คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1879 สงครามมารปะทะมนุษย์ (1)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1879 สงครามมารปะทะมนุษย์ (1)
ดวงตาทั้งคู่ของหานลี่หรี่ลงเล็กน้อยมองไปยังตำหนักหยกขาวบนท้องฟ้าสูงด้วยตาทั้งสอง คิดอยู่ชั่วประเดี๋ยว ก็เปล่งแสงขึ้นมา แล้วพุ่งตรงออกไป
ยังไม่ทันไปถึงตำหนักดี คนที่อยู่ด้านบนก็สังเกตเห็นแสงของหานลี่
นักรบชุดเกราะสีครามสิบกว่านาย บินออกไปจากด้านบนด้วยการนำขององครักษ์สวรรค์เกราะทองผู้หนึ่ง และเข้าไปต้อนรับอย่างระวังโดยทันที
“ขอถามว่าท่านคือผู้อาวุโสหานใช่หรือไม่ ผู้น้อยได้รับบัญชาจากเราผู้อาวุโส ให้มาต้อนรับท่านไปร่วมชุมนุมที่หอมองฟ้า” องครักษ์เกราะทองผู้นี้ กวาดสายตามองไปยังหานลี่ปราดหนึ่ง จากนั้นก็หยุดลงแสดงคารวะ แล้วถามขึ้น
“ถูกต้องแล้ว ข้าคือหานลี่ เจ้านำทางข้าไปเถอะ” แสงของหานลี่ดับลง แล้วปรากฏตัวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบ
“ขอรับ เชิญท่านผู้อาวุโส!” องครักษ์ผู้นั้นเพียงหันกาย แล้วพูดอย่างนอบน้อม
องครักษ์คนอื่นก็แยกออกเป็นสองฝั่งด้วยท่าทีเคารพเช่นกัน แล้วยืนเตรียมพร้อมอยู่ด้านหลังเขา
หานลี่ไม่ได้เกรงใจ รีบเบียดองครักษ์เหล่านั้น บินตรงไปยังแท่นขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของตำหนัก
บนแท่นแห่งนี้ พระอาจารย์จินเย่ว์และผู้อาวุโสแห่งเมืองเทียนหยวนซึ่งเคยพบหน้ากับหานลี่มาก่อนแล้ว กำลังทอดสายตามองไปยังเผ่าพันธุ์มารที่อยู่ด้านนอกเมืองเทียนหยวนจากที่สูง
แต่ทันทีที่พวกเขาเห็นหานลี่บินมา ก็กล่าวทักทายขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มทันที
“สหายหาน ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ครั้งนี้เผ่าพันธุ์มารโถมกันเข้ามาอย่างหนักหน่วง แตกต่างจากมารผจญครั้งก่อนอย่างมากจริงๆ ดูท่าเขาลือนั้นคงจะเป็นเรื่องจริง!” พระอาจารย์จินเย่ว์เพราะด้วยสนิทสนมกับหานลี่ที่สุด เมื่อกล่าวทักทายแล้ว ก็พูดขึ้นโดยตรงอย่างกังวลใจ
“อย่างไรกันหรือ หรือว่าจะมีเผ่าพันธุ์มารระดับสูงจำนวนมากปรากฏตัวแล้ว” หานลี่ใจสะดุ้ง แต่ก็ถามขึ้นด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“สภาพมันเป็นเช่นใดกันนั้น สหายดูเองก็จะเข้าใจ” พระอาจารย์จินเย่ว์ชี้ไปยังที่ซึ่งไกลออกไปแล้วพูดขึ้น
หานลี่เลิกคิ้ว แล้วมองตามออกไปโดยไม่พูดอะไร
ตัวยังอยู่ที่สูงถึงเพียงนี้ เดิมทีเป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นสภาพภายนอกของกำแพงเมืองได้อย่างชัดเจน แต่ในเวลานี้ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนปรากฏสู่สายตา
สถานที่ไกลออกไปหลายสิบลี้นอกกำแพงเมือง มองไปล้วนแต่เป็นสัตว์อสูรดุร้ายเผ่าพันธุ์ต่างๆ หลายขบวน บ้างก็พ่นไอสีขาวออกมาจากปาก บ้างก็ส่งเสียงคำรามเบาๆ ไม่หยุด จำนวนมากมายมหาศาล ชวนให้รู้สึกขนหัวลุก
และตรงกลางของอสูรมารจำนวนมากถึงเพียงนี้ มีอสูรมารตัวมหึมาร่างกายขนาดราวกับเนินเขาห้าตัว กำลังกึ่งหมอบอยู่กับพื้น ใช้สายตาอันเหี้ยมโหดประเมินมายังเมืองเทียนหยวน
นั่นก็คือวานรยักษ์สีแดงตัวหนึ่ง หอยทากยักษ์สีขาวราวกับน้ำนมสองตัว รวมไปถึงนกยักษ์สีดำซึ่งมีปีกเหมือนกับใบมีดเหล็กหนึ่งตัวและงูสีม่วงสามหัวหนึ่งตัว
บริเวณใกล้ๆ กับอสูรมารขนาดมหึมาทั้งห้าตัวนี้ อสูรมารอื่นๆ ล้วนแต่หลบลี้ออกห่าง ดูราวกับหวาดกลัวพวกมันด้วยเช่นกัน
แต่ทว่าเมื่อเทียบกับอสูรมารขนาดมหึมาทั้งห้าตัวนี้แล้ว หานลี่กลับสนใจเงาร่างที่สวมเครื่องแบบต่างๆ ซึ่งลอยอยู่บนท้องฟ้าเหนืออสูรมารเหล่านี้มากกว่า
พวกมันเมื่อมองจากไกลๆ ก็ไม่ได้แตกต่างจากเผ่าพันธุ์มนุษย์เลยแม้สักนิด แต่ร่างกายคุกรุ่นไปด้วยไอมาร จำนวนมากมายนับหมื่น ดูท่าทางพลังยุทธล้วนแต่อยู่ในระดับเทพแปลงไม่ก็หลอมสุญตา นับได้ว่าเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ที่สุดพลังหนึ่ง
“เอ๊ะ คนพวกนี้คือ…” ดวงตาหานลี่ส่องประกาย ราวกับนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้อย่างเลือนราง แต่ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมา
“หากพวกข้าเดาไม่ผิด คนเหล่านี้น่าจะล้วนแต่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรเผ่าพันธุ์มนุษย์เดิมซึ่งบินไปยังแดนมารแท้จากแดนมนุษย์ที่ต่างๆ แต่ทว่าพวกเขาได้ฝึกบำเพ็ญวิชามารเป็นหลัก ในตอนนี้ยังถูกไอมารในแดนมารเข้าแทรกมานานถึงขนาดนี้ คงนับไม่ได้ว่าเป็นมนุษย์ต่อไปอีกแล้ว” ผู้อาวุโสกู่ในชุดขาวที่อยู่ด้านข้างนั้น พดขึ้นพลางถอนหายใจ
“การบุกรุกของเผ่าพันธุ์มารที่ผ่านมาหลายครั้ง มนุษย์มารเหล่านี้ไม่เคยปรากฏตัวเข้าร่วมสมรภูมิรุกรานเผ่าพันธุ์เราโดยตรงมาก่อน ดูท่ามารผจญครั้งนี้คงจะแตกต่างอย่างมาก หรือว่าขณะนี้เผ่าพันธุ์มารจะพยายามพิชิตให้ได้ แม้แต่พวกเขาก็ยังเข้าร่วมด้วย” เซียนหยินกวงซึ่งยังคงสวมหน้ากากสีเงิน พูดขึ้นช้าๆ ด้วยแววตาสงบนิ่ง
“คนพวกนี้เป็นปัญหาอย่างมากทีเดียว แต่เมื่อเทียบกับพวกมัน ข้าอยากรู้มากกว่าว่าเผ่าพันธุ์มารระดับสูงที่รับผิดชอบบุกเมืองเทียนหยวนในครั้งนี้ไปอยู่ที่ไหนกัน” หานลี่มองไปยังมนุษย์มาเหล่านี้อยู่ครู่หนึ่ง แล้วขมวดคิ้วถามขึ้น
“เผ่าพันธุ์มารระดับสูงต่างเร้นกายอยู่ในไอมารนั้น เมื่อครู่ยังได้เผยร่องรอยออกมาอยู่บ้าง แต่ตอนนี้ได้ถอยกลับแล้ว ดูท่าก่อนที่จะวางแผนโจมตีเมืองนี้ คงจะเตรียมบำรุงขวัญให้แข็งแกร่งกลางไอมารเสียก่อน” พระอาจารย์จินเย่ว์ตอบกลับ
“ถ้าเช่นนั้นไต้ซือคงได้เห็นเผ่าพันธุ์มารระดับเทพศักดิ์สิทธิ์แล้วกระมัง” หานลี่รีบถามต่อขึ้นสีหน้านิ่ง
“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่าพันธุ์มารในตอนนี้ยังไม่ปรากฏ แต่เมื่อครู่ในเผ่าพันธุ์มารระดับสูงที่เผยตัวออกมามีระดับผสานอินทรีย์อยู่หลายคน หนำซ้ำดูกำลังของอีกฝ่ายใหญ่โตถึงเพียงนี้ มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะมีบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อยู่ แต่ทว่าแดนมารในตอนนี้เพิ่งจะเริ่มกัดกร่อนเข้ามายังแดนวิญญาณ พลังดินแดนยังไม่ได้มหาศาลมากมายนัก ร่างแท้ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารยังไม่สามารถทะลุมิติออกมาได้ ต่อให้ปรากฏตัวจริง ก็คงเป็นเพียงร่างจำแลงเท่านั้น” พระอาจารย์จินเย่ว์ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วพูดความคิดเห็นของตัวเองออกมา
“หากเป็นเพียงร่างจำแลง การเตรียมการของเมืองเทียนหยวนก็คงพอที่จะรับมือได้อย่างง่ายดาย” หานลี่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็คลายลง แล้วพูดขึ้นอย่างโล่งอก
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น ตอนนี้ที่เห็นอยู่เป็นเพียงกำลังส่วนน้อยของเผ่าพันธุ์มาร อสูรมารชั้นต่ำที่มีจำนวนมากที่สุดเหล่านี้ เป็นเพียงหน่วยกล้าตายของเผ่าพันธุ์มารเท่านั้น เผ่าพันธุ์มารโบราณและหัวหอกของเผ่าพันธุ์มารยังไม่ได้ปรากฏตัวออกมาจริงๆ หรอกนะ” ผู้อาวุโสกู่ในชุดขาวเคยเผชิญเคราะห์มารในครั้งก่อน รู้ถึงความน่ากลัวของเผ่ามารอย่างลึกซึ้ง ยังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลอย่างมาก
“ในเมื่อมาถึงตอนนี้ คงต้องรับมือไปทีละขั้น การป้องกันเมืองเทียนหยวนของพวกเราถือว่าเป็นระดับหัวของกำลังเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหลาย หากแม้แต่พวกเรายังไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเผ่าพันธุ์มารได้ เมืองอื่นคงเป็นไปไม่ได้ที่จะรอด มิหนำซ้ำจากข้อมูลเมื่อก่อน เมืองราชันวิญญาณเป็นทิศทางในการโจมตีหลักของเผ่ามาร จำนวนของกองทัพใหญ่เผ่ามารที่ปรากฏได้ยินมาว่ามีจำนวนเหนือกว่าพวกเราอยู่หลายเท่า” เซียนหยินกวงแค่นเสียงตอบ
“ท่านเซียนพูดได้ไม่ผิด ถึงแม้เผ่าพันธุ์มารครั้งนี้จะมีกำลังมหาศาล แต่พวกเราขอเพียงร่วมมือร่วมแรงกัน ก็เป็นไปได้อย่างมากที่จะสามารถผ่านการรุกรานครั้งนี้ไปได้ ยังไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องอื่น เพียงแค่เขตอาคมต้องห้ามและป้อมปราการเหล่านั้นที่พวกเราได้จัดวางรายล้อมไว้อยู่ด้านนอก ก็เพียงพอที่จะสังหารอสูรมารไปกว่าครึ่งได้” พระอาจารย์จินเย่ว์ในตอนนี้กลับยิ้มขึ้นมาบนใบหน้า
“ใช่แล้ว! เมืองเทียนหยวนแต่ไหนแต่ไรมาก็สามารถพอที่จะต้านทานการโจมตีของเผ่าพันธุ์อื่น ในตอนนี้ด้วยการเตรียมการอย่างเป็นพิเศษนับพันปีของพวกเรา ข้าไม่เชื่อหรอกว่าจะไม่สามารถต้านทานการโจมตีของเผ่าพันธุ์มารไว้ได้”
เมื่อได้ยินคำพูดถกเถียงของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่อยู่ข้างตัว ใบหน้าของหานลี่ก็ประดับด้วยรอยยิ้ม แต่กลางนัยน์ตาส่องประกายสีฟ้า มองไปยังไอมารที่อยู่ไกลออกไปโดยไม่ละสายตา
ไอมารเหล่านี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งสามัญทั่วไป ด้วยอิทธิฤทธิ์ดวงตาวิญญาณของเขามองลึกเข้าไปได้เพียงไม่กี่ลี้ ก็พร่ามัวจนไม่อาจมองเห็นสิ่งใด
เห็นเพียงสิ่งคล้ายเรือรบหลายลำ เครื่องมือเวทสำหรับบินคล้ายรถบิน ตั้งเรียงอยู่ภายใน ยังมีนักรบชุดเกราะจำนวนหนึ่งปะปนอยู่ในนั้น
กลางดวงตาหานลี่ฉายแววเยือกเย็น ในขณะที่กำลังคิดที่จะขับเคลื่อนพลังยุทธในกาย และใช้อิทธิฤทธิ์ดวงตาวิญญาณอย่างสุดขีด เพื่อจะมองดูว่ายังพอเห็นอะไรได้บ้าง ทันใดนั้นลึกลงไปกลางไอมารก็มีสายตาอันโหดเหี้ยมมองปะทะออกมา อีกทั้งมองไกลตามสายตาเขากลับมายังที่ซึ่งเขาอยู่ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
หานลี่สะดุ้ง รีบหยุดอิทธิฤทธิ์ดวงตาวิญญาณทันทีโดยไม่ต้องคิด ในเวลาเดียวกันสีหน้าบึ้งตึงลงเล็กน้อย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง บนรถอสูรยักษ์ตัวหนึ่งลึกเข้าไปในไอมาร ก็มีเสียงอุทานเบาๆ ดังออกมา!
ผู้เฒ่าผอมแห้งผมงอกไปทั่วทั้งหัวสวมชุดคลุมสีขาวผู้หนึ่ง แสงสีแดงในดวงตาก็ดับลงแล้วหยุดการใช้อิทธิฤทธิ์บางอย่างลง
“เกิดอะไรขึ้น ผู้เฒ่าเขียวหรือว่าใช้ดวงตาเทพมองเห็นอะไรน่าสนุกเข้าแล้ว”
ชายฉกรรจ์ในชุดเกราะสีม่วงที่ทั่วทั้งหน้าเต็มไปด้วยปานดำอีกคนหนึ่งซึ่งยืนเทียบไหลอยู่กับเขา หัวเราะคิกคักแล้วถามขึ้น
“เปล่า เพียงแต่ฝั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์นั้นดูเหมือนจะมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่มีอิทธิฤทธิ์ตาเทพ เมื่อครู่ถูกข้าทำให้ตกใจถอยไป” ผู้เฒ่าผู้ตอบน้ำเสียงเรียบ
“อ๋อ มีดวงตาเทพเช่นกันสินะ เช่นนั้นแผนการของพวกเราจะไม่ถูกอีกฝ่ายมองเห็นจนหมดอย่างชัดเจนแล้วหรือ” ชายฉกรรจ์ชุดเกราะม่วงรู้สึกตกใจ แล้วถามขึ้นอย่างรีบร้อน
“ท่านสือวางใจได้ ถ้าได้ใช้ธงมารโกลาหลที่ท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ได้มอบให้สร้างเขตจำกัดลึกลับไว้กลางไอมารแล้ว ถึงแม้คนผู้นั้นจะมีอิทธิฤทธิ์ดวงตาเทพที่เก่งกาจไปกว่านี้ ก็ไม่อาจมองเห็นอะไรได้ แต่ทว่าการวางแผนของอีกฝ่ายเองก็ดูเหมือนว่าจะถูกปกปิดจำกัดเอาไว้อย่างดีเช่นกัน ข้าเองก็มองทะลุผ่านไปมองแนวป้องกันในเมืองไม่ได้เช่นกัน” ผู้เฒ่าชุดเขียวส่ายหน้าตอบ
“ช่างมันเถอะ ขอเพียงสภาพของพวกเราไม่เล็ดลอดออกไปก็พอแล้ว อย่างไรเสียพวกเราสองคนรับผิดชอบเพียงตรวจสอบความจริงเท็จในเมืองเท่านั้น จุ๊ๆ พวกเราเองก็ดวงดีไม่เลวทีเดียว ที่ซึ่งลงมาจุติมีเหยื่อขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ หากสามารถล้างผลาญที่แห่งนี้ได้ สิ่งตอบแทนที่จะได้รับนั้นสามารถจินตนาการได้” เผ่ามารเกราะม่วงพูดไปในขณะที่ดวงตาทั้งคู่ฉายประกายรำไรออกมาอย่างอดไม่ได้
“ฮิๆ ท่านสืออย่าได้ดูเบาเมืองแห่งนี้ ฟังจากคำพูดของมนุษย์สามัญเหล่านั้นที่จับได้ พอจะรู้ได้ว่านี่คือที่ซึ่งพวกหัวหอกของเผ่าพันธุ์ปีศาจและมนุษย์มารวมตัวกันอยู่ ต่อให้สามารถพิชิตลงได้ ก็คงต้องบาดเจ็บไม่น้อยเลยทีเดียว” ผู้เฒ่าชุดเขียวขมวดคิ้วผู้ตอบ
“ในเมื่อเป็นพิธีศักดิ์สิทธิ์ จะมีเผ่าพันธุ์เราบาดเจ็บล้มตายบ้างก็เป็นปกติไม่ใช่หรือ เอาละ สำหรับเรื่องการบุกยึดเมืองแห่งนี้ ก็ให้ท่านบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้วางแผนเถอะ พวกเราก็เพียงแต่ดำเนินงานตามคำสั่งก็พอ เวลาก็ล่วงเลยมาแล้วเริ่มโจมตีเมืองกันเถอะ ถึงแม้ว่าจะไม่หวังที่จะสามารถบุกยึดเมืองนี้ได้ในครั้งเดียว แต่ต้องตรวจสอบการป้องกันส่วนใหญ่ของเมืองแห่งนี้ให้ได้” มารเกราะม่วงท่าทีไม่แยแส สุดท้ายก็ส่ายมือพูดขึ้น
“ปฏิบัติการครั้งนี้มีท่านสือเป็นผู้บัญชา ในเมื่อท่านคิดว่าได้ เช่นนั้นก็เริ่มลงมือกันเถอะ” ผู้เฒ่าชุดเขียวไม่คิดที่จะต่อความยาว เขาพยักหน้ารับ
มารเกราะม่วงเห็นเพื่อนไม่ได้คัดค้าน ดวงตาก็ฉายแววฮึกเหิมขึ้นมาทันที เมื่อหันหน้าส่งเสียงหัวเราะร้ายไปยังเมืองเทียนหยวนแล้ว ทันใดนั้นก็พลิกมือข้างหนึ่ง ธงเล็กสีดำเป็นแถวก็ปรากฏขึ้นกลางฝ่ามือ
ธงเล็กเหล่านี้ขนาดไม่เกินเจ็ดแปดนิ้ว แต่บนธงแต่ละผืนมีภาพอสุรกายต่างๆ ประทับอยู่ อีกทั้งยังแผ่คลื่นไอมารอันบริสุทธิ์ออกมา
มารเกราะม่วงตวัดมือข้างหนึ่งร่ายเวท จากนั้นก็แตะเบาๆ ไปยังธงสองหน้าในนั้น
เสียงดังขึ้น “ฉ่า” ธงเล็กสองต้นก็วูบไหวแล้วหายวับไปกลางอากาศ
วินาทีต่อมา กลางกองทัพอสูรมารใหญ่ที่อยู่บนพื้น ฝูงอสูรสองเผ่าที่เรียงแถวอยู่ด้านหน้าสุดก็เกิดโกลาหลขึ้น จากนั้นก็มีเสียงคำรามก้องสองเสียงที่แตกต่างกันดังขึ้นมาทันที
ดวงตาทั้งคู่ของสัตว์อสูรทั้งสองชนิดนี้เปล่งแสงขึ้นมาทันที แล้วเริ่มเคลื่อนตัวไปยังเมืองเทียนหยวน
พร้อมกันนั้นเอง กลางตำหนักบนท้องฟ้าเหนือเมืองเทียนหยวน ผู้อาวุโสกู่ในชุดขาวเมื่อได้เห็นเช่นนี้ก็ใจเต้นตุบ แล้วรีบออกคำสั่งกับองครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆ อย่างรีบร้อน
“นั่นคือกิ้งก่ามารสองหัวและแมลงมารพิษ! สั่งให้คนที่อยู่ในแนวหน้าเตรียมตัวระวังให้มากขึ้น”