คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1884 สงครามมารปะทะมนุษย์ (6)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1884 สงครามมารปะทะมนุษย์ (6)
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง เช่นนั้นที่อาวุโสกู่เรียกพวกเรามารวมกัน ก็เพราะอยากปรึกษาว่าจะสนับสนุนเรื่องนี้อย่างไร?” อาวุโสหน้าแดงพยักหน้าน้อยๆ ขณะเอ่ย
“ใช่แล้ว เมืองอี่เทียนเป็นสถานที่สำคัญที่เหลืออยู่แห่งสุดท้ายในละแวกเมืองของเราแล้ว ไม่อาจไม่ช่วยเหลือได้ และยิ่งไปกว่านั้นยามที่ฟาดเคราะห์มารครั้งที่แล้วเมืองนี้ก็ต้านทานเผ่ามารได้จนถึงขั้นสุดท้าย สาเหตุที่ครั้งนี้ต้านทานไม่ไหว ก็เพราะขาดผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงไปนั่งบัญชาการเท่านั้น” อาวุโสกู่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เฮือกหนึ่ง
“ความหมายของพี่กู่คือ เมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราไม่จำเป็นต้องใช้คนจำนวนมาก ขอแค่ส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ออกไปสองสามคนก็พอแล้ว” พระอาจารย์จินเย่ว์แววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยถามอย่างมีแผนการ
“ใช่แล้ว ตาเฒ่าหมายความเช่นนั้น ถึงอย่างไรเสียเมืองเทวะสวรรค์ถึงจะเป็นเป้าหมายสุดท้ายของกองทัพเผ่ามาร แม้ว่าจะไปช่วยเมืองอี่เทียน แต่ก็ต้องระวังว่าอีกฝ่ายจะมีแผนการล่อเสือออกจากถ้ำ ศิษย์ระดับต่ำในเมืองอี่เทียนนั้นไม่ขาดแคลน พลังป้องกันตัวเองก็ไม่อ่อนแอ พวกเราแค่ส่งผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ไปช่วยสักสองสามคน ก็เพียงพอจะประคองสถานการณ์ทางนั้นได้แล้ว และไม่ได้ลดกำลังของเมืองเรานัก” เห็นได้ชัดว่าอาวุโสกู่ขบคิดเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีก่อนหน้านี้แล้ว จึงเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด
เมื่อได้ยินคำพูดของอาวุโสกู่ อาวุโสคนอื่นๆ ย่อมซุบซิบกันไปมา และเอ่ยปรึกษากันมั่วไปหมด
แต่สุดท้ายส่วนใหญ่ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของชายชราชุดขาว
ถึงอย่างไรเสียการช่วยสนับสนุนเมือง ก็เป็นวิธีที่มั่นคงที่สุด แต่จะเป็นผู้ใดที่จะไปช่วยสนับสนุนนั้น ระหว่างอาวุโสเหล่านี้กลับเกิดข้อขัดแย้งกัน
“พี่กู่อยากให้น้องเล็กและอาวุโสอวี๋ไปช่วยสนับสนุนหรือ? เกรงว่าจะไม่เหมาะกระมัง! ไม่ใช่ว่าข้าน้อยไม่อยากออกไปเสี่ยง แต่พี่กู่น่าจะรู้ดี ยามนี้น้องเล็กรับหน้าที่ดูแลเรื่องสำคัญ ปลีกตัวออกมาไม่ได้” บุรุษวัยกลางคนคิ้วขาวราวกับหิมะ ขมวดคิ้วมุ่นขณะเอ่ย
เมื่อครู่อาวุโสกู่เสนอให้เขาและอาวุโสอีกคนหนึ่งไปช่วยสนับสนุนเมืองอี่เทียน เขาก็ปฏิเสธออกมาอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“เรื่องของผู้แซ่อวี๋ พี่กู่ก็น่าจะรู้ ยาลูกกลอนเมฆาหอมในมือของข้ากำลังอยู่ในช่วงสำคัญ หากจากไปก็จะละทิ้งทุกอย่างที่ผ่านมา” อาวุโสอีกคนหนึ่งเองก็สั่นศีรษะอย่างต่อเนื่อง
“เช่นนั้นสหายฉินและพี่เหลยล่ะ?” อาวุโสกู่ขมวดคิ้ว หันหน้าไปเอ่ยถามอีกสองคน
ผลคืออาวุโสทั้งสองคนก็เผยสีหน้าดูไม่ได้ออกมา
“เช่นนั้นก็ยุ่งยากแล้ว ตาเฒ่าและพระอาจารย์จินเย่ว์รับหน้าที่ดูแลการป้องกันของเมืองเทวะสวรรค์ ไม่อาจปลีกตัวได้” อาวุโสกู่เอ่ยอย่างไม่ยินดี
“เช่นนั้นก็แล้วกัน หากพี่กู่วางใจ ข้าจะไปเอง ข้าและเซียนหลินของพรรคเทียนหวงเป็นสหายสนิทกันมาหลายปี ไปช่วยอีกแรงก็สมควรแล้ว” เซียนหยินกวงแววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยออกมาอย่างเยือกเย็น
“อันใดนะ เซียนยอมไป นี่มันเยี่ยมมากเลย จากอิทธิฤทธิ์ของเซียน ตาเฒ่าจะไม่วางใจได้อย่างไร ทว่าเซียนคนหนึ่งยังไม่พอ อย่างน้อยก็ต้องส่งไปอีกคน” เมื่อเห็นเซียนหยินกวงเสนอตัวเอง อาวุโสกู่ก็ประหลาดใจพลางเอ่ยอย่างยินดี จากนั้นก็เลื่อนสายตามาสบตากับหานลี่แวบหนึ่งตามจิตสำนึก
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ถอนหายใจอยู่ในใจ รู้ว่าเรื่องนี้ตนคงหนีไม่พ้นแล้ว ทันใดนั้นก็หยัดกายลุกขึ้นประสานมือคารวะแล้วเอ่ย
“ในมือของข้าน้อยมีสมบัติอาคมที่หลอมมาพอสมควร การเดินทางไปเมืองอี่เทียนครั้งนี้ก็นับผู้แซ่หานไปด้วยเป็นอย่างไร? ตั้งแต่ที่ข้าน้อยมาที่เมืองของท่านยังไม่เคยทำภารกิจใดๆ จึงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก”
“พี่หานเป็นผู้บำเพ็ญเพียรขั้นกลาง แม้กระทั่งเคยสู้กับผู้บำเพ็ญเพียรขั้นปลาย หากไปสนับสนุนเมืองอี่เทียนย่อมไม่ต้องกังวลเลย เช่นนั้นครั้งนี้ก็รบกวนสหายแล้ว” อาวุโสกู่เห็นหานลี่เป็นฝ่ายยืนขึ้น ก็คลายหัวคิ้วออก แล้วเอ่ยขอบคุณอย่างต่อเนื่องด้วยความดีใจ
“เมืองอี่เทียนมีความสัมพันธ์ไม่น้อย ผู้แซ่หานพยายามช่วยเต็มที่ก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้ว เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ ข้าและสหายหยินกวงจะกลับไปเก็บของ พรุ่งนี้จะออกเดินทางเป็นอย่างไร!”
หานลี่เพียงตอบกลับด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
แม้ว่าการเดินทางไปเมืองอี่เทียนในครั้งนี้ จะไปเผชิญหน้ากับเผ่ามารระดับสูง แต่จากอิทธิฤทธิ์ของหานลี่ในยามนี้ เว้นเสียว่าจะพบกับสิ่งมีชีวิตระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามารแล้ว เผ่ามารอื่นๆ จะไปข่มขู่เขาได้อย่างไร
ดังนั้นแม้ว่าเขาจะรู้ว่าการไปครั้งนี้อาจจะมีอันตราย แต่ในใจกลับไม่ได้หวาดกลัวเท่าใดนัก
“เมืองอี่เทียนกำลังตกอยู่ในอันตราย พรุ่งนี้ออกเดินทางก็ดี ทว่ายามนี้ที่ต่างๆ ถูกเผ่ามารขวางเขตอาคมส่งตัวระยะไกลไปแล้ว เขตอาคมส่งตัวของเมืองเราไม่อาจพาทั้งสองไปที่เมืองอี่เทียนโดยตรงได้ มีเพียงต้องพยายามส่งตัวไปยังเขตอาคมลับที่อยู่ใกล้เมืองอี่เทียนที่สุด ระยะทางที่เหลือก็ต้องอาศัยเคล็ดวิชาเหาะเหินของสหายทั้งสองบินไปเองแล้ว” พระอาจารย์จินเย่ว์เอ่ยอย่างรู้สึกเสียใจ
“ไม่เป็นไร จากพลังของข้าและพี่หาน ระยะทางที่เหลือย่อมใช้เวลาไม่นานหรอก” เซียนหยินกวงเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจเลยสักนิด
หานลี่เองก็ยิ้มไม่ได้ใส่ใจอันใด
ในเมื่อผู้ที่ไปสนับสนุนถูกเลือกเรียบร้อยแล้ว อาวุโสกู่และพวกก็ผ่อนคลายลง จากนี้ก็พูดคุยเรื่องวิธีการรับมือกับการโจมตีของเผ่ามารที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
แต่แม้ว่าตัวประหลาดเฒ่าเหล่านี้จะมีแผนการมากมาย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ากองทัพมารอสูรระดับต่ำจำนวนมาก ก็ยังคงคิดหาวิธีแก้ไขอันใดไม่ออก และศิลาวิญญาณต่างๆ ที่สะสมอยู่ในเมืองเทวะสวรรค์ยามนี้ก็ไม่อาจเสียไปกับการใช้เขตอาคมจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว มันลดลงไปมากกว่าหนึ่งในสิบส่วนแล้ว
ดูแล้วเหมือนจะเหลือไม่มากนัก แต่ตามหลักการในอดีต เคราะห์มารระเบิดก็กินระยะเวลาไปร้อยกว่าปีแล้ว และยามนี้เคราะห์มารระเบิดยังไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้น จะไม่ทำให้อาวุโสเหล่านี้กังวลใจได้อย่างไร
หานลี่ในยามนี้กลับหัวเราะร่าแล้วเอ่ยว่า
“เหล่าสหายไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ อสูรมารระดับต่ำของแดนมารจะมีอยู่มากมายก็ตาม แต่การรวบรวมและสยบอสูรมารเหล่านั้น เกรงว่าก็ต้องเสียกำลังของเผ่ามารโบราณไปไม่น้อย และยิ่งไปกว่านั้นการนำอสูรมารเหล่านี้มาจากแดนมารยิ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ถึงอย่างไรเสียยามนี้พลังของแดนทั้งสองแดนลดลงไปมากและยังคงอยู่ อสูรมารระดับต่ำจำนวนมากขนาดนี้ สำหรับเผ่ามารแล้วก็ไม่ใช่เรื่องที่จะแบกภาระไหว มิเช่นนั้นเผ่ามารเหล่านั้นจะเสียเวลาลองหยั่งเชิงทำไม”
“พวกเราย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว แต่เคราะห์มารครั้งนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายจริงๆ ไม่รู้จริงๆ ว่าเมืองเทวะสวรรค์จะทำลายกองทัพมารอสูรเหล่านี้ได้หมดหรือไม่” อาวุโสกู่หัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย
“ความจริงแล้วเทียบกับกองทัพมารอสูรและการปรากฏตัวของเผ่ามารระดับสูงแล้ว ข้ากังวลว่าหลังจากนี้อีกยี่สิบสามสิบปีร่างที่แท้จริงของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์จะมาจุติที่แดนของเราเท่าไหร่กันแน่” เซียนหยินกวงกลับเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“เซียนหมายความว่าอย่างไร!” หานลี่ได้ยินคำนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี แล้วเอ่ยถามอย่างไม่ต้องขบคิด
“ก่อนหน้านี้ยามที่ถึงเคราะห์สวรรค์ตอนกลาง พลังของแดนก็ไม่อาจขัดขวางการลงมาจุติบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารได้ แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดบรรพชนศักดิ์สิทธิ์มารโบราณเหล่านี้ถึงไม่อาจลงมาจุติที่แดนของเราทั้งหมดได้ ทุกครั้งที่มีเคราะห์มารก็จะมาแค่สองสามคนเท่านั้น ภายใต้การร่วมมือกันของระดับมหายานจากเผ่ามนุษย์และปีศาจประกอบกับเผ่าอื่นๆ ในบริเวณรอบก็สามารถต้านทานการต่อสู้ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ได้ แต่ในเมื่อเคราะห์มารครั้งนี้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ จำนวนบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารที่ลงมาจุติก็น่าจะมากกว่าในอดีต ไม่ต้องมาก ขอแค่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลงมาจุติทีเดียวสิบกว่าตน เผ่ามนุษย์ปีศาจอย่างพวกเราก็ไม่อาจต้านทานได้แล้ว” เซียนหยินกวงเอ่ยอย่างแช่มช้า
“เรื่องเช่นนี้ความจริงแล้วข้าและสหายจินเย่ว์ก็เคยคาดเดาไว้ แต่ทางเกาะศักดิ์สิทธิ์น่าจะคาดเดาเอาไว้แล้ว ขอแค่พวกเราพยายามทำเรื่องของตนเองให้ดีที่สุดก็พอแล้ว” อาวุโสไม่ได้ประหลาดใจอันใดกับคำพูดของเซียนหยินกวง กลับมีสีหน้าเย็นชาขณะเอ่ย
“นั่นมันก็ใช่ บนเกาะศักดิ์สิทธิ์มีผู้ที่มีสติปัญญาอย่างพวกเราจำนวนมาก ในเมื่อคาดเดาได้ว่าเคราะห์มารครั้งนี้ไม่ธรรมดา คิดดูแล้วคงมั่นใจที่จะต่อกรกับสิ่งนี้ได้อย่างแน่นอน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นข้าก็ขอตัวลาก่อน จะกลับไปเตรียมตัวไปเมืองอี่เทียนแล้ว” เซียนหยินกวงได้ยินคำนี้ ใบหน้างดงามก็ผ่อนคลายลง หลังจากครุ่นคิดอีกเล็กน้อยก็เอ่ยคำกล่าวลา
อาวุโสกู่และพวกย่อมไม่มีจุดใดที่ไม่เห็นด้วย จึงหยัดกายลุกขึ้นส่ง
และเมื่อเซียนหยินกวงจากไปได้ไม่นาน หานลี่ก็กล่าวข้ออ้างว่าต้องเตรียมตัวสำหรับการเดินทางพรุ่งนี้ออกมากล่าวลาเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่นานก็กลับมาที่ถ้ำพำนักของหานลี่ แล้วเรียกศิษย์ไห่ต้าเซ่าและพวกทั้งสองคนเข้ามา พลางมอบสมบัติและยาลูกกลอนให้ หลังจากออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึมแล้ว ก็กลับมานั่งสมาธิในห้องลับบนชั้นบนสุด
แม้ว่าเขาจะมั่นใจว่าการเดินทางครั้งนี้น่าจะไม่มีอันตรายมากนัก แต่จิตใจก็ยังต้องรักษาระดับที่ยอดเยี่ยมที่สุดก่อนออกเดินทาง แน่นอนว่าย่อมมีประโยชน์เป็นอย่างยิ่ง
ผ่านไปหนึ่งคืนโดยไม่มีเรื่องอันใด เช้าตรู่วันที่สองหานลี่บินมาที่เขตอาคมส่งตัวของเมืองเทวะสวรรค์เพียงลำพัง
หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยาม เขาก็มองเห็นจากไกลๆ ว่าด้านนอกตำหนักเขตอาคมส่งตัวมีหญิงสาวสวมชุดสีขาวสวมหน้ากากยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
“ให้เซียนรอนานแล้ว!”
ลำแสงหลีกหนีหม่นแสง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้นข้างกายของสตรีผู้นั้น แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“พี่หานไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็เพิ่งมาถึงได้ไม่นาน พวกเราออกเดินทางกันเถิด!” เซียนหยินกวงกวาดตามองใบหน้าของหานลี่ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา
จากนั้นหญิงสาวผู้นี้ก็เป็นผู้นำเดินเข้าไปในตำหนักเขตอาคมส่งตัว หานลี่พลันเดินตามไปอย่างไม่รีบร้อน
ภายในตำหนักเขตอาคมส่งตัว ผู้พิทักษ์ที่รักษาการณ์อยู่สองสามคนรออยู่ตรงนั้นอย่างนอบน้อม เมื่อเห็นหานลี่และพวกทั้งสองเดินเข้ามาก็คารวะทั้งสองทันที และยิ่งไปกว่านั้นผู้นำก็เอ่ยอย่างนอบน้อม
“ท่านอาวุโสทั้งสองท่าน ชนรุ่นหลังเตรียมเขตอาคมส่งตัวเอาไว้ตั้งนานแล้ว อีกเดี๋ยวจะส่งท่านอาวุโสไปที่จุดส่งตัวที่อยู่ห่างจากเมืองอี่เทียนเป็นระยะทางสองสามเดือน ทว่าเพราะกลัวจะถูกเผ่ามารพบเข้า ตั้งแต่ที่เคราะห์มารปะทุเขตอาคมส่งตัวนี้ก็ไม่เคยเปิดใช้มาก่อน ฉะนั้นยามที่ท่านอาวุโสไปถึงอีกด้านโปรดระวังตัวด้วยเพื่อไม่ให้เขตอาคมส่งตัวทางนั้นถูกพบขอรับ”
“เช่นนั้น อีกเดี๋ยวที่พวกเราไปก็อาจจะถูกเผ่ามารลอบโจมตีหรือ!” เซียนหยินกวงเลิกคิ้วดำขลับแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา
“รายงานท่านอาวุโส เขตอาคมส่งตัวฝั่งนั้นลึกลับมาก ตามหลักการแล้วย่อมไม่มีทางเกิดขึ้น คำพูดเมื่อครู่แค่เผื่อเอาไว้เท่านั้น!” ผู้พิทักษ์ผู้นั้นใจหายวาบ แล้วรีบอธิบายอย่างระมัดระวัง
“เขตอาคมส่งตัวไม่มีปัญหาอันใดสินะ” หานลี่เอ่ยถามอย่างเงียบๆ
“ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน ชนรุ่นหลังเพิ่งทดสอบไป” ผู้พิทักษ์ที่เป็นผู้นำเอ่ยอย่างมั่นใจ
“ในเมื่อการส่งตัวไม่มีปัญหา แม้ว่าทางนั้นอาจจะมีเผ่ามารซุ่มโจมตี ข้าและสหายหยินกวงก็ไม่ใส่ใจ เตรียมส่งตัวเถิด” หานลี่ได้ยินคำนี้ก็ออกคำสั่งอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด