คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1874 ค้างคาวมาร
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1874 ค้างคาวมาร
เสียงดังโครมครามกึกก้อง แสงสีดำส่องกะพริบ เรือรบขนาดยักษ์ลำหนึ่งขยายตัวปรากฏขึ้นในทันที
เรือรบลำนี้ในตอนแรกขนาดเพียงไม่กี่สิบจั้ง ชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นเรือยักษ์ขนาดเท่าภูเขาลูกหนึ่ง เสากระโดงสีดำทั้งสามนั้นดูสูงชะลูดนับหมื่นจั้งเหมือนกับเสาค้ำสวรรค์ บนเสาแต่ละต้นนั้นมีใบเรือสีดำทะมึนผืนหนึ่งแขวงโยงอยู่ บนนั้นมีรูปประทับสัตว์อสูรสีดำสองสามตัวกำลังไปแยกเขี้ยวกางเล็บประทับอยู่ ดูราวกับมีชีวิตจริง ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างน่าเกรงขาม
สิ่งที่ทำให้รู้สึกน่าทึ่งยิ่งกว่านั้น เรือลำนี้ขยายขึ้นใหญ่โตมโหฬารเพียงนี้ แสงวิญญาณบริเวณตรงกลางของเขตอาคมต่างๆ บนตัวเรือยักษ์ส่องสว่าง จากนั้นสิ่งของรูปร่างต่างๆ มากมายก็ปรากฏขึ้น
สิ่งของเหล่านั้น บ้างก็เป็นลูกแก้วกลม บ้างก็เป็นทรงกระบอก แต่ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดล้วนแต่มีอักษรยันต์ที่ซับซ้อนวุ่นวายประทับอยู่บนพื้นผิวภายนอก
แต่ทว่าสิ่งของมากมายถึงเพียงนี้ อาจจำเป็นต้องมีผู้บำเพ็ญเพียรหลายร้อยคนถึงจะขับเคลื่อนแสนยานุภาพของมันให้แสดงออกมาได้
แต่เมื่อเทียบกับสิ่งของเหล่านี้แล้ว เสาแก้วห้าสีโปร่งแสงสามต้นที่ยืนตระหง่านอยู่ที่หัวเรือต่างหากที่เป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตา
เสาแก้วทั้งสามต้นนี้ ไม่เพียงแต่ใหญ่ราวกับโอ่งน้ำ ยังมีความยาวถึงร้อยจั้ง สิ่งของอื่นๆ เทียบกับพวกมันไม่ได้เลยแม้สักนิด
ในขณะที่หานลี่เพ่งสมาธิพิจารณาเรือรบขนาดยักษ์อย่างละเอียดนั้น ผู้อาวุโสตระกูลหล่งก็ได้ตรวจสอบน้ำนมวิญญาณและกำไลเก็บของในมือเสร็จแล้วเช่นกัน แล้วก็เก็บเอาไว้ จากนั้นก็มองไปยังเรือยักษ์ปราดหนึ่ง แล้วพูดขึ้นสีหน้าเรียบ
“เพียงแค่วัสดุในการต่อเรือยักษ์ค้ำสวรรค์ลำหนึ่งก็มีค่านับร้อยล้านศิลาวิญญาณแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแรงงานที่ใช้ในการต่อเติมมันอีก ทั้งเวลาและหยาดเหงื่อที่เสียไปกับการสร้างเรือยักษ์ หากเรือลำนี้นำไปขายสู่ภายนอกจริงแล้วล่ะก็ ราคาจะสูงขึ้นหลายต่อหลายเท่าอย่างไร ข้าจึงยังรู้สึกค้างคาในใจสักหน่อย”
“ข้ารู้ดีว่าการแลกเปลี่ยนครั้งนี้จะเป็นการเอาเปรียบสหายอยู่บ้าง แต่สหายได้น้ำนมวิญญาณและวัตถุดิบที่ในตอนนี้ไม่สามารถหาซื้อได้ด้วยศิลาวิญญาณอย่างเด็ดขาด เอาละ จะว่าเช่นใดก็แล้วแต่ การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ก็ถือว่าสำเร็จลุล่วงแล้ว ข้าก็คงจะไม่เตร็ดเตร่อยู่ที่นี่ สหายหลังจากนี้ตอนที่ตัดสินใจเข้าสู่แดนมาร ขอเพียงผ่านทางเมืองเทียนหยวนมาบอกข้าก่อนล่วงหน้าก็พอ ผู้น้อยจะไปตามนัดตรงเวลาแน่นอน!” หานลี่พูดขึ้นพลางหัวเราะเบาๆ และใช้มือข้างหนึ่งหนีบยันต์ วัตถุขนาดยักษ์ใหญ่โตมโหฬารที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าทันใดนั้นก็หดเล็กลงหลายเท่า กลับคืนสู่ขนาดเล็กเพียงไม่กี่นิ้วแล้วเก็บเข้าในแขนเสื้อ
“ขอเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถต้านทานการโจมตีระลอกแรกๆ ของเผ่าพันธุ์มารได้ ให้เหตุการณ์มารผจญอยู่ในขอบเขตที่สามารถควบคุมได้ การเดินทางแดนมารจะไม่ล้มเลิกเด็ดขาด ข้าจะแจ้งให้สหายหานรู้ล่วงหน้าแน่นอน อย่างไรเสียระดับการบำเพ็ญเพียรของสหายในเวลานี้จะเป็นกำลังช่วยเหลือในภารกิจครั้งนี้อย่างแน่นอน” ใบหน้าที่นิ่งเฉยของผู้อาวุโสตระกูลหล่งพูดขึ้นพร้อมเผยให้เห็นรอยยิ้ม
หานลี่ได้ยินก็พยักหน้ารับ แต่จากนั้นชั่วพริบตาเดียว ก็มองไปยังความว่างเปล่าอีกด้านหนึ่งแล้วยืนขึ้นอย่างน่าประหลาด จากนั้นก็ประสานมือคำนับ ทันทีที่แสงสีเขียวส่องกะพริบ ก็กลายร่างเป็นรุ้งสีเขียวบินแหวกท้องฟ้าจากไป
ผู้อาวุโสตระกูลหลวงเห็นเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม จนกระทั่งรุ้งสีเขียวหายลับไปที่เส้นขอบฟ้า จึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ
แต่ในเวลานั้นเอง ความว่างเปล่าที่หานลี่ได้กวาดสายตามองก่อนจากไปนั้น ความว่างเปล่านั้นก็กระเพื่อมไหว เงาร่างบิดเบี้ยวของคนผู้ก็ปรากฏขึ้น นั่นคือชายในชุดสีดำผู้หนึ่ง นั่นคือผู้อาวุโสสูงสุดอีกคนหนึ่งของตระกูลหล่ง
ในเวลานี้ สีหน้าอันบึ้งตึงของเขาก็มองไปยังขอบฟ้าที่หานลี่หายลับตาไป แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า
“พี่หล่ง ดูเหมือนเขาจะรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเรามานานแล้ว อิทธิฤทธิ์เร้นกายที่เพิ่งฝึกสำเร็จของข้านี้ แม้แต่ท่านสหายก็ยังไม่อาจรู้สึกตัวได้แต่โดยง่าย แต่กลับไม่อาจปกปิดสายตาของเขาได้ หากคนผู้นี้ไม่ใช่ว่าเคยฝึกอิทธิฤทธิ์พิเศษล่ะก็ คงต้องมีสมบัติวิเศษอะไรบางอย่างที่สามารถเผยการซ่อนเร้นได้”
“เป็นเช่นนั้นจริง แต่ก็อาจเป็นเพราะคนผู้นี้มีดวงจิตที่แข็งกล้าเหนือกว่าข้า ความเร็วในการฝึกบำเพ็ญเพียรของคนผู้นี้ไวถึงเพียงนี้ อาจจะมีพรสวรรค์อันผิดลิขิตสวรรค์ ก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หากมีคนผู้นี้มาร่วม กำลังของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เข้าสู่แดนมารก็จะเพิ่มขึ้น คงไม่ได้ด้อยกว่าพวกระดับเทพศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์วิญญาณเท่าไรนัก” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งพยักหน้า แล้วพูดตอบด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“แต่พี่หล่ง กำพืดของเจ้าเด็กแซ่หานผู้นี้พวกเรารู้น้อยมาก อาจจะเป็นปัจจัยสร้างความไม่มั่นคงให้กับการเดินทางสู่แดงมารของพวกเราก็ได้” ชายในชุดสีดำขมวดคิ้วมุ่นพูดขึ้น
“ฮึ รู้น้อยก็ใช่ว่าจะเป็นอะไรมากนักหรอก คนอื่นที่พวกเราเชิญมา ก็ใช่ว่าจะรู้จักจริงเสียเมื่อไหร่กัน ขอเพียงพวกเขาสามารถช่วยให้พวกเราบรรลุเป้าหมายก็พอแล้ว มารผจญครั้งนี้สำหรับตระกูลพวกเราแล้วถือเป็นวิปโยคครั้งใหญ่ แต่สำหรับระดับผสานอินทรีย์อย่างพวกเราไหนเลยจะไม่ใช่โอกาสอันดีที่ฟ้าประทานมาให้ ปฏิบัติการครั้งนี้จะต้องสำเร็จโดยที่จะล้มเหลวไม่ได้ มิเช่นนั้นแล้วพวกเราชั่วชีวิตนี้ก็คงจะหยุดอยู่ที่ระดับผสานอินทรีย์ ไม่มีทางที่จะก้าวหน้าต่อไปได้” มือทั้งคู่ของผู้อาวุโสตระกูลหล่งในแขนเสื้อกำแน่น พูดขึ้นด้วยสีหน้าดุดัน
“พี่หล่งพูดก็มีเหตุผล แต่ทว่าในเวลานี้ พวกเราต้องสามารถต้านทานการโจมตีของเผ่ามารก่อนจึงจะได้” ชายในชุดดำเห็นด้วยทั้งยินดี พร้อมพูดขึ้นพลางหันหน้ามองไปยังกำแพงเมืองมหึมา
“ข้าได้ชักชวนตระกูลต่างๆ ทั้งหมดสิบสามตระกูลมาร่วมมือกันสร้างที่มั่นแห่งนี้ ทุกฝ่ายสามารถโจมตีและป้องกัน เป็นกำลังหนุนซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะจำนวนผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูง หรือจะเป็นความสามารถในการตั้งรับก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเมืองจักรพรรดิทั้งสามอีกต่อไปอย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าเคราะห์มารครั้งนี้จะหนักหน่วงกว่าที่เล่าลือกันซักกี่เท่า ก็น่าจะปลอดภัยไร้กังวลแน่นอน” ผู้อาวุโสสกุลหล่งพูดอย่างมั่นใจ
“เรื่องนี้ข้าเองก็มั่นใจอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นแล้วก็คงไม่มาร่วมมือกับท่านพี่หล่งหรอก ในเมื่อเจ้าเด็กนั่นก็ไปแล้ว พวกเราก็กลับไปสะสางธุระเถอะ ริ้วมารตอนนี้ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว คาดว่าสักสามสี่เดือนให้หลัง เผ่ามารแท้คงจะทะลุผ่านมิติมาได้ พวกเราคงต้องเตรียมขวัญกำลังใจให้พร้อมอย่างเต็มที่เพื่อรับมือ” ชายในชุดดำพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อืม ไปกันเถอะ ข้ามีโอสถอยู่เตาหนึ่งที่กำลังหลอมอยู่พอดี” ผู้อาวุโสตระกูลหล่งพยักหน้า จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ชั่วพริบตาเดียวแสงสีทองก็ม้วนพัดออกมา พันล้อมร่างเขาเอาไว้ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองลูกหนึ่งพุ่งออกไปยังกำแพงเมืองยักษ์
ชายในชุดดำเห็นเช่นนั้น ก็ตวัดมือร่ายยันต์เช่นกัน จากนั้นก็กลายเป็นสายลมสีดำลูกหนึ่งพัดม้วนออกไป
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปหลายพันลี้ กำลังบินพุ่งตรงไปยังที่ซึ่งไกลออกไป
สองเดือนให้หลัง ในที่สุดหานลี่ก็ผ่านเขตอาคมส่งตัว กลับมาที่กลางเมืองเทียนหยวนอีกครั้ง
ในเวลานี้ ทั่วทั้งป้อมปราการเมืองได้อยู่ใต้ภาวะเข้มงวดกวดขันแล้ว เขตอาคมต้องห้ามทั้งหมดอยู่ในสภาพใช้การได้แค่ครึ่งเดียว
หากหานลี่ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ เกรงว่าในเวลาเช่นนี้แม้แต่จะใช้เขตอาคมส่งตัวก็ไม่มีสิทธิ์
หานลี่ไม่ได้ใส่ใจจิตสังหารที่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมือง
แต่เขาพุ่งตรงกลับไปยังหอสูงซึ่งไห่ต้าเซ่าและลูกศิษย์คนอื่นพำนักอยู่ แล้วมอบเรือยักษ์ค้ำสวรรค์ให้กับเหล่าลูกศิษย์ ให้พวกเขาพาผู้คนในสำนักจำนวนนับร้อยรีบไปเรียนรู้สมบัติพิเศษเหล่านี้ก่อนเป็นอันดับแรก เพราะเรือยักษ์ค้ำสวรรค์เดิมทีก็จำเป็นต้องมีคนนับร้อยคนจึงจะสามารถขับเคลื่อนพลานุภาพที่แท้จริงออกมาได้
นี่ถือว่าหานลี่ได้มอบหนทางครั้งสุดท้ายเพื่อใช้รักษาชีวิตให้กับบรรดาเหล่าลูกศิษย์แล้ว
หาไม่แล้วเพียงแค่ระดับปราณก่อกำเนิดของพวกเขา ท่ามกลางเคราะห์มารจะถอนตัวออกมาได้หรือไม่นั้นยังต้องว่ากันอีกที
เมื่อมอบเรือให้กับลูกศิษย์เสร็จแล้ว หานลี่ก็กลับไปที่ชั้นสูงสุดของหอสูงอีกครั้งทันที จากนั้นก็เก็บตัวบําเพ็ญเพียร แต่คราวนี้ เขาได้ให้เหล่าลูกศิษย์จับตามองสภาพของริ้วมาร และกำหนดเวลาชัดเจนให้มารายงานสภาพทุกวัน
เวลาแต่ละวันค่อยๆ ผ่านพ้นไป แต่ละวันบรรยากาศในเมืองเทียนหยวนตึงเครียดขึ้นมาเรื่อยๆ
ริ้วมารสองสามแห่งใกล้ๆ กับเมืองเทียนหยวน ในเวลานี้ไม่เพียงแต่กว้างใหญ่นับหมื่นลี้ หนำซ้ำยังดำทะมึนเป็นเงา พื้นที่ซึ่งอยู่ใกล้ถึงกับสามารถเห็นไอมารลอยม้วนอยู่ไม่หยุดอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน
แต่ทว่าริ้วมารสองสามแห่งที่เมืองเทียนหยวน เมื่อเทียบกับดินแดนเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อื่นยังไม่นับว่าใหญ่โตมากนัก ว่ากันว่าริ้วมารที่ใหญ่ที่สุด ปรากฏใกล้กับราชันวิญญาณองค์ใหม่ ริ้วมาร ณ ที่แห่งนั้นขยายกว้างทอดยาวไกลออกไปนับล้านลี้ กินพื้นที่ใหญ่กว่าริ้วมารที่เมืองเทียนหยวนหลายร้อยเท่า
หานลี่เมื่อได้ยินข่าวนี้ นอกจากทอดถอนใจแล้ว ก็ได้เพียงแต่เก็บเรื่องเหล่านี้เอาไว้ในเบื้องลึกของความคิด
ในวันนี้ ใกล้ๆ กับริ้วมารดำทะมึนแห่งหนึ่งซึ่งห่างจากเมืองเทียนหยวนไปหลายหมื่นลี้ เรือบินสีทองยาวหลายจั้งส่องประกายแสงสีทองระยิบระยับสองลำ กำลังแอบซ่อนอยู่ท่ามกลางป่าไม้หนาทึบแห่งหนึ่งห่างออกไปหลายสิบลี้
บนเรือรบสองลำนี้ มีองครักษ์สวรรค์กรอบทองสองนายและองครักษ์เกาะดำอีกหลายนายประจำการอยู่
ผู้คนเหล่านี้ตั้งมั่นอยู่ ณ ที่แห่งนี้ไม่รู้กี่วันแล้ว ต่างกระซิบพูดคุยกันเสียงเบาด้วยสีหน้าออกจะเคร่งเครียด
“พี่เฉิน สองวันมานี้ใจข้าไม่สงบเลย หนังตากระตุก หรือว่าเคราะห์มารจะปะทุขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว!” ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีทองซึ่งแขนทั้งสองเต็มไปด้วยเส้นเลือดที่ปูดโปนคนหนึ่งถามขึ้นด้วยความกังวลใจ
“สหายจิน ใช่จะมีเพียงเจ้าที่ไหน ตัวข้านับแต่ถูกส่งตัวมาที่นี่เพื่อสังเกตการณ์ความเคลื่อนไหวของริ้วมาร ก็จิตใจหวาดระแวงอยู่ตลอดเวลา แต่ยังดีที่พวกเรารับผิดชอบเพียงแค่เรื่องสังเกตการณ์ หากริ้วมารเกิดแตกขึ้นมา ก็สามารถใช้เขตอาคมส่งตัวกลับกลางเมืองได้ทันที ไม่ได้มีอันตรายอะไรมากมายนัก” ชายแก่รูปร่างเตี้ยผู้หนึ่งยิ้มแหยแล้วพูดตอบ
“อืม ข้าก็รู้ว่าคงไม่มีภัยถึงชีวิต แต่สภาพยังเป็นเช่นนี้ เห็นแล้วก็ยังใจไม่สงบอยู่ดี ทว่าในเมื่อจับฉลากได้ถูกส่งมายังที่แห่งนี้ ถือว่าเราสองคนช่างอับโชคที่สุด” ชายฉกรรจ์แสยะยิ้ม แล้วพูดตอบอย่างจนปัญญา
“หึๆ อยู่ในเมืองอย่างไรก็ปลอดภัยที่สุด แต่ขอเพียงพวกเราสามารถบรรลุภารกิจได้อย่างราบรื่น รางวัลสำหรับภารกิจครั้งนี้ก็คงงดงามที่สุดทีเดียว ข้าคิดว่าการเผชิญกับอันตรายครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรมากนัก” ชายแก่พูดขึ้นพลางส่ายหน้า
“นั่นก็ใช่ โอสถเหล่านั้นที่ท่านผู้อาวุโสเอาออกมาครั้งนี้ ต้องล้ำค่าอย่างที่สุดจริงๆ ต้องมีประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก…แย่แล้ว…นั่นมันอะไรกัน…” ชายฉกรรจ์ได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ แต่ทันใดนั้นเอง สายตาของเขาก็มองไปยังบนท้องฟ้าที่ไกลออกไป แล้วสะดุ้งโหยงหนึ่งทีแล้วลุกขึ้นยืนบนเรือทองคำ หน้าถอดสีอย่างแรง
“อะไรกัน หรือว่าริ้วมารเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น!” ชายแก่เมื่อได้เห็นเช่นนั้น ก็ใจเต้นรัว รีบหันตัวมองไปยังทิศทางเดียวกันอย่างรวดเร็ว
องครักษ์เกราะดำคนอื่นๆ เมื่อมองไปยังท้องฟ้าซึ่งไกลออกไป สีหน้าก็ซีดเผือดขึ้นมาทันที
ความว่างเปล่าเวิ้งว้างด้านล่างริ้วมารที่ไกลออกไป เริ่มขยับบิดเบี้ยวอย่างรุนแรงขึ้นมาทันที ราวกับว่าท้องฟ้าทั้งผืนกำลังจะพลิกกลับ
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงอึกทึกดังสนั่นหวั่นไหวก็แว่วเข้ามา ไอมารที่ลอยม้วนอยู่กลางริ้วมาร ก็มีค้างคาวมารตัวยาวเกือบจั้งจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้น
แต่ละตัวมีผิวหนังสีแดงสดดั่งเลือด บนหัวมีเขาเดี่ยวสีดำสนิท หน้าปากส่งคลื่นเสียงหลายระลอกไปยังความว่างเปล่าที่บิดม้วนอย่างคลุ้มคลั่งด้านล่าง