คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1880 สงครามมารปะทะมนุษย์ (2)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1880 สงครามมารปะทะมนุษย์ (2)
“ขอรับ ท่านอาวุโส!” องครักษ์เกราะทองคนหนึ่งที่ยืนประสานมืออยู่ใกล้ๆ ได้ยินคำสั่งนี้ ก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล ฉับพลันนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งลงไปถ่ายทอดคำสั่งด้านล่าง
“กิ้งก่ามารสองหัว คือตัวที่ใช้การโจมตีธาตุวายุและเพลิงได้ เลื่องชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบอสูรมารที่ยิ่งใหญ่ของอสูรมารระดับต่ำในแดนมารตัวนั้น?” พระอาจารย์จินเย่ว์เอ่ยถามอย่างมีแผนการ
“ใช่แล้ว คืออสูรตัวนั้น แม้ว่ากิ้งก่ามารสองหัวจะระดับไม่สูงนัก เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับสร้างปราณ แต่จำนวนที่น่าตกตะลึงของมันนั้น ว่ากันว่ามีอยู่ในแดนมารมากมายจนนับไม่ถ้วน การทลายเขตแดนของเผ่ามารในครั้งนี้ แม้ว่าจะไม่ได้เอามาหมด แต่แค่ส่วนน้อยๆ ก็เป็นปัญหาไม่น้อยแล้ว ส่วนแมลงมารพิษนั้นก็รับมือยากเช่นกัน ไม่เพียงมีพลังในการสังหารผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำไม่น้อย ยังสามารถกัดกร่อนกำแพงได้” ชายชราแซ่กู่ตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทว่าในเมื่อเป็นอสูรมารชนิดนี้ คิดดูแล้วคนที่อยู่ด้านล่างน่าจะรู้ว่าต้องจัดการกับมันอย่างไร พี่กู่ไม่ต้องกังวลเกินไปนัก” พระอาจารย์จินเย่ว์พยักหน้า แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง!” อาวุโสกู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเลื่อนสายตาไปตรงยังจุดที่ไกลออกไปอีกครั้ง
อีกด้านที่เมืองเทวะสวรรค์ มีป้อมปราการยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ล้อมรอบ ทุกป้อมมีความสูงร้อยจั้งเศษ มีผู้บำเพ็ญเพียรปักหลักอยู่นับร้อยคน คุ้มกันเมืองเทวะสวรรค์เอาไว้อย่างแน่นหนา
ระหว่างป้อมปราการแต่ละป้อม จะมองเห็นระลอกคลื่นรางๆ เห็นได้ชัดว่ามีความพิเศษอยู่ด้านใน
และไม่ได้ทำให้เผ่ามนุษย์เสียกำลังในการป้องกันไปมาก เผ่ามารไม่อาจโจมตีกำแพงเมืองเทวะสวรรค์ตรงๆ ได้
นั่นก็ใช่ เหตุใดฝั่งเผ่ามารถึงเอาอสูรมารจำนวนมากมาเป็นเป้า ถึงอย่างไรเสียหลังจากผ่านการรุกรานเข้ามาในแดนมนุษย์หลายครั้ง เผ่ามารเหล่านี้ก็รู้วิธีการรับมือกับเมืองยักษ์ของเผ่ามนุษย์ที่ได้ผลไม่น้อยเช่นกัน จำนวนฝูงอสูรสองชนิดที่อยู่ไกลออกไปมีประมาณสามถึงสี่หมื่นตัว หนึ่งในนั้นมีกิ้งก่ามารสองหัว ที่หัวมีขนาดเท่าลำตัวย่อกว่าสองในสามส่วนแล้ว
ส่วนแมลงมารพิษนั้นดูเหมือนกับรังไหมยักษ์สีเขียวมรกต ร่างกายอ้วนท้วน ใหญ่กว่ากิ้งก่ามารสองหัวสองเท่า แต่กลับแฝงตัวอยู่ในหมู่กิ้งก่ามารสองหัวจนมองไม่เห็นร่องรอย
และด้านหลังของฝูงอสูรเหล่านี้ กลับมีเผ่ามารระดับสูงสวมชุดเกราะสีดำปรากฏขึ้นร้อยกว่าคน ไล่ตามฝูงอสูรมาอย่างไม่รีบร้อน ราวกับว่ากำลังสังเกตการณ์ก็ไม่ปาน
ชั่วพริบตามารอสูรสองสามหมื่นตนก็ถูกดันจนมาอยู่ห่างจากป้อมปราการของมนุษย์ไม่ถึงสิบลี้
ฉับพลันนั้นก็มีเสียงคำรามดังขึ้นจากฝูงอสูร กิ้งก่ามารสองหัวที่เดิมแค่วิ่งไปมาเหยาะๆ ดวงตาพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต หลังจากส่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ประสานกัน ฝูงอสูรทั้งหมดก็เกิดอาการคลุ้มคลั่ง
แมลงมารพิษที่แฝงตัวอยู่เหล่านั้น เปล่งแสงสีเขียวที่แผ่นหลัง ปีกโปร่งใสสองข้างงอกออกมาจากร่างกาย
จากนั้นก็กระพือปีกทั้งสองข้าง แมลงมารทยอยกันพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ความเร็วไม่ด้อยไปกว่ากิ้งก่ามารสองหัวที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วเต็มอัตรา
อสูรมารสองสามหมื่นตัวเกิดการคลุ้มคลั่ง มองจากไกลๆ ดูเหมือนฝูงม้า ระยะทางสิบลี้เศษสำหรับพวกมันแล้วกลับมาถึงได้ในชั่วครู่
ในเวลาเดียวกันเผ่ามารระดับสูงที่อยู่กลางอากาศก็ร่ายอาคมกระตุ้น ไอมารสีดำหมุนวนแผ่ลงมา สิ่งที่ดูเหมือนมังกรดำตัวหนึ่งกระโจนเข้ามาในฝูงอสูร และระเบิดออก
อสูรมารที่เดิมมองเห็นได้อย่างชัดเจน รางเลือนไปท่ามกลางไอมาร
ครู่ต่อมาห่างจากป้อมปราการสองสามลี้ ไอมารก็เกิดเสียง “พรึ่บๆ” ขึ้น ดวงเพลิงจำนวนมากและใบมีดวายุก็ทะลักออกมาจากด้านใน พุ่งไปด้านหน้าอย่างมืดฟ้ามัวดินแล้วระเบิดการโจมตีออกมา
สถานการณ์ที่น่าตกตะลึงเช่นนี้ แม้ว่าป้อมปราการเหล่านั้นจะมีเขตอาคมคอยช่วยสนับสนุน ก็ไม่อาจปลอดภัยท่ามกลางการโจมตีเช่นนี้ได้
มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนไม่น้อยในป้อมปราการเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี
แต่ในยามนั้นเองด้านบนวังหยกขาวของเมืองเทวะสวรรค์ก็มีเสียงดนตรีไพเราะดังขึ้น จากนั้นเห็นเพียงคันฉ่องสีทองเหนือสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดสั่นเทา คาดไม่ถึงว่าจะพ่นเสาลำแสงสีทองสายหนึ่งออกมา มันกระจายตัวออกแล้วกลายเป็นม่านลำแสงสีทองชั้นหนึ่ง ต้านทานอยู่เบื้องหน้าป้อมปราการทั้งหมด
ชั่วพริบตานั้นดวงเพลิงและใบมีดวายุจำนวนมากก็โจมตีไปที่ลำแสงสีทองราวกับพายุฝนกระหน่ำ และทยอยกันระเบิดออก
เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้น ลำแสงสีแดงและขาวสองสีปรากฏขึ้นบนม่านลำแสง และยิ่งไปกว่านั้นพลังของเพลิงและวายุประสานกันก็มีอานุภาพเพิ่มขึ้นสองสามเท่า ทำให้พลังปราณฟ้าดินในบริเวณรอบสั่นเทาไม่หยุด ราวกับว่ากำลังจะปริแตกก็ไม่ปาน
สิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่ามนุษย์และเผ่ามารเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ก็เผยสีหน้าเคร่งขรึมพลางจับจ้องสถานการณ์ไม่หยุด
ผลคือหลังจากที่ลำแสงทั้งหมดหม่นลง ม่านลำแสงสีทองที่สมบูรณ์ไร้ความเสียหายก็ปรากฏขึ้นสู่สายตาของทุกคนอีกครั้ง คาดไม่ถึงว่าการป้องกันที่ดูบางเบาเช่นนี้ จะไร้ซึ่งความเสียหาย
เผ่ามารระดับสูงที่อยู่กลางอากาศจำนวนไม่น้อยเห็นสถานการณ์นี้ ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
ส่วนพระอาจารย์จินเย่ว์และผู้บำเพ็ญเพียรจากเมืองเทวะสวรรค์กลับไม่ได้เผยสีหน้าตกใจมากนักออกมา แม้กระทั่งเซียนหยินกวงก็ยังหัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยกับชายชราชุดขาวว่า
“อาวุโสกู่ คันฉ่องอาทิตย์สีทองของเจ้าน่าอัศจรรย์นัก แม้ว่าจะอาศัยพลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของตำหนักเทวะสวรรค์ถึงจะมีอิทธิฤทธิ์เช่นนี้ได้ แต่แค่ลำแสงสายหนึ่งก็สามารถต้านทานการโจมตีของอสูรมารตรงหน้าได้ เห็นได้ชัดว่าที่พี่กู่หลอมสมบัติชิ้นนี้มาพันกว่าปีนั้นไม่เสียเปล่าเลย”
“เดิมสมบัติคันฉ่องของข้าก็เป็นสมบัติสะท้านฟ้าในรายการคัมภีร์หมื่นวิญญาณหุ้นตุ้น แม้ว่าข้าจะไม่ได้ตั้งใจหลอมโดยเฉพาะ แต่การโจมตีแค่นี้ย่อมทำอันใดไม่ได้ ข้ากลับอยากดูว่าเผ่ามารจะทำลายสมบัติชิ้นนี้อย่างไร” อาวุโสกู่กลับหัวเราะน้อยๆ ออกมาอย่างถ่อมตน
หานลี่ที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนั้นก็หน้าเปลี่ยนสี อดที่จะมองไปทางคันฉ่องยักษ์ด้านหลังแวบหนึ่งไม่ได้
เห็นเพียงยามนี้สมบัติชิ้นนี้เปล่งแสงสีทองเจิดจ้าออกมา ยังคงพ่นเสาลำแสงสีทองหนาเท่าปากชามออกมา ผสานกับม่านลำแสงสีทองกลางอากาศที่อยู่ไกลออกไป
และในยามที่หานลี่ละสายตาไปนั้น ไอมารที่อยู่ไกลออกไปซึ่งอยู่ห่างจากป้อมปราการไปไม่ถึงสองสามลี้ แม้ว่าจะถูกไอมารปกคลุมอยู่ ฝูงผู้บำเพ็ญเพียรในป้อมปราการก็ยังคงมองเห็นโฉมหน้าอัปลักษณ์ของอสูรมารได้อย่างชัดเจน ทุกคนพลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
“โจมตี”
เสียงบุรุษเคร่งขรึมดังสะท้อนไปมาในป้อมปราการ
ฝูงผู้บำเพ็ญเพียรแทบจะร่ายคาถาพร้อมกันตามจิตสำนึก แล้วทยอยกันสำแดงอาวุธในมือออกมา
ชั่วพริบตานั้นป้อมปราการยี่สิบสามสิบป้อมที่อยู่ใกล้กับฝูงอสูรมากที่สุดก็มีแสงสว่างวาบ อาวุธหลายพันชิ้นถูกสำแดงออกมา โจมตีไปที่ไอมารราวกับดาวตก
ในไอมารมีเสียงร้องคำรามออกมา ดวงเพลิงและใบมีดวายุทะลักออกมาอีกระลอกหนึ่ง กลายเป็นระลอกคลื่นเพลิงและวายุ คาดไม่ถึงว่าจะรองอาวุธทั้งหมดเอาไว้ ทำให้พวกมันไม่อาจร่อนลงมาได้เลยสักนิด
มารอสูรเหล่านี้ถูกเผ่ามารระดับสูงควบคุมอยู่ จึงมีท่าทีพร้อมรบ
ผู้บำเพ็ญเพียรในป้อมปราการเห็นสถานการณ์เช่นนี้ย่อมไม่ยอมหยุดพัก ผู้ที่ร่ายอาคมก็ร่ายอาคม ผู้ที่บริกรรมคาถาก็บริกรรมคาถา และมีคนชี้นิ้วไปที่อาวุธของตนเองไม่หยุด
อานุภาพของอาวุธหลายพันชิ้นเพิ่มขึ้น และรวมตัวกันกลายเป็นหมอกลำแสงสีสันงดงาม กดลงมาอย่างสุดกำลัง
ยามนั้นคาดไม่ถึงว่าบีบให้ระลอกคลื่นยักษ์และวายุเพลิงล่าถอยไป ท่าทางเหมือนจะทะลวงผ่านไปอย่างไม่อาจต้านทานได้
และในยามนั้นอสูรมารที่ซ่อนตัวอยู่ในไอมารก็ส่งเสียง “พรึ่บๆ” ออกมา เส้นสีเขียวสองสามพันเส้นพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปที่หมอกลำแสงห้าสี กลายเป็นหมอกสีเขียวแล้วระเบิดออก
กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา หมอกสีเขียวห่อหุ้มอาวุธทั้งหมดเอาไว้อย่างไร้ซึ่งการต้านทาน
ฉากที่น่าตกตะลึงพลันดังขึ้น!
ชั่วพริบตาอาวุธส่วนใหญ่ก็ถูกม่านหมอกสีเขียวห่อหุ้มเอาไว้ ไม่ว่าเดิมจะมีสีใด ล้วนเปลี่ยนเป็นสีเขียวมันวาว จากนั้นลำแสงก็มืดมัวลง แล้วซวนเซพลางร่อนลงมา
จึงเหลือเพียงอาวุธสองสามร้อยชิ้นที่ยังพุ่งไปทางซ้ายทีขวาทีราวกับไม่เป็นอันใด ดูเหมือนว่าจะไม่ได้รับอุปสรรคใดๆ
“นี่มันไม่ถูกต้อง แมลงมารเหล่านั้นไม่ใช่แมลงพิษธรรมดาๆ ปกติแล้วพิษของแมลงพิษไม่อาจรุกรานพลังของอาวุธใดๆ ได้” อาวุโสกู่ที่ยืนอยู่บนแท่นเห็นฉากนี้ก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย
คนอื่นๆ เองก็ตกตะลึง แต่ใบหน้ายังคงรักษาความสงบเยือกเย็นได้ ความเปลี่ยนแปลงแค่เล็กน้อยเช่นนี้ย่อมไม่อาจทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ร้อนรนได้
แทบจะในเวลาเดียวกัน รถอสูรยักษ์ที่อยู่ในไอมาร ชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีม่วงผู้นั้นกลับปรบมือหัวเราะร่า และหันหน้าไปเอ่ยกับชายชราชุดเขียวด้วยความพึงพอใจ
“ตาเฒ่าลี่ว์ เผ่ามนุษย์ถูกหลอกแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะเสียเปรียบแมลงพิษกลายพันธุ์ธรรมดาๆ”
“น่าเสียดายแมลงมารกลายพันธุ์เหล่านี้มีอยู่ไม่น้อยเลย และยิ่งไปกว่านั้นพิษก็มีผลแค่อาวุธระดับกลางลงไป มิเช่นนั้นหากอยู่ด้านหลัง ไม่แน่ว่าอาจจะมีผลที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ก็ได้” ชายชราชุดเขียวเองก็หัวเราะน้อยๆ แล้วเอ่ยขึ้น แต่ในคำพูดยังแฝงแววเสียดายเอาไว้
“หึๆ อสูรมารกลายพันธุ์หาง่ายเสียที่ไหน พวกเราสยบแมลงมารกลายพันธุ์กลุ่มนี้ได้โดยบังเอิญ ก็นับว่าโชคดีไม่น้อยแล้วและยิ่งไปกว่านั้นอสูรมารเหล่านี้ยังเป็นแค่สิ่งที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้น หากอยากเหยียบเข้าไปในเมืองนี้จริงๆ ต้องพึ่งพวกเราถึงจะถูก” เผ่ามารเกราะสีม่วงกลับหัวเราะหึๆ ไม่สนใจเลยสักนิด
“ทว่าแมลงมารกลายพันธุ์เหล่านี้มีผลกับเขตอาคมเล็กน้อย ไม่แน่ว่าอาจจะทำให้พวกเราประหลาดใจก็เป็นได้!” ชายชราพยักหน้าขณะเอ่ย
“อืม ย่อมไม่มีปัญหา” สายตาของชายชราชุดเกราะสีม่วงมองไปที่ป้อมปราการที่อยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างรอคอย
ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในป้อมปราการยี่สิบสามสิบป้อมในยามนี้เห็นอาวุธและจิตสัมผัสขาดการเชื่อมต่อกันก็รู้สึกเจ็บปวด แน่นอนว่าย่อมไม่กล้ากระตุ้นอาวุธชิ้นที่สองโจมตีศัตรูอีก แต่ด้วยการออกคำสั่งของผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมที่เป็นผู้นำ ฉับพลันนั้นผู้ที่ยืนอยู่ในป้อมปราการก็สลักลวดลายอาคมเสร็จ
จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง แต่ละคนมีจานอาคมชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น
ผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมสนับสนุน ปากก็บริกรรมคาถา ผิวเปล่งแสงสว่างวาบออกมา เริ่มบรรจุพลังปราณเข้าไปในจานอาคม
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมรวมผู้นั้นก็ใช้สองมือร่ายอาคมไม่หยุด แล้วหลับตาทั้งสองข้างลงช้าๆ
ชั่วพริบตานั้นเขตอาคมใต้ฝ่าเท้าของผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหมดเริ่มเปล่งแสงเจิดจ้า และส่งเสียงหึ่งๆ ต่ำๆ ออกมา
ดวงแสงห้าสีที่อยู่ใจกลางเขตอาคม แรกเริ่มก่อตัวขึ้นและหมุนอย่างรวดเร็ว…
แทบจะในเวลาเดียวกันด้านนอกป้อมปราการไม่มีอาวุธเหล่านั้นป้องกันอยู่ กิ้งก่ามารสองหัวพ่นพลังพายุและเพลิงออกมา กลายเป็นหมอกสีแดงขาวโจมตีไปที่ม่านลำแสงสีทอง และส่งเสียงอึกทึกออกมาอีกครั้ง
ท่ามกลางหมอกลำแสงที่สลับกันไปมา เส้นสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพ่นใส่ม่านลำแสงอย่างเงียบเชียบ