คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1878 มารจุติเมือง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1878 มารจุติเมือง
ด้านหลังไกลจากสงครามระหว่างสองฝ่ายออกไปพันลี้ ก็มีเผ่าพันธุ์ปีศาจจำนวนหนึ่งเผ่ามารระดับสูงอีกจำนวนหนึ่ง กำลังเผชิญหน้ากัน
พวกมันยังไม่ได้ลงมือ ดูสงครามที่อยู่ด้านล่างด้วยแววตาเย็นชา ได้แต่ตรึงกำลังของอีกฝ่ายเอาไว้
……
บนผิวทะเล ไอสีดำที่แผ่ไกลไร้ขอบเขตกำลังค่อยๆ ลอยม้วนไปยังปราการเมืองบนเกาะยักษ์แห่งหนึ่งที่ตั้งตระหง่านอยู่
ท่ามกลางไอดำ เงาร่างมารขยับไปมาไม่หยุด ราวกับว่ามีกองกำลังนับพันแอบซุ่มอยู่ข้างใน
แต่ทันใดนั้นลดลงไปใต้พื้นสมุทรที่อยู่ใกล้กับเกาะยักษ์ จู่ๆ ก็มีเสียงร้องคำรามราวกับเสียงมังกรเสียงหนึ่งแว่วออกมา เพียงครู่เดียวก็ดังกึกก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้า
จากนั้นผิวทะเลด้านหนึ่งของเกาะยักษ์ก็มีลมกรรโชกขึ้นอย่างคลุ้มคลั่ง คลื่นซัดโหมกระหน่ำ ตามด้วยใต้คลื่นลูกยักษ์ ก็มีสัตว์อสูรตัวยาวนับหมื่นจั้งโผล่ออกมาจากท้องทะเล
หัวสัตว์อสูรภายนอกเต็มไปด้วยหนามกุหลาบ มีสาหร่ายสีเขียวและเศษหินเกาะอยู่ทั่ว มองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของมัน แต่สองด้านมีดวงตาของแมลงสองดวงกะพริบ กวาดสายตามองไปยังไอดำที่อยู่ไกลออกไปด้วยสายตาเย็นชา ปากขนาดยักษ์ที่ดูลึกไร้ที่สิ้นสุดก็อ้าขึ้น
เสียงกึกก้องสนั่นหวั่นไหวก็ดังขึ้น ทั่วทั้งผิวสมุทรก็กระเพื่อมไหวขึ้นมา
แสงสว่างสีฟ้าหม่นพุ่งออกมาจากปาก จากนั้นก็วูบไหว กลายเป็นลมหมุนสีฟ้าลูกหนึ่งพัดพุ่งไปยังไอดำที่ปกคลุมไปทั่วผืนแผ่นดิน
กลางไอมารเหล่านั้นถึงแม้ว่าจะมีสัตว์อสูรอยู่นับหมื่น แต่เมื่ออยู่ใกล้ลมหมุนที่พัดม้วนด้วยพลังระดับฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย ก็ไม่มีพลังที่จะต้านทานแม้จะน้อยนิด ถูกดูดเข้าไปกลางพายุอย่างหยุดไม่อยู่
หรือแม้แต่น้ำทะเลจำนวนมากก็ถูกปากขนาดยักษ์ดูดเข้าไป จึงทำให้ระดับน้ำผิวทะเลที่อยู่ใกล้ๆ ลดระดับลงไปหลายส่วน
ศีรษะขนาดยักษ์นั้นเมื่อกลืนอสูรจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ลงไป ก็หลับตาลง จากนั้นก็ค่อยๆ จมดิ่งลงใต้ท้องสมุทรอีกครั้ง
เวลาเพียงชั่วครู่เดียว ผิวสมุทรก็กลับสู่สภาพสงบนิ่งอีกครั้ง ราวกับว่าไอมารที่แผ่ปกคลุมก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดขึ้น
ที่หอคอยสูงแห่งหนึ่งห่างจากเกาะยักษ์ไกลออกไป มีเงาร่างสูงใหญ่ของคนผู้หนึ่ง กำลังเฝ้าสังเกตทุกสิ่งด้วยแววตาอันเย็นยะเยือก!
……
เมืองเทียนหยวน!
หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่ที่ชั้นบนสุดของหอ มือทั้งสองกำลังร่ายเวท ด้านหน้ามีน้ำเต้าสีทองลูกหนึ่งและผังหมื่นกระบี่ส่องประกายสีทองระยิบระยับลอยเคว้งอยู่ ตาทั้งคู่หลับอยู่ ราวกับว่ากำลังจมดิ่งอยู่ในภวังค์
ทันใดนั้นก็ลืมตาขึ้น เปลี่ยนเวทมนตร์ในมือ แล้วใช้นิ้วข้างหนึ่งชี้แตะไปยังน้ำเต้าทองคำ
น้ำเต้าสั่นไหวสักครู่ จากนั้นก็เปล่งแสงวิญญาณ เผยให้เห็นอักษรยันต์ห้าสีที่ดูงดงามตระการตา
จากนั้นก็ส่งเสียงอื้ออึงออกมา!
ปากน้ำเต้าเปิดออก แสงสว่างลอยม้วน กระบี่บินสีทอง สีเหลือง สีคราม สีแดง และสีฟ้า ทั้งหมดห้าด้ามพุ่งออกมาจากด้านใน
กระบี่แต่ละด้านยาวเพียงไม่กี่นิ้ว ทั่วทั้งด้ามเปล่งประกายระยิบระยับ ส่องแสงสีราวกับฉากในความฝัน ดูลึกลับหาที่เปรียบมิได้
หานลี่ตวัดมือร่ายเวทกระบี่ กระบี่บินทั้งห้าด้ามก็ส่งเสียง จากนั้นก็พุ่งขึ้นสูงสุดท้องฟ้า ต่างสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมา
จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง “พรึ่บ” กระบี่บินสีแดงก็เปลวไฟลุกโหม กลายเป็นงูเพลิงตัวหนึ่งยาวหลายจั้ง บิดม้วนโบยบินไปมาอยู่ไม่หยุด
ส่วนกระบี่บินสีฟ้าในขณะที่กวัดแกว่งไปมา ก็ปล่อยไอน้ำสีฟ้าสาดกระเซ็นออกมา ชั่วพริบตาเดียวความว่างเปล่าที่อยู่ใกล้เคียงก็ก่อตัวเป็นเมฆ ตัวกระบี่บินก็หายไปไร้ร่องรอย
แต่ถ้าว่าเสียงที่น่าทึ่งที่สุด ก็คือกระบี่บินสีเหลืองซึ่งไม่ได้ดูโดดเด่นอะไรด้ามนั้น
กระบี่ด้ามนี้สั่นไหวแล้วยาวขึ้นถึงสิบกว่าจั้ง ทั่วทั้งตัวด้ามมีแสงวิญญาณไหลวน วัตถุสีเหลืองแข็งแกร่งปรากฏขึ้นมาเป็นชั้นๆ เมื่อมองจากที่ไกล ดูราวกับว่ามันได้กลายเป็นกระบี่หินสีเหลืองอ่อนขนาดยักษ์ด้ามหนึ่ง เมื่อแกว่งขึ้นมา พื้นที่รอบข้างก็ส่งเสียงดังอื้ออึง พลานุภาพน่าเกรงขามอย่างเห็นได้ชัด
สำหรับกระบี่สีทองและกระบี่สีครามนั้น นอกจากจะเป็นแสงสว่างสะดุดตาแล้ว ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก
กระบี่บินทั้งห้าลอยตามกันสู่ท้องฟ้า กวัดแกว่งโบยบิน แสดงพลังวิญญาณอันน่าเกรงขามออกมา!
หานลี่มองไปยังกระบี่บินทั้งห้าด้านนั้นด้วยแววตาอันเยือกเย็น จากนั้นก็ขับเคลื่อนพวกมันให้แกว่งอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บยันต์เวทในมือทั้งหมดไว้
กระบี่บินทั้งห้าด้ามทันใดนั้นก็ส่งเสียงหวีดร้อง กลับคืนสู่สภาพในตอนแรกอีกครั้ง จากนั้นก็ถูกดูดกลับเข้าไปในน้ำเต้าทองคำอีกครั้ง
ในเวลานั้นเอง หานลี่จึงได้เคลื่อนสายตา มองไปยังผังหมื่นกระบี่พับนั้นที่อยู่ด้านข้าง สีหน้าหนักแน่นอยู่หลายส่วน
แต่ต่อมา เขาก็ยกมือขึ้นฉับพลัน ตวัดมือร่ายเวทเข้าใส่หลายครั้ง แล้วซึมแทรกเข้าไปกลางภาพเหล่านั้นโดยไม่เหลือร่องรอย
ผังกระบี่ที่สงบนิ่งในตอนแรกทันใดนั้นก็ส่งเสียงหวีดแหลมออกมา จากนั้นบนพื้นผิวก็ส่องประกายแสงสีทองออกมาจำนวนมาก กระบี่น้อยจำนวนนับไม่ถ้วนที่ประทับอยู่บนนั้น ก็ค่อยๆ บิดเบี้ยวทีละน้อย จากไม่กี่ด้ามในตอนแรก กลายเป็นสิบกว่าด้าม และสุดท้ายก็กลายเป็นร้อยด้ามพันด้าม
เพียงเวลาชั่วพริบตา กระบี่น้อยบนภาพวาดก็ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมา
หานลี่ออกคำสั่งเสียงเบาหนึ่งที อ้าปากพ่นไอวิญญาณสีครามหม่นลูกหนึ่งออกมา จากนั้นเพียงครู่เดียว ก็ซึมเข้ากลางผังกระบี่หายไปกับตา
กลางคัมภีร์หมื่นกระบี่ก็ส่งเสียงศาสตราวุธโลหะกระทบกันดังออกมาทันที เงากระบี่สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนโหมสาดออกมาจากรูปภาพประหนึ่งว่าเป็นลูกคลื่น ชั่วครู่เดียว ไอกระบี่อันเย็นถึงขั้วหัวใจก็ปกคลุมไปทั่วทั้งห้องโถง
หานลี่ขยับสีหน้า แสงมืดส่องกะพริบขึ้นบนใบหน้า ดวงตาเวทแห่งการทำลายก็ปรากฏขึ้น แสงสีดำแสลงตาหมุนวนอยู่กลางนัยน์ตาไม่หยุด พลังอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ก็ปะทุขึ้นจากภายใน แล้วซึมแทรกลงกลางกระบี่วิญญาณ
ชั่วครู่เดียว เงากระบี่นับหมื่นกลางห้องโถงก็เปล่งแสง ถูกบังคับให้หมุนไปรอบกายหานลี่
ในตอนแรกเชื่องช้าราวกับหอยทาก แต่เวลาเพียงชั่วอึดใจเดียว เงากระบี่ก็เคลื่อนไหวคล่องแคล่วขึ้นราวกับลูกปลา และแหวกว่ายโบยบินไปตามจุดต่างๆ ในห้องโถงไม่หยุด อีกทั้งยังค่อยๆก่อตัวเป็นค่ายกลกระบี่ที่มีพลังปราณมหาศาล
แววตาหานลี่เป็นประกาย เปลี่ยนพลังยุทธในมือ ใช้พลังยุทธมหาศาลในกายแล้วบังคับขับเคลื่อนเงากระบี่ครั้ง
แต่ในเวลานั้นเอง ทันใดนั้นคัมภีร์หมื่นกระบี่ก็สั่นไหวส่งเสียงเบาๆ ออกมา แสงวิญญาณวูบดับลง แล้วมืดมิดลงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
เงากระบี่สีทองที่โบยบินไปทั่วทุกทิศกลางห้องโถงในตอนแรก ทันใดนั้นก็ส่งเสียงโหยหวนออกมา จากนั้นก็ค่อยๆ เลือนรางลง และในที่สุดก็แตกสลายหายลับไป
แทบจะเวลาเดียวกันนั้นเอง ดวงตาสีดำดวงที่สามกลางหน้าผากของหานลี่ ก็หายวับไปกับตา
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย มองไปยังผังหมื่นกระบี่แล้วทำของคิ้วขึ้นเล็กน้อย
น้ำเต้าทองคำลูกนั้นนับแต่ที่เขาได้มันมาจากดินแดนต้องห้ามอันกว้างเย็น เป็นเพราะว่าอาจจะเป็นอาวุธเวทที่สร้างขึ้นด้วยน้ำมือของเทพเซียน ยังไม่อาจที่จะดูเบาได้ จึงได้ค่อยๆ ศึกษามันมาโดยตลอด
ยังดีที่ตอนนี้เขาเข้าใจอักษรจ้วนทองและอักษรลูกอ๊อดสีเงิน ดังนั้นอาวุธเวทนี้ถึงแม้ว่าจะถูกสร้างขึ้นโดยผู้ซึ่งมีพลังยุทธแปลกประหลาดกว่าผู้ใดในโลกมนุษย์และแดนวิญญาณ และกระบี่ในน้ำเต้านี้ก็ยังไม่ได้หลอมขึ้นอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ยังทำให้เขาพอที่จะเข้าใจแนวทางของมันได้หลายส่วน
เขาได้ใช้สิ่งที่เขาเกิดปัญญาญาณรับรู้ได้ด้วยตนเอง และใช้วัตถุดิบหายากห้าธาตุจำนวนหนึ่ง ในที่สุดก็พอที่จะหลอมสมบัติวิเศษเหล่านี้ให้สมบูรณ์ขึ้นได้
แต่ทว่ากระบี่บินโลหะบริสุทธิ์ตอนแรกในน้ำเต้า กลับถูกเขาหลอมทขึ้นกลายเป็นกระบี่บินห้าธาตุหนึ่งชุด
ด้วยเช่นนี้ สมบัติวิเศษชิ้นนี้ถึงแม้ว่าจะมีฤทธานุภาพเทียบเท่ากับความปรารถนาของเจ้าของเดิมไม่ได้ แต่ก็สามารถใช้รับมือกับศัตรูได้อย่างแน่นอน อีกทั้งพลานุภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสมบัติวิญญาณทั่วไป
แต่ถ้าว่ากระบี่ในน้ำเต้าชุดนี้ถึงแม้ว่าจะไม่เลว แต่ด้วยสถานะตอนนี้ของหานลี่ กลับไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากนัก
เขาเตรียมที่จะมอบมันให้กับลูกศิษย์ในสำนักได้ใช้หลังจากที่ได้ตรวจสอบจนแน่ใจแล้วว่าสมบัติชิ้นนี้ไม่มีปัญหาใดๆ
สำหรับผังหมื่นกระบี่ที่เพิ่งจะเกิดเหตุผิดปกติขึ้นเมื่อครู่ กลับเป็นแรงบันดาลใจที่หานลี่ได้รับจากวิชาลับของเผ่าอื่น เมื่อได้หล่อหลอมไอกระบี่อันน่าเกรงขามที่อยู่ในภาพด้วยพลังยุทธพิเศษ ก็สามารถขับเคลื่อนพลังเพื่อรับมือกับศัตรูได้เหมือนสมบัติเวททั่วไป
ไอกระบี่ที่ยังเหลืออยู่ในผังภาพนี้ คือสิ่งที่หลงเหลือจากแดนเซียนแท้ อาจสามารถขับเคลื่อนพลังที่แท้จริงของมันอย่างสมบูรณ์ได้ พอจินตนาการได้ถึงพลานุภาพอันยิ่งใหญ่ของมัน
ต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์หากเผชิญหน้ากับไอกระบี่นับหมื่นบนภาพ ไม่มีวันที่จะโชคดีหลุดรอดได้เป็นอันขาด
แต่น่าเสียดาย การหล่อด้วยวิธีนี้ใช้เวลามากยิ่งนัก และก่อนหน้านี้เขาก็ได้ใช้เวลาทั้งหมดในการเพิ่มพลังไปแล้ว ดังนั้นผังภาพนี้จึงทำการหล่อได้เพียงครึ่งเดียว หนำซ้ำเป็นเพราะว่าไอกระบี่ในภาพเป็นสิ่งที่ไร้ที่มา หากใช้มันจนหมด ผังหมื่นกระบี่ก็จะสลายไปจนหมดสิ้น
และเขาเองก็ไม่ได้เข้าใจใน “เคล็ดวิชากระบี่จิต” ที่อยู่ในผังภาพนี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าผังหมื่นกระบี่จะหลอมเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถ้าไม่ถึงเวลาที่ต้องใช้มันจริงๆ ก็คงจะไม่เอาสิ่งนี้ออกมาใช้เป็นอันขาด
มิเช่นนั้นเคล็ดวิชากระบี่จิตคงจะถูกทำลายจนสิ้น สำหรับหานลี่แล้วถือว่าได้ไม่คุ้มเสีย
ในตอนนี้หานลี่ได้ลองควบคุมผังหมื่นกระบี่ล้มเหลวอีกครั้ง ในขณะที่จิตใจกำลังคิดอยู่ว่าจะทดลองดูอีกครั้งดีหรือไม่นั้น ทันใดนั้นเขาก็สีหน้าเปลี่ยน ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งขวาไปยังด้านหลังอย่างแรง
เสียงดังขึ้น “พรึ่บ” แสงไฟลูกหนึ่งยิงพุ่งออกมาจากประตูใหญ่ กะพริบแล้วร่วงหล่นอยู่กลางฝ่ามือ
หุบนิ้วทั้งห้าเข้าด้วยกัน แสงไฟก็ปะทุในทันที แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงพูดที่ดูรีบเร่งของไห่ต้าเซ่าก็ดังออกมาจากเปลวไฟ
“ท่านอาจารย์ เมื่อครู่สมาคมผู้อาวุโสได้เชิญท่านไปหอมองฟ้า ดูเหมือนว่าเผ่าพันธุ์มารจะเริ่มมาล้อมเมืองเอาไว้แล้ว และยังมีเผ่าพันธุ์มารระดับสูงปรากฏตัวอีกด้วยขอรับ”
“มารระดับสูง…ได้ ลองไปดูสักหน่อยแล้วกัน!”
หานลี่ได้ยินก็สะดุ้ง เผยสีหน้าว่าเรื่องราวเป็นไปตามที่คิด แต่จากนั้นก็ปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้นกับตัวเองอย่างหนักแน่น
จากนั้นก็เห็นเขาสะบัดแขนเสื้อหนึ่งที น้ำเต้าทองคำและผังหมื่นกระบี่ก็ถูกเก็บ พร้อมกันนั้นผิวกายก็เปล่งแสงสีทอง กลายร่างเป็นรุ้งของสีทองพุ่งออกไป
รุ้งสีทองที่พุ่งออกจากกลางหอไป ไม่หยุดพักสักน้อย ชั่วครู่เดียว ก็พุ่งออกไปยังชายขอบของเมืองเทียนหยวน
ด้วยความเร็วของหานลี่ในตอนนี้ เพียงชั่วอึดใจเดียวก็สามารถเดินทางได้นับพันลี้ ครึ่งชั่วยามผ่านไปก็สามารถไปถึงกำแพงปราการอันสูงใหญ่ที่ไกลออกไป
ท้องฟ้าด้านนอกกำแพงในเวลานี้ ไอมารคุกรุ่น ไม่มีแสงตะวันแม้เพียงเสี้ยวเดียว ราวกับถูกคนใช้พลังยุทธอันยิ่งใหญ่มาบดบังดวงอาทิตย์เจิดจ้าบนท้องฟ้าไว้
จากด้านล่างของไอมาร ก็มีเสียงกลองทองที่สะเทือนจิตวิญญาณแว่วรำไรออกมาเป็นระลอก
และฝั่งของเมืองเทียนหยวน ก็มีเสียงแตรส่งสัญญาณดังขึ้นสลับไปมา มีนักรบที่สวมใส่ชุดหลากหลายแบบและผู้บำเพ็ญเพียรขบวนแล้วขบวนเล่าแห่กันทั้งวิ่งทั้งบินออกมาจากหอยักษ์แต่ละแห่ง
พวกเขาเหล่านั้นบ้างก็ถือดาบทหาร บ้างก็ถือคฑาอาวุธเวท บินตรงไปยังที่ซึ่งวางแผนไว้เพื่อตั้งมั่นก่อนหน้านี้ ต่างคนสีหน้าหนักแน่นมั่นคง
บนกำแพงเมืองขนาดยักษ์ แท่นสูงเหมือนแท่นบูชาหลายแท่น ก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางเขตอาคมแต่ละแห่งท่ามกลางเสียงที่ดังกึกก้อง
ที่แท่นสูงนี้ มีแผ่นจานขนาดยักษ์หรือไม่ก็เหล็กหมาดขนาดยักษ์ตั้งตระหง่านอยู่หลายอัน รอบๆ ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรใส่ชุดคลุมยาวเจ็ดแปดคนยืนล้อมเตรียมพร้อมอยู่
นอกจากนี้ บนท้องฟ้าเมืองเทียนหยวนซึ่งถูกครอบด้วยม่านแสงสว่างขนาดมหึมาอยู่ชั้นหนึ่งในตอนแรก ตอนนี้ได้ส่องประกายออกไปทั่วทุกทิศ ตำหนักหยกขาวขนาดพอกับเมืองขนาดย่อมๆ ก็ปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า
รอบตำหนักแห่งนี้มีอักษรยันต์สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนไปมาไม่หยุด อีกทั้งด้านบนยังมีเงาร่างมนุษย์วูบไหว พอจะเห็นนักรบจำนวนไม่ถ้วนยืนนิ่งอยู่อย่างเลือนราง
และยอดของสิ่งก่อสร้างที่เหมือนกับหอมรกตที่สูงที่สุดของตำหนัก มีคันฉ่องสีทองเส้นผ่าศูนย์กลางสิบจั้งอันหนึ่งฝังไว้
คันฉ่องนี้ในเวลานี้ส่องแสงสบตา จะกลายสภาพเป็นดวงตะวันเจิดจ้าสีทองดวงหนึ่ง ส่องสว่างไปทั่วท้องฟ้าเมืองเทียนหยวนไปกว่าครึ่ง
เมื่อนักรบหรือผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าพันธุ์มนุษย์ วินาทีที่ร่างกายได้สัมผัสกับแสงสีทองนี้ ก็มีกำลังวังชาขึ้นมาโดยทันที อีกครั้งความกล้าก็ผุดขึ้นมาในจิตใจอย่างน่าฉงน ความมั่นใจในการเอาชนะศัตรูเพิ่มขึ้นหลายเท่า