คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1867 ริ้วมารลงมาจุติยังโลกมนุษย์
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1867 ริ้วมารลงมาจุติยังโลกมนุษย์
ไป๋กั่วเอ๋อร์และไห่ต้าเซ่าต่างก็เป็นนักพรตระดับปราณก่อกำเนิด แต่ชี่หลิงจื่อจะเหนือชั้นกว่าอีกสองคนนั้น ได้เป็นนักพรตระดับปราณก่อกำเนิดระดับกลางแล้ว
“ใช่สิ ศิษย์น้องหญิง เมื่อเอ่ยถึงอาจารย์ หลังจากที่ท่านอาจารย์กลับจากแดนพิศวง ก็เอาแต่เก็บตัวบำเพ็ญเพียรไม่ออกมา หรือว่าอาจารย์คิดจะบำเพ็ญจนบรรลุระดับผสานอินทรีย์ตอนปลายหรือ” ไห่ต้าเซ่าพลันสีหน้าเคร่งขรึมก่อนเอ่ยถาม
“ข้อนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ ตอนนี้สถานที่ที่อาจารย์เก็บตัวบำเพ็ญเพียรนั้นถูกป้องกันไว้หลายชั้น แม้แต่อาจารย์อาหงส์น้ำแข็งยังไม่อาจจะเข้าใกล้ได้แม้แต่กระผิกเดียว ดูเหมือนว่าอาจารย์อาจจะไม่ได้วางแผนจะบรรลุระดับตอนปลาย คาดว่าอาจจะกำลังฝึกวิชาที่อิทธิฤทธิ์แรงกล้า ถึงได้ไม่อยากให้พวกเราไปรบกวน” ไป๋กั่วเอ๋อร์คิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนตอบ
“ในปีนั้นที่อาจารย์จากระดับผสานอินทรีย์ตอนต้นข้ามผ่านไปยังระดับปลายตอนกลาง ก็ใช้เวลาเพียงสามสี่ร้อยปีเท่านั้นเอง หากภายในระยะเวลาอันสั้นก็ทะลุคอขวดตอนปลายได้ เห็นได้ชัดว่าท่านอาวุโสนั้นห่างชั้นกับนักบำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันมาก แต่ก็ฟังดูน่ากลัวไปหน่อยกระมัง” ไห่ต้าเซ่าไม่ทราบว่ากำลังคิดสิ่งใด เขาเอ่ยออกมาอย่างยิ้มหยัน
“หากว่าครั้งนี้อาจารย์สามารถเข้าสู่ระดับนี้ตอนปลายได้จริง ไม่ว่าจะเป็นพวกเราสามคนหรือว่าทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ล่ะก็ แน่นอนว่าต้องเป็นเรื่องดีอย่างมาก แต่ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นไปได้กระมัง อย่างไรก็ตามระดับผสานอินทรีย์ตอนกลางไปจนถึงระดับผสานอินทรีย์ตอนปลาย แค่เลื่อนระดับก็ต้องการใช้พลังยุทธเป็นจำนวนมาก หากเป็นสถานการณ์ปกติละก็ต้องใช้การบำเพ็ญเพียรที่ยากลำบากต่อเนื่องถึงหนึ่งหรือสองพันปีเลย แค่เวลาไม่กี่ร้อยปีไม่เพียงพอที่จะบ่มเพาะมันออกมาได้แน่นอน” ชี่หลิงจื่อลูบคางตน พลางส่ายหน้าก่อนเอ่ยอย่างไม่เห็นด้วย
“เหอะ ท่านศิษย์พี่ ท่านเองก็ทราบดีว่าอาจารย์มิใช่คนธรรมดา เหตุใดต้องนำผู้บำเพ็ญตนทั่วไปมาเปรียบเทียบการข้ามขั้นของอาจารย์ด้วยเล่า หากเป็นไปตามข้าว่า อาจารย์น่าจะมีความมั่นใจมากพอถึงได้เก็บตัวบำเพ็ญเพียรอย่างนี้ และช่วงเวลาเหล่านี้ เมืองเทียนหยวนและสามจักรพรรดิรวมถึงกลุ่มอำนาจอื่นที่ส่งคนมาคำนับอาจารย์อยู่เนืองๆ พวกเราส่งข่าวสารเข้าไปก็กลับไม่ตอบอะไรกลับมาเลย เห็นได้ชัดว่าอาจารย์ทุ่มเทกายใจไปกับการบำเพ็ญเพียร ไม่ยินดีที่จะให้เรื่องใดมารบกวนได้” ไป๋กั๋วเอ๋อร์เกิดประกายประหลาดในแววตางดงามของนาง ก่อนตอบออกมาอย่างมั่นใจมาก
“ดูเหมือนว่าท่ามกลางพวกเราสามคนยังคงเป็นศิษย์น้องไป๋ที่ดูมีความเชื่อมั่นในตัวอาจารย์มากที่สุด แต่เรื่องอย่างนี้ พวกเราเองก็ไม่รู้ว่าวิเคราะห์มากี่หนแล้ว แทบจะไม่รู้ผลลัพธ์เลย อีกอย่างผู้ใดจะทราบได้ว่าการเก็บตัวบำเพ็ญเพียรครั้งนี้จะใช้เวลานานเท่าใดกว่าจะออกมาอีกครั้ง และภัยพิบัติมารอย่างมากก็เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่สิบปีก็จะจุติแล้ว ต่อให้อาจารย์มีความมั่นใจเพียงใด เมื่อภัยพิบัติมารมาถึง เกรงว่าคงต้องจำใจยอมออกมาถึงจะถูก” ชี่หลิงจื่อเอ่ยก่อนโบกมือไปมา
“นั่นก็ถูก หากเป็นอย่างนี้จริงก็ถือว่าน่าเสียดายไปแล้ว หากภัยพิบัติมารจุติถึงช้ากว่านี้สักหน่อย แม้ว่าอาจารย์จะไม่อาจเอาชนะอุปสรรคในการบรรลุระดับผสานอินทรีย์ตอนปลาย แต่พลังยุทธคงก้าวหน้าไม่น้อย แต่ต้องทำได้แน่” ไห่ต้าเซ่าก็เอ่ยออกมาด้วยใบหน้าแสนเสียดาย
“เอาละ อาจารย์จะบำเพ็ญตนอย่างไร มิใช่เรื่องที่บรรดาลูกศิษย์อย่างเราจะสามารถกล่าวถึงได้ตามอำเภอใจ สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ตอนนี้มีเพียงรักษาชีวิตเล็กๆ ของตนไว้ระหว่างที่ภัยพิบัติมารมาถึงก็พอ เอาละ ศิษย์น้อง มิสู้เจ้าเองก็มาเข้าร่วมเมืองเทียนหยวนเถอะ อย่างไรเสียเมื่อภัยพิบัติมารมาถึง ทั่วทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์เองก็มีเพียงเมืองเทียนหยวนเท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว เจ้าเองก็มีชื่อเสียงของอาจารย์คุ้มหัวอยู่ คิดว่าอาวุโสเหล่านั้นเองก็คงมองศิษย์น้องด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปแน่” ชี่หลิงจื่อเอ่ยต่อไป๋กั๋วเอ๋อร์ด้วยสีหน้าจริงจัง
“ศิษย์พี่ชี่หลิงพูดถูกแล้ว ข้าและศิษย์พี่เองก็ตัดสินใจว่าเมื่อภัยพิบัติมารมาถึง ก็จะเคลื่อนย้ายศิษย์ทั้งหมดเข้าสู่เมืองเทียนหยวน แม้ว่าจะเป็นได้เพียงกองกำลังในระดับต่ำที่สุด แต่หากว่ายังมีข้าทั้งสองปกป้อง น่าจะไม่ถูกนำไปเป็นหนังหน้าไฟแน่นอน หากว่าศิษย์น้องก็สามารถไปด้วยกันได้ อย่างนั้นจะดีมาก” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยพลางหัวเราะ
“เมืองเทียนหยวนหรือ?” ไป๋กั่วเอ๋อร์คิ้วขมวด ปรากฏสีหน้าหม่นหมองออกมา
“เหตุใดรึ ศิษย์น้องไม่ยินดีหรือ หรือยังทีแผนการอันใดอีก? เรื่องนี้ตัดสินใจให้เร็วไว้เป็นดี อย่างไรอาจารย์เองก่อนจะเก็บตัวบำเพ็ญตนก็ได้กล่าวไว้แล้ว เมื่อภัยพิบัติมารระเบิดขึ้น เขามีการณ์ใหญ่ต้องทำ ไม่อาจรั้งพวกเราทั้งสามไว้ข้างกายได้” ชี่หลิงจื่อเอ่ยถามอย่างห่วงใย
“เอ่ยอย่างไม่ปิดบังแก่ศิษย์พี่ทั้งสอง ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าได้รับจดหมายจากท่านพ่อ คนจากพรรคท่านแม่นั้นได้เคลื่อนย้ายเข้าสู่เมืองจักรพรรดิเสวียนอู่แล้ว ท่านพ่ออยากให้ข้าร่วมทางไปด้วยกัน ศิษย์น้องมีเครือญาติเพียงไม่กี่คนนี้ และข้าก็ไม่อยากให้เกิดการแยกจากกันอยู่หลังจากภัยพิบัติมาร” ไป๋กั่วเอ๋อร์หลังจากคิดอยู่นาน ก่อนเอ่ยการตัดสินใจของตนเองออกมา
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง ศิษย์น้องเองก็มีคนให้คะนึงถึง ไม่เหมาะจริงๆ หากต้องแยกกันอยู่ แต่ยังดีที่เมืองจักรพรรดิเสวียนอู่ยังถือได้ว่ามั่นคงและพึ่งพาได้ หากศิษย์น้องไปที่นั่นจริง คิดว่าก็ต้องปลอดภัยมากแน่” ไห่ต้าเซ่าปรากฏสีหน้าถึงบางอ้อก่อนจะเอ่ย
“หากศิษย์น้องไป๋ประสงค์จะไปเมืองจักรพรรดิเสวียนอู่ มิสู้นำหลิ่วเฟิงและฝูอวิ๋นไปด้วยเถิด เขาทั้งสองยังถือได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญพรตขั้นหลอมรวม หากอยู่ข้างกายศิษย์น้องยังถือว่ามีประโยชน์แน่” ชี่หลิงจื่อเอ่ยอย่างกะทันหัน
“หลิ่วเฟิงและฝูอวิ๋นเป็นถึงศิษย์ที่ศิษย์พี่ภาคภูมิใจที่สุด ศิษย์น้องจะกล้านำไปใช้งานข้างกายได้อย่างไร ศิษย์พี่วางใจเถิด ข้างกายข้ามิได้มีเด็กสาวรับใช้หลายคน พวกนางอยู่กับข้ามาพักใหญ่แล้ว แม้ว่าจะมิใช่ขั้นหลอมรวม แต่ก็มีวิชาระดับสร้างปราณ พวกนางเองก็ใช้ได้เช่นกัน” ไป๋กั่วเอ๋อร์กลอกลูกตาไปมา เม้มปากยกยิ้มก่อนเอ่ย
“ฮ่าๆ ในเมื่อศิษย์น้องว่าอย่างนั้น อย่างนั้นข้ากับศิษย์น้องไห่ก็……” ชี่หลิงจื่อยกยิ้มก่อนอยากจะเอ่ยอะไรอีกสักหน่อย
แต่ในตอนนี้เอง ฉับพลันเกิดเสียงฟ้าผ่าจากท้องฟ้าที่อยู่ใกล้เคียง ต่อมาทั่วทั้งดินแดนก็สั่นสะเทือน ยอดเขาที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาก็พลันสั่นไหวรุนแรง
ไป๋กั่วเอ๋อร์และอีกสองคนล้วนเป็นนักพรตระดับปราณก่อกำเนิด การสั่นไหวเล็กน้อยนี้ไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้เลย ทั้งหมดล้วนยืนอยู่กับที่อย่างมั่นคง แต่สีหน้านั้นกลับแปรเปลี่ยนไปในพริบตา ต่างก็มองขึ้นไปบนท้องฟ้าพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย
เห็นเพียงท้องฟ้าสีครามที่เดิมไร้ซึ่งเมฆลอย เกิดจุดสีเทาขนาดใหญ่หนึ่งลี้ขึ้น และกระจายตัวไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็เกิดคลื่นลอยล่องออกมาจากจุดสีเทานั้น และกระจายตัวออกไปรอบทิศทาง
ชั่วครู่เดียว จุดสีเทานั้นก็ขยายใหญ่ขึ้นไปกว่าสามสี่เท่า สีเทาทะมึนผืนใหญ่ ทำให้ทั่วทั้งโลกมืดครึ้มลงทันที ราวกับกำลังมีสิ่งใดกำลังกลืนกินทั้งนภาอยู่ก็มิปาน
“ริ้วมารรึ ไม่ผิดแน่ ริ้วมารนี้ต้องเป็นสัญญาณก่อนการมาถึง!” ไห่ต้าเซ่าสีหน้าซีดเผือด ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนออกมาเสียงดัง
ไป๋กั่วเอ๋อร์และชี่หลิงจื่อจ้องไปที่ด้านใต้ของบนอากาศเขม็ง สีหน้าย่ำแย่ยิ่งนัก
“นั่นคือริ้วมารไม่ผิดแน่ คาดไม่ถึงเลยว่าก่อนหน้าที่การมาถึงของภัยพิบัติมารจะรวดเร็วกว่าที่คาดคิดเอาไว้มาก” ไป๋กั่วเอ๋อร์เอ่ยพึมพำออกมา
“นี่อาจจะไม่ใช่ริ้วมารจริงๆ ก็ได้ อาจเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ใกล้เคียงกับอย่างอื่นก็ได้ จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ยังต้องให้คนของเมืองเทียนหยวนมายืนยันอย่างเป็นทางการอีกครั้งถึงจะถูก” ชี่หลิงจื่อถอนหายใจยาวหนึ่งครั้ง ก่อนเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่ดีขึ้นแล้ว
“หึ ยังต้องยืนยันยันอะไรอีกเล่า หากเป็นริ้วมารเล่าจะเป็นอย่างไร ทั่วทั้งดินแดนต้องไม่ได้มีแค่ที่นี่แน่” ไห่ต้าเซ่าส่ายหน้าก่อนเอ่ย
“ก็จริง หากเป็นอย่างนี้ล่ะก็ เกรงว่าทุกคนที่อยู่ในทั้งสามจักรพรรดิล้วนต้องทราบข่าวสารนี้แน่” ชี่หลิงจื่อตอบหลังจากเงียบอยู่นาน
“ศิษย์พี่ทั้งสองอย่างได้กังวลมากไป การปรากฏของริ้วมารเพียงระบุได้ถึงการเริ่มต้นรุกรานของโลกมารนั่นเอง ช่วงเวลานี้เชื่องช้ายิ่งนัก จากบันทึก พลังที่จะมาถึงโลกนี้นั้นอ่อนแอเสียจนทำให้เผ่ามารรุกรานโลกศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้เลย อย่างน้อยยังมีเวลาอีกครึ่งปีถึงจะถูก หากมีเวลาเตรียมตัวล่ะก็ เผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเราก็คงไม่ต้องวุ่นวายมือเท้าพันกันถึงเพียงนี้” ไป๋กั่วเอ๋อร์กลอกตาไปมาพลางเอ่ย
“คำนี้ไม่ผิด แต่เผ่ามารเองก็สามารถรวบรวมกำลังพล ณ ดินแดนแห่งริ้วมารเช่นกัน เมื่อเริ่มต้นการโจมตีแล้วต้องรุนแรงอย่างผิดปกติแน่ ไม่รู้ว่าจะมีเมืองมากน้อยเท่าใดที่โชคร้ายในการโจมตีสองสามครั้งแรกๆ” ชี่หลิงจื่อเอ่ยอย่างขมขื่น
ไป๋กั่วเอ๋อร์และไห่ต้าเซ่าเมื่อได้ฟังคำนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าพวกเขายิ่งยุ่งยากใจมากกว่าเดิม
ในตอนนี้เอง ขอบฟ้าที่อยู่ห่างไกลเกิดไฟแลบวาบ เรือลำใหญ่สีทองลำหนึ่งพุ่งตรงเข้ามา
บนเรือรบที่มีความยาวกว่าสิบจั้งนั้น มีนักรบที่สวมใส่เสื้อเกราะสีเขียมเข้มยืนอยู่สิบกว่าคนเต็มไปหมด แต่ละคนสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งนัก
หลังจากที่เรือรบนั้นหยุดลงภายใต้ริ้วมารยืนใหญ่นั้น นักรบชุดเกราะทั้งหลายต่างก็ทยอยแหวกอากาศออกมา พริบตาเดียวพวกก็มาถึงยังชุดที่อยู่ใกล้ริ้วมารเพียงไม่กี่ฉื่อ หลังจากนั้นบ้างก็โยนก็ค่ายกลธง ค่ายกลจาน ออกมา บ้างก็นำเครื่องมือวิเศษที่มีรูปร่างแปลกประหลาดออกมาแล้วกระตุ้นให้พวกมันเคลื่อนไหว
ทันใดนั้นเอง เกิดแสงสว่างวาบขึ้นไปบนท้องฟ้า แสบตายิ่งนัก
ที่ไกลออกไปยังคงมีแสงสว่างส่องมา ราวกับยังมีนักพรตอีกมากมายที่ยังคงมุ่งหน้ามายังมุ่งมาทางนี้มากขึ้น
“ไปกันเถอะ หน่วยลาดตระเวนของเมืองเทียนหยวนมาแล้ว พวกเราจะกลับไปที่ถ้ำทันที และบอกอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องนี้ก่อน” ชี่หลิงจื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ไป๋กั่วเอ๋อร์ทั้งสองคนแน่นอนว่าไม่มีความเห็น พวกเขาพยักหน้าเห็นด้วย ต่างก็เร่งรัดตามแสงมุ่งหน้ายังด้านใต้ยอดเขาหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป
……
ในห้องลับที่มีแสงสีขาวสลัวกะพริบ เตาสำริดขนาดใหญ่สีเขียวที่สูงเทียมมนุษย์คนหนึ่ง ตั้งเงียบๆ ตรงกลางห้อง
ล้อมรอบเตาสำริด มี ‘หานลี่’ ถึงสามคนนั่งขัดสมาธิอยู่ ล้วนนั่งหลับตาทั้งสองข้างอยู่ไม่ขยับเขยื้อนเลย
ท่ามกลางหานลี่ทั้งสามคนนั้น คนหนึ่งแสงสว่างเปล่งประกาย ภายนอกนั้นมีไอสีดำล้อมรอบไม่ห่าง คนหนึ่งผิวกายสีเขียวจาง ทั้งร่างมีไอสีม่วงแผ่ออกมา คนสุดท้ายมือทั้งสองข้างแผ่วางไว้บนน่อง แต่เบื้องหลังมีวงกลมสีทองเคลื่อนไหวไปมาวาววับ และระหว่างที่มันขยายตัวนั้น ราวกับสามารถมองเห็นตัวอักษรจินเหวินเกลือกกลิ้งไปมาอยู่ในนั้น
ในจุดกึ่งกลางของรัศมีของแสงนั้น มีดาบเล็กมรกตอีก 72 เล่มไล่ติดตามกันอย่างไม่ลดละ
ทันใดนั้นหานลี่ทั้งสามคนก็ลืมตาขึ้นมาและยกแขนขึ้นพร้อมกัน ก่อนตบไปยังเตาสำริดนั้นเบาๆ
หลังจากเสียงดัง ปัง ฝาของเตาสำริดก็กระดอนไปในนภา ต่อมาเกิดเสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น มีผ้าไหมสีขาวจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยิงออกมาจากเตานั้น
“ไป” หานลี่ทั้งสามคนค่อยยกนิ้วชี้ไปยังเตาสำริดในความว่างเปล่าอีกครั้งและอีกครั้ง
ผ้าไหมสีขาวที่พุ่งออกมาจากเตาสำริดดูเหมือนจะกระทบเข้ากับกำแพงที่มองไม่เห็นเข้า ต่างก็ทยอยหยุดอยู่กับที่ ราวกับถูกบังคับกักขังให้อยู่ในความว่างเปล่า
ในเวลานี้เอง พลันเกิดเสียงดังขึ้นจากเตาสำริด แสงสีทองสิบกว่าสายพุ่งตรงออกมา แมลงปีกแข็งที่มีขนาดเท่าหมัดสิบกว่าตัว ทุกๆ ตัวด้านหลังมีสีทองอร่าม แต่มีจุดสีม่วงและทองอยู่ทั่วไปหมด และส่วนล่างของช่องท้องจะใสดุจแก้ว โปร่งใสราวกับสีเหลืองอำพัน
แมลงปีกแข็งที่แต่ละตัวดุร้ายอย่างผิดปกติ เมื่อพวกมันบินออกไปจากปากเตาสำริด ก็ต่างก็แยกเขี้ยวพุ่งตรงมาทันที ท่าทางราวกับจะกลืนกินทั้งหมดทั้งมวลเข้าไปอย่างนั้น
พริบตาเดียว ปากเตาพลันเกิดเสียงดังสนั่น ลมหายใจที่น่าสะพรึงกลัวพลันหายไป
หานลี่ทั้งสามที่เห็นภาพนี้ ต่างก็ตะโกนเสียงดัง แสงสว่างวาบจากปลายนิ้ว วิชาทั้งหลายต่างก็โจมตีไปยังหนอนวิเศษเหล่านั้นทันที