยำของภัยพิบัติที่จะมาถึงภายในสองร้อยปีนี้ และยังอธิบายอย่างจริงจังออกมาตรงๆ ครั้งนี้ภัยพิบัติมารมาอย่างโหดเหี้ยมนัก ระดับความรุนแรงไม่อาจเทียบกับหน้าประวัติศาสตร์ใดได้เลย หากเพียงไม่ระวังก็อาจจะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ล่มสลายสูญพันธุ์ได้เลย
เมื่อเป็นอย่างนี้ ภายใต้ทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ว่าจะเป็นนักพรตหรือคนธรรมดา ล้วนเตรียมแผนการรับมือทั้งหมดอย่างบ้าคลั่งด้วยความเร็วที่มากขึ้นหลายเท่า วัตถุดิบและยาวิเศษทุกอย่างที่อยู่ในเมืองหลวงก็ถูกกวาดเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว มีเพียงในสวนสมุนไพรในตระกูลต่างเท่านั้นที่ยังคงกำลังเพาะปลูกยาวิเศษอยู่บ้าง แต่ยาวิเศษเหล่านี้ก็ไม่เหมือนยาวิเศษหายากที่เคยปลูกก่อนหน้า ล้วนเปลี่ยนเป็นพืชที่ระยะเวลาเติบโตสั้นลง แต่ยังคงเป็นสมุนไพรวิเศษบุปผาวิเศษที่ใช้บ่อย
ส่วนเรื่องที่กองกำลังหลักพยายามปกปิดอะไรบางอย่างเอาไว้ก่อนหน้านี้ พวกมันยิ่งกลับโผล่ออกมาทีละอย่าง
ยิ่งมีอำนาจบางอย่าง ก็เริ่มแลกเปลี่ยนเคล็ดวิชาลับที่พวกเขาต้องการบ่อยๆ ขึ้น ด้วยความละโมบเพียงอยากให้ความสามารถของตนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
แน่นอนว่ากลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ต้องเป็นเมืองเทียนหยวนและเมืองสามมหาจักรพรรดิ
ซึ่งเมืองเทียนหยวนนั้นได้รวบรวมเอาบุคคลล้ำเลิศจากทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าปีศาจไว้ และมีนักบำเพ็ญระดับผสานอินทรีย์ถึงสิบกว่าท่าน ถือได้ว่าเป็นหลักฐานมั่นคงให้แก่ดินแดนแล้ว ส่วนเมืองสามมหาจักรพรรดินั้นรวบรวมนักบำเพ็ญขั้นสูงจากทั้งสามดินแดนอยู่ด้วย และยังมีสามกษัตริย์คอยคุ้มครองด้วยตัวเองอยู่ ในใจหลายคนคิดว่ามันเหมือนกับแน่นหนาจนไม่สามารถทำลายได้เลย
ความแข็งแกร่งที่เป็นรองเหล่านั้น แน่นอนว่าก็คือพรรคต่างๆ สิบกว่าพรรคที่อยู่ในเผ่าพันธุ์มนุษย์นั่นเอง การมีอยู่ของทั้งทั้งสามเผ่าพันธุ์วิเศษนั้น ได้ดึงดูดคนธรรมดามากมายและผู้บำเพ็ญเพียรสันโดษให้รวมตัวกันเช่นกัน ภายในระยะเวลาสั้นๆ ไม่กี่ปีจำนวนคนก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงสิบกว่าเท่า เกือบจะถึงขั้นที่พวกเราสามารถรับได้เลยทีเดียว
เผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่เพียงมีเจตนาที่จะอับปางเรือเมื่อเผชิญหน้ากับเคราะห์มารนี้เท่านั้น แต่เผ่าพันธุ์ปีศาจและเผ่าพันธุ์กลายพันธุ์อื่นๆ ในบริเวณใกล้เคียงก็ระดมกำลังทั้งเผ่าพันธุ์ สามร้อยปีที่ผ่านมาแต่ละเผ่าพันธุ์ ต่างก็ส่งทูตแลกเปลี่ยนข่าวสารที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับภัยพิบัติมารเสมอ ล้วนเตรียมพร้อมเผชิญความโชคร้ายด้วยจิตใจพร้อมพรักเต็มเปี่ยม
ในสถานการณ์ที่ทุกคนล้วนเป็นทหาร ในเทือกเขาที่ไม่ไกลจากเมืองเทียนหยวน และมีนักบำเพ็ญถึงสี่ร้อยรูปมาชุมนุมกันที่ยอดเขาด้านบนสุด พวกเขากำลังรวบรวมสติเพื่อรับฟังหญิงสาวในอาภรณ์สีขาวที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินก้อนหนึ่ง กำลังบรรยายถึงวิทยายุทธ์ที่ลึกล้ำอย่างผิดปกติบางบท
หญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนจะอายุไม่มาก ดูราวกับสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้น แต่เปลือกกายภายนอกถูกเงาสีขาวราวดอกบัวปกคลุมอยู่ภายนอกชั้นหนึ่ง ระหว่างหัวคิ้วมีสัญลักษณ์ดอกบัวสีฟ้าเข้มอยู่บนนั้น ยิ่งทำให้หญิงผู้นี้ดูงดงาม ราวกับเทพธิดาที่ไม่ชายตามองอาหารปุถุชนทั่วไป
แต่เมื่อนักบำเพ็ญเพียรที่กำลังฟังวิถีฝึกเหล่านี้ แม้ว่าจะมีทั้งชายหญิงเด็กและคนชรา แต่ส่วนใหญ่ยังคงสวมอาภรณ์นักพรต ส่วนน้อยที่สวมอาภรณ์สีฟ้าทั้งยังสะพายกระบี่ ราวกับก็เป็นคนจากเผ่าเดียวกันอย่างนั้น
แต่ระดับบำเพ็ญเพียรของคนเหล่านี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้สูงเท่าใดนัก เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่เป็นขั้นหลอมรวม ส่วนใหญ่นั้นคือนักพรตระดับสร้างปราณ
“เอาล่ะ วันนี้ขอกล่าวถึงแค่นี้ ครั้งหน้าการบรรยายจะมีขึ้นในอีกสามเดือนให้หลัง ท่านอาจารย์ลุงจะเอ่ยเรื่องวิถีเบญจธาตุให้แก่พวกท่านฟัง ตอนนี้สามารถแยกย้ายไปได้” หลังจากนั้นหนึ่งชั่วโมงเต็มๆ หญิงสาวหน้าตาหมดจดผู้นี้ในที่สุดก็บรรยายจบ หลังจากนั้นก็ออกคำสั่งไล่แขกด้วยใบหน้าสงบ
“ขอรับอาจารย์หญิง” นักพรตทั้งหลายเมื่อได้ยิน ก็ทำความเคารพหญิงผู้นั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หลังจากนั้นถึงจะทำความเคารพ และบ้างก็กวัดแกว่งอาวุธไปมา บ้างก็จากไปโดยอาศัยอาวุธวิเศษ
หญิงสาวในอาภรณ์สีขาว มองไปยังเปลวแสงที่คนเหล่านี้จากไป จู่ๆ คิ้วก็นางก็ขมวด พลางมองไปทางใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งก่อนเอ่ยเบาๆ
“ศิษย์พี่ไห่ ลูกศิษย์เหล่านี้เห็นได้ชัดว่าเป็นศิษย์ที่ท่านและศิษย์พี่ชี่หลิงจื่อรับมา เหตุใดจึงใช้ศิษย์น้องมาสอนแทนท่านด้วยเล่า ท่านไม่รู้สึกว่าทำเกินไปรึ”
“ตัวข้าเองตอนนั้นไม่ได้คิดจะรับศิษย์นี่ นี่ก็มิใช่เพราะว่าหลงกลศิษย์พี่หรอกหรือ ถึงได้รับเอาเรื่องยุ่งยากมาเป็นกองเยี่ยงนี้ อีกอย่างหากศิษย์น้องใช้วิชาชักนำเทวะในการบรรยายล่ะก็ มันจะแข็งแกร่งกว่าข้าและศิษย์พี่มากเป็นร้อยเท่า ไม่อย่างนั้นศิษย์เหล่านี้คงไม่ได้มีความก้าวหน้าที่น่าตกตะลึงถึงเพียงนี้ในระยะเวลาไม่กี่ร้อยปีหรอก แม้แต่นักบำเพ็ญตนในระดับขั้นหลอมรวมยังปรากฏตัวตั้งหลายคน” แสงสีขาวส่องประกายอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ และชายรูปงามในชุดคลุมสีน้ำเงินก็ปรากฏตัวขึ้นที่นั่น พลางกล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้าของเขา
“ศิษย์เหล่านี้ที่มีความก้าวหน้ามากเยี่ยงนี้ มิได้เป็นเพราะความสามารถของข้า เกินครึ่งล้วนเป็นเพราะบุญคุณของเศษเสี้ยวยาวิเศษที่อาจารย์มอบไว้ก่อนหน้าต่างหากเล่า ยาวิเศษเหล่านั้นพวกข้าเก็บไว้ก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์ นี่เท่ากับเสียเปรียบให้แก่พวกท่านทั้งสองคนแล้ว แต่ว่าศิษย์บางส่วนที่ศิษย์พี่ชี่หลิงจื่อรับไว้ ก็เพราะอยากจะส่งเสริมให้ชื่อเสียงของอารามทะเลหมอกให้รุ่งเรือง เหตุใดท่านต้องมาหาเรื่องสนุกด้วยอีกคนเล่า” หญิงสาวในอาภรณ์สีขาวเอ่ยอย่างอารมณ์ขุ่นมัว
“นี่มันจะโทษข้าไม่ได้นะ ล้วนเป็นชี่หลิงจื่อที่กระตุ้นข้าในตอนนั้น เรื่องถึงได้กลายเป็นอย่างนี้ไงเล่า” ชายในอาภรณ์สีฟ้าหน้านิ่วคิ้วขมวด เอ่ยออกมาอย่างเต็มกลืน
“เหอะๆ ศิษย์พี่รองช่างเอ่ยออกมาได้อย่างกับฝืนใจเสียเต็มทน ก็มิรู้ว่าคราแรกผู้ใดที่ได้ยินศิษย์มากเพียงนี้เอ่ยเรียกอาจารย์ในตอนนั้น ถึงกับหุบปากไม่ได้เลยทีเดียว” เสียงหัวเราะดังมาจากด้านหลังต้นไม้อีกต้นใกล้ๆ และจากนั้นก็มีแสงวิเศษเกิดขึ้น นักพรตที่สวมเสื้อคลุมสีเหลืองก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างน่าประหลาด
สามคนผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ที่เอ่ยนามได้ของหานลี่นั่นเอง ไป๋กั่วเอ๋อร์ ชี่หลิงจื่อ นายไห่ต้าเซ่า
ไม่พบหน้ากันสามร้อยปี ใบหน้าของทั้งสามคนแม้ว่าจะไม่ได้เปลี่ยนไปจากในอดีต แต่พลังลมปราณกลับไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย