คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1877 กระแสมารถาโถม
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1877 กระแสมารถาโถม
พวกคนที่ยังไม่ได้กลายร่าง เมื่อเห็นสภาพเพื่อนฝูง กว่าครึ่งก็ใช้สายตาดูถูกกวาดมองไป
ยังมีคนอีกจำนวนหนึ่งถึงแม้จะสีหน้าสงบนิ่ง แต่สายตากลับกวาดมองไปรอบด้าน ความตื่นเต้นค่อยๆปรากฏขึ้นรำไรอยู่บนใบหน้าอย่างมิอาจปกปิด
ในนั้นมีผู้เฒ่าผมแดงไปทั้งหัวจมูกงุ้มเหมือนปากนกอินทรีผู้หนึ่ง มองไปยังทัศนียภาพที่เขียวชอุ่มไกลออกไปอยู่ครู่หนึ่งด้วยสีหน้าซับซ้อน แล้วพูดพึมพำขึ้นมาด้วยเสียงอันเบา
“คาดไม่ถึงว่าชั่วชีวิตข้ายังสามารถได้เห็นสิ่งเหล่านี้อีกครั้ง ในเมื่อเช่นนี้ ต่อให้สู้จนตัวตายในดินแดนแห่งนี้ ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ”
“พี่ซา ไยท่านจึงต้องหดหู่ถึงเพียงนี้ ท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มีคำสั่งให้กับพวกเราตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ ครั้งนี้แตกต่างจากพิธีบูชาศักดิ์สิทธิ์ในอดีตที่ผ่านมาอย่างมาก ถ้าหากเป็นไปได้ เผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์น่าจะมีโอกาสได้ครอบครองดินแดนส่วนหนึ่งของแดนวิญญาณได้อย่างเด็ดขาด พวกเราหากสามารถสร้างผลงานในพิธีบูชาศักดิ์สิทธิ์ได้แล้วล่ะก็ อาจจะขออยู่ยังดินแดนวิญญาณได้ นี่สำหรับพวกเราชาวที่ดินขึ้นมายังแดนมาร ถือว่าเป็นโอกาสที่ยากจะหาได้ยิ่ง”
ผู้เฒ่าผมแดงถึงแม้เสียงจะเบาอย่างมาก แต่ก็ยังถูกผู้เฒ่าท่าทีน่ายำเกรงสวมชุดผ้าป่านสีดำเอวคาดด้วยแถบผ้าสีทองผู้หนึ่งได้ยินเข้า ก็หัวเราะคิกคักแล้วพูดตอบ
“คำพูดของพี่ซันหยางถูกต้องอย่างที่สุด! พวกเราไต่เต้ากันมานาน และก็เป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าอาจสามารถอยู่ที่แดนวิญญาณต่อหลังจากสงคราม นั่นย่อมเป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่งเรื่องหนึ่ง” ผู้เฒ่าผมแดงพยักหน้าตอบ สีหน้าเปลี่ยนไป
หัวข้อสนทนาเดียวกันนั้น ก็ถูกกระซิบพูดกันท่ามกลางผู้คนอื่นๆ
ในเวลานี้ กลางประตูสีเงินของหอคอยยักษ์ทันใดนั้นก็ส่งเสียงดังกึกก้องออกมา ตามด้วยเสียงฝีเท้าอันหนักอึ้ง เสียงหนึ่งตามด้วยเสียงหนึ่งแว่วออกมาจากด้านใน
อักษรยันต์ทั้งสี่ด้านของประตูเงินเปล่งแสง ทันใดนั้นก็มีอสูรมารที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเดินออกมาจากด้านในหลายขบวน
อสูรมารเหล่านี้ทั่วทั้งผิวกายมีรอยแตกสีเทาขาว ทั่วทั้งตัวไร้ซึ่งเส้นขน ราวกับอสูรร่างกายที่เกิดขึ้นจากก้อนหินที่ก่อตัวขึ้นมา ยังพอจะมองเห็นเขาคงรูปร่างของมนุษย์ได้บ้าง แต่ที่บริเวณหัวไหล่มีแขนขนาดใหญ่อยู่สี่ข้าง เมื่อขยับเดิน พื้นดินที่อยู่ใกล้ต่างสั่นสะเทือน แต่ละตัวหนักขึ้นจนน่าตกตะลึง
มารศิลาเหล่านี้ตัวสูงกว่าสิบจั้ง เดินออกมาจากหอยักษ์แต่ละแห่งมากมายนับพันตัว แล้วเข้าแถวเรียงอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านหน้าหอหลายแถว หยุดนิ่งไม่ขยับแม้สักนิด ท่าทีกลับดูเชื่อฟังอย่างเกินความคาดหมาย
แต่เมื่อมารอสูรตัวที่เป็นหัวหน้าคำรามขึ้น ผิวกายมารศิลาเหล่านี้ก็เปล่งแสงสว่างสีเทา ร่างกายที่ดูแข็งแกร่งอย่างยิ่งในตอนแรก กลับกลายเป็นนิ่มอ่อนราวกับโคลนเลน ต่างซึมแทรกลงในดินโคลนหายลับไร้ร่องรอย
เวลาเพียงชั่วครู่เดียว ในพื้นที่รัศมีหมื่นลี้ทันใดนั้นก็สะเทือนไหวขึ้นมา ตามด้วยพื้นที่ชายขอบบางแห่ง ผืนดินได้แยกแตกออก
แสงสีเหลืองส่องขึ้นพร้อมเสียงหวีดแหลม กำแพงดินหลายแถบผุดขึ้นออกมาจากพื้นดิน ทอดยาวเป็นแนวเดียว เวลาไม่เกินชั่วหนึ่งก้านธูป กำแพงปราการขนาดมหึมายาวนับร้อยลี้ก็ผุดขึ้นจากพื้นดิน
แต่ทว่าแม้กำแพงนี้สูงถึงร้อยจั้ง แต่ก็เป็นเพียงสภาพเริ่มต้น ผิวภายราวกับดินทรายหลุดร่อนลงมาไม่ขาด เพียงแค่ขยับก็แทบจะร่วงลงมา
แต่ในเวลานั้นเอง พื้นดินที่อยู่ด้านหน้ากำแพงดินก็เปล่งแสงวิญญาณออกมา มารศิลาสีเทาขาวเหล่านั้นผุดขึ้นออกจากพื้นดินอีกครั้ง พร้อมใช้แขนทั้งสี่เหวี่ยงเข้าไปตบกำแพงดินไม่หยุด
ฉากอันน่าตกตะลึงปรากฏขึ้น!
ในขณะที่แขนทั้งสี่ของมารศิลาขยับไปมา ลำแสงขนาดเท่าปากถ้วยหลายลำก็พุ่งออกมา พุ่งไปยังกำแพงดินแต่ละแห่งอย่างแน่นหนา
เพียงเวลาชั่วคราวเดียว ก็มีเสียงดังขึ้นราวกับถูกแช่แข็ง
บริเวณที่ลำแสงพุ่งเข้าไป ก็มีดอกแสงสีเทาขาวหลายดอกผลิบานออก แล้วเลื้อยแผ่ไปทั่วทุกทิศ และที่ซึ่งแสงสีเทาขาวม้วนตัวผ่าน ดินทรายอ่อนร่วนก็กลายสภาพเป็นหินแข็งสีเทาขาว
มารศิลาเหล่านี้ใช้อิทธิฤทธิ์แปรสภาพดินให้กลายเป็นหิน
และเช่นนี้ ด้วยแขนของมาศิลาเคลื่อนไหวอย่างคลุ้มคลั่ง กำแพงดินยาวนับร้อยลี้แห่งนี้เพียงเวลาอันสั้นก็กลายเป็นกำแพงปราการไร้ซึ่งรอยต่อแห่งหนึ่งขึ้นมา
ส่วนฝั่งที่เหลือ ก็มีเสียงดังอึกทึกครึกโครมขึ้นมาไม่ขาดเช่นกัน มารศิลาอีกกลุ่มหนึ่งได้ใช้วิธีเดียวกันก่อกำแพงหินขึ้นมาอีกด้านหนึ่ง
และด้วยเช่นนี้ เวลาสั้นๆ เพียงไม่เกินหนึ่งชั่วโมงอย่าง พื้นที่รัศมีนับหมื่นลี้ก็ถูกโอบล้อมอยู่ภายในกำแพงปราการศิลา
ในเวลานี้ ก็มีเงาร่างผีเลือนรางที่ถูกห่อหุ้มด้วยไอสีดำหลายกลุ่มลอยออกมาจากหอยักษ์สามเหลี่ยม
ผีเหล่านี้บินลอยอย่างเบาหวิว เรากับไม่มีร่างกาย แต่เมื่อบินไปถึงกำแพงปราการแล้ว ร่างกายก็พุ่งไปยังกำแพง เขตอาคมขนาดเล็กใหญ่ต่างกันหลายอันก็ปรากฏขึ้นบนกำแพง รูปร่างหน้าตาของมันล้วนแต่เหมือนกัน ประหนึ่งว่าถูกประทับขึ้นด้วยคนคนเดียว
เมื่อทุกอย่างดำเนินการเสร็จสิ้นลง ผีเหล่านี้ก็มุดออกมาจากกำแพงปราการอีกครั้ง แล้วแตกฝูงกลับไปยังในหอยักษ์อีกครั้งโดยไม่ได้สนใจเผ่าพันธุ์มารอื่นๆ
และด้วยเช่นนี้ เมื่อเวลาค่อยๆผ่านไป ปราการขนาดยักษ์ที่เกิดขึ้นจากหินแข็งแห่งหนึ่ง ก็ยืนตระหง่านอยู่กลางทะเลมาร
ใจกลางของหอยักษ์นับร้อยแห่งที่พูดไปนั้น สิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดอีกจำนวนหนึ่งก็ถูกยกขึ้นจากพื้นดินด้วยมือของมาศิลาที่ทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
หนำซ้ำเผ่าพันธุ์มาระดับสูงจำนวนหนึ่ง เข้าไปจัดวางเขตต้องห้ามมหัศจรรย์จำนวนหนึ่งตามมุมต่างๆ อย่างใจเย็นด้วยตัวเอง เขตต้องห้ามแต่ละชั้นกระเพื่อมไหวอยู่ไม่นานก็กลายเป็นเขตครอบปิดครอบทั้งปราการเมือง
ทันใดนั้นเองยอดบนสุดของหอยักษ์สามเหลี่ยมแห่งหนึ่งใจกลางปราการยักษ์ก็ส่องแสงวิญญาณ แล้วแยกออกทันทีอย่างน่าประหลาด
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แท่นบูชาขนาดยักษ์สีแดงราวกับย้อมด้วยเลือดสดค่อยๆ ยกตัวขึ้นมา
ทั้งสี่ด้านของแท่นบูชาแห่งนี้ประทับด้วยตัวอักษรโบราณที่ยากจะเข้าใจมากมาย เมื่อมองไปแล้ว สามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือดที่คละคลุ้งลอยมาปะทะใบหน้า
แต่สิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่านั้น ด้านบนตรงกลางแท่นบูชา มีเงาร่างมนุษย์สูงใหญ่ผู้หนึ่งที่ถูกครอบด้วยแสงสีเลือดชั้นหนึ่งยืนตัวตรงอยู่ในนั้น
เมื่อเห็นคนผู้นี้ปรากฏตัว เหล่าเผ่าพันธุ์มารระดับกลางและสูงทั้งหมดจากทั่วทุกทิศไม่ว่าจะกำลังทำงานอยู่หรือเตรียมตัวระวัง ต่างคุกเข่าแสดงคารวะด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เผ่าพันธุ์มารอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไป ถึงแม้ว่าในตอนแรกจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นผู้อื่นที่อยู่ใกล้ตัวทำเช่นนี้ ต่างคุกเข่าก้มตัวลงต่ำกราบไหว้ด้วยความตื่นตะลึงเช่นกัน
“คารวะท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แสงโลหิต”
เพียงครู่เดียว เสียงดังซึ่งกระหึ่มทะลุชั้นฟ้า ก็ดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้าเหนือปราการยักษ์
เงาร่างแสงสีแดงเลือดที่อยู่บนแท่นบูชา กลับไม่ได้แสดงอาการใดๆ ต่อสิ่งเหล่านี้ เพียงแต่ใช้สายตาเย็นชากวาดมองไปโดยรอบ แล้วหรี่ตาทั้งคู่ลงเงยหน้ามองขึ้นไปยังทะเลมารที่อยู่สูงขึ้นไปบนท้องฟ้าปราดหนึ่ง
แววตาส่องประกายเจิดจ้า ราวกับเสี้ยวจันทร์คู่หนึ่งกลางคืนเดือนมืด ยากที่จะลืมเลือนได้
ทันใดนั้นก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น ผลึกแก้วอันหนึ่งก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ แล้วใช้มือข้างหนึ่งชูขึ้นด้านบนแล้วกวักมือ
เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้าดินก็ดังขึ้น
ทะเลมารที่อยู่บนท้องฟ้าราวกับถูกมือขนาดยักษ์ไร้รูปร่างข้างหนึ่งคว้าเอาไว้อย่างแรง ไอมารจำนวนหนึ่งก็โหมกระเพื่อมขึ้นมาอย่างรุนแรง จากนั้นก็สาดม้วน ไอมารเหล่านี้ม้วนตัวขึ้นมาพร้อมกันอย่างคลุ้มคลั่ง อีกทั้งยังเปล่งแสงออกมา กลายสภาพเป็นไม้ตะพดขนาดยักษ์ดำทะมึนด้ามหนึ่ง มีหัวเป็นผี มีด้ามเป็นมังกรวารี มีลวดลายแปลกประหลาดไปทั่วทั้งตัว ร่อนลงมาจากท้องฟ้าสูงตรงไปยังแท่นบูชา
แววตาเสวี่ยอิ่งเปล่งแสง มือข้างที่ยื่นออกไปคว้าสิ่งนั้น นิ้วทั้งห้ากระดิกไหวเบาๆ
ไม้ตะพดยาวนับร้อยจั้ง ทั่วทั้งตัวมียันต์เวทไหลเลื่อนไปมา ในระหว่างที่ห้อยลงมาก็หดเล็กลง จนเหลือความยาวเพียงสองจั้ง และถูกบรรพชนจากแสงโลหิตผู้นั้นคว้าเอาไว้ในมือ
จากนั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งเอาไม้ตะพดวางขวางอยู่หน้าลำตัว เสวี่ยอิ่งก็เริ่มสวดร่ายเวทมนต์ด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมาจากปาก บทสวดนี้ลึกล้ำยากที่จะเข้าใจ และยังใช้ภาษาของเผ่าพันธุ์มารสวดร่ายออกมา ยิ่งทำให้รู้สึกได้ถึงความลึกลับอันน่าแปลกประหลาด
หัวผีร้ายบนยอดของไม้ตะพด ในขณะที่สวด ดวงตาผีสีเงินก็ลืมตาขึ้น จากนั้นก็อ้าปาก คายอักษรยันต์ส่องแสงดำออกมา ปะทะกับสายลมที่พัดเข้ามา จากนั้นก็กลายเป็นดอกไม้ยักษ์สีดำหลายดอก ลอยออกไปตามที่ต่างๆ ของปราการยักษ์
เวลาเพียงครู่เดียว ดอกไม้ยักษ์ก็กระจายไปทั่วมุมต่างๆ ของปราการยักษ์
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์แสงโลหิต ก็หยุดร่ายมนตร์ลงทันที มือทั้งคู่ก็ถูไม้ตะพดในมืออย่างแรง จากนั้นก็กลายเป็นลูกแสงสีดำลูกหนึ่งปริแตก
ลูกแสงกระเพื่อมไหวอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็กลายเป็นคลื่นวิญญาณที่ไร้รูปร่างหลายรูปแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศ
ดอกไม้ยักษ์สีดำเหล่านั้นถูกคลื่นเหล่านั้นพัดผ่าน ต่างปริแตกขึ้นมาพร้อมกันเสียงดัง “ปุดๆ” กลายเป็นไอมารสีดำทะมึนหลายลูกสลายหายไป
ทั่วทั้งปราการยักษ์ชั่วพริบตาเดียวก็ถูกปกคลุมอยู่กลางไอมารอย่างไร้ขอบเขต
เผ่าพันธุ์มารเล็กใหญ่พี่กำลังคุกเข่าคารวะอยู่ในตอนแรกเหล่านั้น ทันทีที่ไอมารสัมผัสถึงตัว ก็คึกคักมีกำลังวังชาขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะพลังยุทธหรือพลังกายก็ฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็วกว่าเวลาปกติอยู่ครึ่งหนึ่ง
“ภายในสามวัน ค่อยแยกย้ายกันสร้างปราการศักดิ์สิทธิ์อีกสามแห่ง แล้วค่อยดูแลจัดการต่ออีกเจ็ดวัน รอจนกำลังพลมาพร้อมแล้ว ก็รีบเดินทัพไปยังที่นั่นของผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าพันธุ์มนุษย์ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ใกล้ๆ ทันที”
“รับบัญชา!”
กลางปราการยักษ์ที่ถูกครอบด้วยไอมาร เผ่าพันธุ์มารระดับสูงจำนวนนับไม่ถ้วนโห่ร้องด้วยความยินดีขึ้นมาพร้อมกัน
ฉากเดียวกันนี้ ในเวลาที่ไม่ต่างกันมากนัก ก็ปรากฏขึ้นกับเผ่าพันธุ์ปีศาจอีกสองเผ่าบนริ้วมารที่ต่างๆ
ในจำนวนนั้นริ้วมารที่ใหญ่ที่สุด บริเวณเมืองเผ่าพันธุ์มนุษย์ขนาดมหึมาแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นโดยอาศัยต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งเป็นที่พักพิง ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จำนวนมากยืนอยู่บนท้องฟ้าเหนือหอคอยแห่งหนึ่งที่สูงเพียงครึ่งหนึ่งของต้นไม้ยักษ์ มองจากที่สูงลงไปยังทะเลมารที่พัดโหมไร้ขอบเขตซึ่งอยู่ไกลออกไป สีหน้าต่างบึ้งตึง
……
ที่แห่งหนึ่งห่างจากเมืองศักดิ์สิทธิ์เทียนหยวนนับหมื่นลี้ พระสงฆ์และนักพรตผู้บำเพ็ญเพียรทั้งสองคนกำลังขับเคลื่อนคันฉ่องและบาตรทรงกลม ปล่อยแสงสว่างมหาศาลโจมตีไปยังอสูรมารตัวเป็นม้าหัวเป็นงูฝูงหนึ่ง ที่กำลังออกไล่เข่นฆ่าอย่างเหิมเกริม
แต่ทันใดนั้นขอบฟ้าที่ไกลออกไปก็มีเสียงหวีดแหลมปะทุแว่วเข้ามา ลมมารลูกหนึ่งลอยม้วนมาด้วยความเร็วอันน่ามหัศจรรย์
“ไปกันเถอะ เผ่าพันธุ์มารระดับสูงกำลังจะมา” นักพรตเมื่อได้เห็นเช่นนี้ก็ตะโกนร้องขึ้นมาทันที
จากนั้นร่างกายของเขาและพระสงฆ์ก็เปล่งแสงวิญญาณขึ้นมาอย่างไม่ลังเล ต่างกลายร่างเป็นรุ้งยาวนับสิบกว่าจั้งพุ่งตัวออกไป ทิศทางที่พุ่งไปนั้นก็คือเมืองราชันเทียนหยวน
……
เผ่าพันธุ์ปีศาจทั่วทั้งทุ่งราบอันรกร้างแห้งเหี่ยว กองทัพหลายกองกำลังต่อสู้เข็นฆ่ากันอย่างเต็มความสามารถ
อีกฝ่ายหนึ่งคือหนึ่งฝูงหมาป่าสีเทาจำนวนนับแสน อีกฝ่ายหนึ่งคือฝูงสิงโตจำนวนนับหมื่นที่รวมตัวขึ้นจากเหล่าสิงโตมารสีฟ้า
ฝ่ายฝูงหมาป่า ล้วนแต่เป็นหมาป่ายักษ์ตัวยาวหลายจั้ง ในดวงตาของแต่ละตัวส่องประกายสีเขียวมรกต เห็นได้ชัดว่าเป็นสัตว์ปีศาจที่มีพลังของปีศาจชั้นต่ำอยู่เล็กน้อย
อีกฝ่ายหนึ่งคือสิงโตมารสีฟ้า ร่างกายยังใหญ่โตกว่าหมาป่ายักษ์ บนหัวมีเขาสั้นสีดำงอกอยู่ยาวไม่กี่นิ้ว อีกทั้งยังโจมตีด้วยการคายแท่งน้ำแข็งและลูกไฟออกมาเป็นระยะ
ท้องฟ้าบนการต่อสู้ระหว่างสูงศักดิ์ เหยี่ยวยักษ์สีขาวดั่งหิมะนับพันตัวและงูบินสองหัวสูงหนึ่ง ก็กำลังโรมรันกันอย่างรุนแรง
กรงเล็บเหล็กคู่หนึ่งของเหยี่ยวขาวกวัดแกว่ง เป็นแสงสีเงินพันกันวุ่นวาย ส่งเสียงฟ้าคำรามออกมาส่งูดินสองหัวเหล่านั้นเมื่ออ้าปาก ก็คายพิษสาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศ เป็นพิษร้ายแรง
ทั้งสองฝ่ายต่างร่วงลงมาจากท้องฟ้าเป็นพักๆ แต่ทันทีที่ร่วงลงสู่กลางการต่อสู้พัวพันบนพื้นดิน ชั่วพริบตาเดียวก็สลายไปไม่เหลือแม้แต่กระดูก