คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1883 สงครามมารปะทะมนุษย์ (5)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1883 สงครามมารปะทะมนุษย์ (5)
“ใต้เท้าเสี่ยกวงโปรดระงับโทสะด้วย แม้ว่าในการป้องกันของเมืองเทวะสวรรค์จะรับมือยากกว่าในตำนาน แต่จากพละกำลังของพวกเราจะทำลายเมืองนี้ได้ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็ว หากใต้เท้าอยากให้เรื่องนี้สำเร็จโดยเร็วก็ต้องให้กองทัพอสูรมารผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันโจมตี และยิ่งไปกว่านั้นต้องทำให้ระดับการโจมตีค่อยๆ เพิ่มขึ้น บีบให้เมืองนี้สำแดงการป้องกันกว่าครึ่งออกมาหาทางทำลายจนสุดท้ายก็รวบรวมพลังทั้งหมดเข้าโจมตี เมืองนี้จะต้องพ่ายแพ้แน่ ทว่าถึงยามนั้นเกรงว่ากองทัพอสูรมารที่พวกเรานำทัพไปคงเหลืออยู่แค่ไม่กี่ตน” ชายชราที่ศีรษะมีขนนกยาวสีทองยาวปักอยู่สองสามเส้นพลันยืนขึ้นแล้วเอ่ยกับบุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตด้วยสีหน้านอบน้อม
“ขอแค่ยึดเมืองนี้ให้เร็วที่สุดได้ อสูรมารที่ต้องบาดเจ็บล้มตายจะมีค่าอันใด แดนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราไม่มีสิ่งอื่นจะมีก็แค่อสูรมารระดับต่ำที่มีอยู่มากจนนับไม่ถ้วน สามารถชดเชยความเสียหายทั้งหมดได้ตลอดเวลา คนอื่นๆ มีอันใดเสริมวิธีการของอาวุโสหวนอวี่หรือไม่?” บุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตได้ยินคำพูดของชายชราก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจแล้วเอ่ยถามเผ่ามารคนอื่นๆ อย่างเย็นชา
“ใต้เท้าข้าแนะนำว่ายามที่โจมตีเมืองเทวะสวรรค์ก็ให้ส่งหัวกะทิของเผ่ามารไปกำจัดสถานที่สำคัญอื่นๆ ของเผ่ามนุษย์ หากเป็นเช่นนั้นยามที่โจมตีขั้นสุดท้ายใต้เท้าก็วางใจว่าจะไม่มีอันใดต้องกังวลแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นให้ถือโอกาสนี้ทำให้หัวกะทิระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเราคุ้นเคยกับวิธีการต่อสู้ของเผ่ามนุษย์อีกด้วยและจะได้ลดการบาดเจ็บล้มตายของพวกหัวกะทิยามที่ทำการโจมตี” ฮูหยินสวมชุดคลุมสีเหลืองอีกคนหนึ่งเองก็เอ่ยแนะนำอย่างนุ่มนวล
“จากการกวาดล้างก่อนหน้านี้ ที่มั่นสำคัญของเผ่ามนุษย์ในละแวกนี้มีอยู่เท่าไหร่” บุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตได้ยินก็เอ่ยถามด้วยความสนใจ
“เป็นเพราะเวลายังผ่านมาไม่นาน ดังนั้นสถานที่ที่รับมือยากผู้ที่ล่วงหน้าไปต่างก็อ้อมผ่านไป ส่วนดินแดนใกล้ๆ กันนี้น่าจะมีอยู่ประมาณเจ็ดแปดแห่ง ทว่าจากขอบเขตแล้วก็แตกต่างจากเมืองเทวะสวรรค์เป็นอย่างมาก” ชายหนุ่มเผ่ามารระดับสูงใบหน้าขาวผ่องอีกคนหนึ่งตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้นก็ส่งมารสงครามเจียหลุน ผู้พิทักษ์เสี่ยกวงและมารว่านเซี่ยงออกไปกวาดล้างสถานที่เหล่านี้ให้เกลี้ยง ส่วนเรื่องอื่นก็จัดการตามที่อาวุโสหวนอวี่พูด” บุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตครุ่นคิดไปชั่วครู่ก็เอ่ยอย่างตัดสินใจ
“อันใดนะ ใต้เท้าคิดจะให้ผู้พิทักษ์เสี่ยกวงออกโรง! มารสงครามเจียหลุนและมารว่านเซี่ยงก็ช่างเถิด แม้ว่าจะเป็นหัวกะทิของเผ่ามารโบราณ แต่ลูกน้องของใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ย่อมเชื่อฟังการโอนย้าย ผู้พิทักษ์เสี่ยกวงกลับเป็นผู้อารักขาข้างกาย ใต้เท้าจะส่งออกไปง่ายๆ ได้อย่างไร”
เมื่อได้ยินดังนั้น เผ่ามารระดับสูงกว่าครึ่งก็หน้าเปลี่ยนสีและมีคนออกเสียงห้ามปรามทันที
“ข้าให้ผู้พิทักษ์เสี่ยกวงออกโรงย่อมมีเจตนาอื่น พวกเจ้าไม่ต้องพูดอันใด” บุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตหรี่ตาทั้งสองข้างลง ไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนความตั้งใจเลยสักนิด
จากนั้นเผ่ามารระดับสูงพลันมองสบตากันแต่กลับไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา ทำได้เพียงค้อมตัวลงอย่างนอบน้อมเท่านั้น
ส่วนบุรุษสวมชุดคลุมสีโลหิตกลับเงยหน้าขึ้นสายตา ดูเหมือนจะมองทะลุผ่านเพดานตำหนักไปยังที่ไกลแสนไกล…
แทบจะในเวลาเดียวกันบนยอดเขายักษ์ใกล้ๆ กับเมืองหลิงหวง หญิงสาวร่างกายอรชรอ้อนแอ้น บนศีรษะมีเขาคู่สีขาวบริสุทธิ์งอกออกมา ยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่งพลางถอนสายตากลับมาใบหน้างดงามเผยสีหน้าเยาะเย้ยออกมา
ด้านหลังของสตรีผู้นี้คาดไม่ถึงว่าจะมีเผ่ามารระดับสูงทั้งบุรุษและสตรีอยู่ห้าสิบหกสิบคน ทุกคนล้วนยืนเอามือประสานกันไว้ด้านหน้าเงียบๆ
และมองลงไปด้านล่างยอดเขาก็จะเห็นไอมารหมุนวนนักรบชุดเกราะของเผ่ามารและธงขนาดยักษ์จำนวนมากจนแทบมองไม่เห็นปลายเท้า
และมีอสูรมารระดับสูงที่ไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนชนิดต่างๆ ปะปนอยู่ท่ามกลางนักรบชุดเกราะ บางครั้งก็ส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา
เมืองหลิงหวงที่อยู่ไม่ไกลนัก คาดไม่ถึงว่าด้านหน้าจะถูกกองทัพเผ่ามารโอบล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
ไม่เหมือนกับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เสี่ยกวง เผ่ามารผู้ที่รับหน้าที่โจมตีเมืองหลิงหวงได้ปล่อยกำลังออกมาทั้งหมดตั้งแต่แรก คาดไม่ถึงว่าคิดจะทำให้สำเร็จภายในครั้งเดียว
ไกลออกไปจากเมืองหลิงหวงมีต้นไม้ยักษ์สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่งเป็นใจกลางถูกม่านลำแสงสีเขียวเป็นชั้นๆ ห่อหุ้มเอาไว้ ผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่เรียงแถวกันอยู่ต่างยืนตัวตรงแน่วอยู่ตรงนั้นเช่นกัน
ในเมืองหลิงหวงป้อมปราการต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนถูกพลังที่แข็งแกร่งจนไม่อาจต้านทานได้ทำลายอย่างไรอย่างนั้น
“เริ่มโจมตี”
หญิงสาวเขาคู่มีใบหน้าหมดจดแต่ริมฝีปากกลับเผยอออกพ่นคำพูดสังหารออกมา
“ขอรับ ใต้เท้าลิ่วจี๋!”
เผ่ามารระดับสูงห้าสิบคนนั้นไม่กล้ามองใบหน้างดงามของสตรีผู้นั้นโดยตรง จึงค้อมตัวลงรับคำสั่งพร้อมกัน จิตสังหารพวยพุ่งขึ้นไปจากยอดเขา!
และตรงขอบของเผ่ามารระดับสูงเหล่านั้นหญิงสาวเผ่ามารสวมชุดชาววังสีม่วงคนหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะเผยใบหน้างดงามล่มเมืองออกมา
หญิงสาวผู้นี้อยู่ตรงข้ามกับสตรีเผ่ามารเขาคู่ แม้ว่าใบหน้าจะมีสีหน้านอบน้อมเหมือนกับเผ่ามารระดับสูงคนอื่น แต่ส่วนลึกในแววตากลับเผยความงุนงงและสับสนออกมา
……
หลังจากที่หานลี่กลับมาที่พักก็เข้าไปในห้องลับบนชั้นบนสุดทันทีแล้วเริ่มฝึกตำราและหลอมภาพหมื่นกระบี่และกระบี่ในน้ำเต้าต่อ
หากหลอมสมบัติสองชิ้นนี้เสร็จเร็วเท่าไหร่ย่อมทำให้ตนและศิษย์ในสำนักมีพละกำลังมากขึ้นเท่านั้น
หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่ก็หลอมกระบี่ในน้ำเต้าเสร็จก่อน คาดไม่ถึงว่าจะมอบสมบัติชิ้นนี้ให้กับไห่ต้าเซ่า
เวลาต่อจากนั้นเขาก็ตั้งสมาธิไว้กับการจะทำอย่างไรให้ภาพหมื่นกระบี่คุ้นมือ
เช่นนั้นเวลาจึงค่อยๆ ไหลผ่านไปชั่วพริบตาก็ผ่านไปครึ่งปี
ช่วงนี้พระอาจารย์จินเย่ว์และอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ล้วนไม่ได้มารบกวนหานลี่ แต่มักจะส่งข่าวคราวผ่านลูกศิษย์ทุกวัน เขากลับรู้ว่าการโจมตีของเผ่ามารที่มีต่อเมืองเทวะสวรรค์แทบจะไม่หยุดพักเลย
ไม่ว่าจะทำลายการโจมตีของเผ่ามารที่เข้ามาทดสอบกี่ครั้ง ผ่านไปสองสามวันด้านหน้าเมืองก็จะมีกองทัพมารอสูรในจำนวนที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าปรากฏขึ้น ราวกับว่าจำนวนของอสูรมารไม่มีหมดสิ้นอย่างไรอย่างนั้น
และเผ่ามารระดับสูงที่เป็นผู้นำอสูรมารเหล่านั้นก็ไม่สนใจการบาดเจ็บของมารอสูรระดับต่ำเหล่านี้ แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่รับหน้าที่ควบคุมการป้องกันจะใช้เขตอาคมระดับสุดยอดสองสามชนิดในเมืองไปสองสามครั้งจนทำให้หัวหน้าของเผ่ามารระดับสูงเกือบจะเพลี่ยงพล้ำไปด้วยก็ตาม
ครั้งต่อมาเผ่ามารระดับสูงเหล่านั้นก็ยังคงนำกองทัพมารอสูรเข้าโจมตีเมืองอย่างไม่หวาดกลัวเลยสักนิด
สิ่งที่สำคัญก็คือภายในระยะเวลาครึ่งปีนี้สถานที่สำคัญของเผ่ามนุษย์ของขุมอำนาจอื่นๆ ที่อยู่ใกล้เคียงกับเมืองเทวะสวรรค์ทยอยกันส่งข่าวร้ายว่าถูกทำลายเมืองมา
มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่คุ้มกันสถานที่เหล่านั้นล้วนบาดเจ็บล้มตายไปกว่าครึ่ง ส่วนน้อยถูกเผ่ามารจับไป ว่ากันว่าพวกมันใช้วิธีการบรรจุไอมารเข้าไปในร่างเพื่อเปลี่ยนให้เป็นเผ่ามาร กลับเป็นประชาชนคนธรรมดาเหล่านั้นที่เผ่ามารยังไม่มีเจตนาจะฆ่าเลยปล่อยให้พวกเขาใช้ชีวิตอยู่ในนั้น
และเผ่ามารที่โจมตีสถานที่เหล่านั้นกลับไม่ใช่กองทัพมารอสูรระดับต่ำแต่เป็นพวกหัวกะทิของเผ่ามารที่แท้จริง
เผ่ามารเหล่านี้ไม่เพียงมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าตกตะลึงยังเชี่ยวชาญเคล็ดวิชาการร่วมมือกัน แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่นั่งบัญชาการอยู่ที่เหล่านั้นก็ไม่อาจหนีเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของพวกหัวกะทิเผ่ามารได้
เมื่อได้ยินข่าวเหล่านี้หานลี่ก็ใจหายวาบ
พละกำลังที่แท้จริงของเผ่ามารดูเหมือนจะดูน่ากลัวกว่าในตำนาน หากรอให้พวกเขาหาจุดที่อ่อนแอของการป้องกันเมืองเทวะสวรรค์พบแล้วกวาดล้างสถานที่สำคัญของเผ่ามนุษย์อื่นๆ ในบริเวณรอบไปจนเกลี้ยง จะรักษาเมืองนี้ไว้ได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่พูดยากแล้ว
ทว่าเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาคนเดียวจะจัดการได้
จึงทำได้เพียงดูว่าพระอาจารย์จินเย่ว์และเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์จะรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร
อาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์เหล่านี้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่มาแล้วมากกว่าหมื่นปี แน่นอนว่าย่อมไม่อาจนั่งรอความตายได้
และยิ่งไปกว่านั้นหานลี่ก็คาดเดาในใจไว้ตั้งนานแล้วว่าวันเวลาที่เขาได้สำแดงสมบัติอย่างสบายอารมณ์ดูเหมือนจะเหลืออยู่อีกไม่นานแล้ว
ดังคาด หนึ่งเดือนต่อมาหานลี่ก็ได้รับคำเชิญจากพระอาจารย์จินเย่ว์ให้มาถกปัญหาที่ตำหนักอาวุโส
หานลี่ย่อมไม่ลังเลอันใดพลางออกไปจากห้องลับทันที กลายเป็นลำแสงหลีกหนีพุ่งไปตามนัด
ครึ่งวันต่อมาหานลี่ก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ในตำหนัก ด้านข้างนอกจากพระอาจารย์จินเย่ว์ อาวุโสกู่ เซียนหยินกวงและอาวุโสคนอื่นๆ ที่หานลี่รู้จัก ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่ไม่คุ้นหน้าคนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้น เห็นได้ชัดว่าเป็นอาวุโสคนอื่นๆ ที่หานลี่ไม่เคยเห็นในงานชุมนุมเหล่าอาวุโส
ว่ากันว่าอาวุโสเหล่านี้มีธุระติดตัวดังนั้นจึงไม่เคยมาปรากฏตัวต่อหน้าหานลี่
ถึงแม้ว่าหานลี่จะสนใจกับคำว่า ‘ธุระ’ ของสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์เหล่านั้นแต่ใบหน้าก็ยังไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาพลางเอ่ยทักทายอาวุโสเหล่านั้นด้วยรอยยิ้ม
อาวุโสเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นกลางอย่างหานลี่ก็เผยท่าทีเกรงใจออกมาเช่นกัน
ทว่าระหว่างที่หานลี่กำลังทักทายกลับสังเกตเห็นว่าแม้ว่าอาวุโสกู่และพวกจะมีสีหน้าปกติแต่ส่วนลึกในแววตากลับเผยแววร้อนใจออกมาดูเหมือนว่าจะมีเรื่องอยู่ในใจ
“เอาละ สหายจางพวกเจ้าเองก็เคยพบพี่หานแล้ว จากนี้พวกเราต้องรีบปรึกษาเรื่องสำคัญ ก็คือเมื่อวานชุมนุมอาวุโสเพิ่งได้รับข่าวมาว่าเผ่ามารส่งกองทัพใหญ่ไปโจมตีสำนักอี่เทียนและสำนักเทียนหวงแห่งสี่สำนักใหญ่ที่ร่วมมือกัน สี่สำนักใหญ่ต่างมั่นใจว่าไม่อาจต้านทานการโจมตีของเผ่ามารในครั้งนี้ได้ จึงเสี่ยงส่งทูตมาขอความช่วยเหลือจากเมืองเทวะสวรรค์ของพวกเรา และสถานที่สำคัญของสี่สำนักนี้ก็เป็นรองแค่เมืองของเรา หากถูกเผ่ามารโจมตี พวกเราอาจจะรบเพียงลำพังจริงๆ แล้ว ดังนั้นเมืองของเราจึงต้องส่งคนไปช่วยสนับสนุน” อาวุโสกู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยิน พระอาจารย์จินเย่ว์และพวกก็มีสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อหานลี่ได้ยินแล้วกลับขมวดคิ้วน้อยๆ
อาวุโสที่เพิ่งปรากฏตัวใหม่สองสามคนกลับเผยสีหน้าตกตะลึงออกมาพร้อมกัน ดูเหมือนว่าจะเพิ่งได้ยินข่าวคราวนี้เช่นกัน
“พี่กู่ เมืองอี่เทียนไม่ได้ทลายการโจมตีของเผ่ามารไปแล้วสองสามครั้งหรือ แม้กระทั่งเคยปลดเผ่ามารระดับสูงสองสามคนลงได้มิใช่หรือ เหตุใดสถานการณ์จึงเปลี่ยนเป็นเสียเปรียบ?” ชายชราหน้าแดงคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างร้อนรน
“ขุมอำนาจการร่วมมือกันของสี่สำนักอี่เทียน จัดอยู่ในหนึ่งในสิบของเผ่ามนุษย์ของพวกเรา แม้ว่าเมืองอี่เทียนที่พวกเขาสร้างขึ้นจะมีพลังป้องกันสู้เมืองเทวะสวรรค์ไม่ได้ แต่ก็ไม่แตกต่างเท่าใดนัก สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะครั้งนี้เผ่ามารใช้เผ่ามารระดับสูงสิบกว่าคนเข้าโจมตีและใช้วิธีล่ออาวุโสสองสามท่านของสี่สำนักออกไป แล้วทำการลอบโจมตี ผลคืออาวุโสสองคนโชคร้ายเพลี่ยงพล้ำไป! เช่นนี้พลังการต่อสู้ระดับสุดยอดของสี่สำนักจึงลดลง สถานการณ์จึงไม่ค่อยดี” อาวุโสกู่อธิบายด้วยเสียงเคร่งขรึม