คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1891 ทำให้มารตกใจ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1891 ทำให้มารตกใจ
ชายหนุ่มหน้าตาหมดจดเห็นฉากนี้แววตาพลันเปล่งประกาย จากนั้นก็ร้องตะโกนต่ำๆ ร่างกายขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่ากลายเป็นราชาผีสูงใหญ่สวมมงกุฎสีทองและชุดตาข่าย
ใบหน้าของผีตนนี้แดงก่ำเรือนกายมีขนสีเขียวแผ่นหลังมีหนามกระดูกยาวสองสามฉื่องอกออกมา ดวงตามีแสงสีเหลืองสว่างวาบ เขี้ยวทั้งสี่งอกออกมาจากปาก
ผีตนนี้อ้าปากออกพ่นไอสีเทาม้วนวนแขนที่ขาดข้างนั้นและกลืนเข้าไปในปาก จากนั้นก็ส่งเสียง “กร้วมๆ” ออกมา
“เยี่ยม ในเมื่อกลืนของบวงสรวงโลหิตไปแล้วก็ให้ข้ายืมใช้ผีสวรรค์เร็วเข้า” เผ่ามารหัวโล้นหน้าซีดเผือดกลับร้องตะโกนออกมา
“หึๆ สองคนนี้มิใช่สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ ให้ข้าเรียกผีสวรรค์มาต่อกรกับพวกมัน ของบวงสรวงแค่นี้ย่อมไม่พอ” ราชาผีแลบลิ้นยาวๆ สีม่วงแดงเลียคราบเลือดที่มุมปากกลืนเนื้อชิ้นสุดท้ายลงไปแล้วกลับเอ่ยด้วยแววตาละโมบ
“อันใดนะ เจ้าอย่าเกินไปนะ ทว่าหากจะต่อกรกับมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรสองคน เจ้ากลืนแขนของข้าไปข้างหนึ่งยังไม่พออีกหรือ!” เผ่ามารหัวโล้นได้ยินก็โกรธเกรี้ยว
“หึ เจ้าก็พูดง่าย สองคนนี้เทียบกับคู่ต่อสู้ของเจ้าก่อนหน้าได้หรือ หากข้าให้เจ้ายืมผีสวรรค์เหล่านั้นยังไม่รู้ว่าจะต้องสูญเสียไปเท่าไหร่ ดูแล้วเจ้าคงลืมไป ลืมในพันธสัญญาที่ทำด้วยกันกับข้ายามที่ผ่านประตูผีสวรรค์ในตอนแรก ต้องให้ข้าเตือนเจ้าหรือไม่!” ราชาผีกลับหัวเราะเสียงแปลกประหลาดออกมาแล้วเอ่ยอย่างโหดเหี้ยม
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ท่านจอมมารหัวโล้นก็มีสีหน้าดูไม่ได้ พลันกัดฟันสับใบมีดโลหิตในมือลงมาอีกครั้ง ตัดขาตนเองข้างหนึ่งจนร่วงลงมา จากนั้นก็เอ่ยอย่างเหี้ยมเกรียม
“ครั้งนี้คงพอแล้วสินะ! หากเจ้ายังกล้าพูดคำว่าไม่อีก ข้าก็จะทลายพันธสัญญากับเจ้าให้ตายกันไปข้างหนึ่ง”
“หากเพิ่มสิ่งนี้เข้าไปก็เพียงพอ” ราชาผีเห็นฉากนี้ก็พยักหน้าอย่างดีใจอ้าปากออกดูดขาที่ร่วงลงมาเข้าไปแล้วเคี้ยวคำโต
เผ่ามารหัวโล้นในยามนี้กลับบริกรรมคาถา แขนและขาที่ขาดมีไอสีดำปรากฏขึ้นพลันหมุนวนแล้วฟื้นฟูกลับมาเป็นร่างใหม่อีกครั้ง
ทว่าการกระทำเช่นนี้กลับทำให้มารตนนี้ยิ่งมีสีหน้าไร้สีเลือดเห็นได้ชัดว่า แม้แขนขาจะงอกขึ้นมาใหม่แต่โลหิตบริสุทธิ์ที่สูญเสียไปกลับไม่อาจทดแทนได้ในเวลานี้
และหลังจากที่ราชาผีกลืนแขนและขาเข้าไปเสร็จ ทันใดนั้นก็กู่ร้องด้วยความยินดีสะบัดแขนเสื้อ ในมือมีแผ่นป้ายหน้าผีสีแดงสดราวกับโลหิตปรากฏขึ้น หลังจากที่โยนออกไปตรงหน้า ตนกลับกลายเป็นพายุทมิฬจมหายเข้าไปในประตูผี ชั่วพริบตาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เผ่ามารหัวโล้นเห็นแผ่นป้ายผีสีแดงสดก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง จากนั้นก็มองไปที่หานลี่และพวกทั้งสอง มือหนึ่งชี้ไปที่แผ่นป้ายทันที
ชั่วขณะนั้นแผ่นป้ายผีพลันหมุนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว รางเลือนไปเล็กน้อยแล้วกลายเป็นพายุหมุนสีแดงโลหิต
เสียงกรีดร้องดังขึ้นท่ามกลางพายุ ผีสี่แยกตัวออกจากกันแล้วกระโดดออกมา และขยายใหญ่ขึ้นจนมีขนาดสิบจั้งเศษ
ผียักษ์สี่ตนนี้มีเรือนกายสีโลหิตไร้ขนแต่รูปร่างคล้ายกับวานรที่ตัวใหญ่กว่ายี่สิบสามสิบเท่า แต่แค่บนหัวของทุกตัวมีเขาสีดำงอกออกมาคู่หนึ่งและมีหางตะขอสีเขียวมรกตโบกสะบัดไปมาเล็กน้อย ชั่วพริบตานั้นย่อมไม่อาจมองให้ชัดเจนได้ จึงทำได้เพียงได้ยินเสียงวิหคเพรียกดังออกมากลางอากาศเป็นระลอกๆ
เผ่ามารหัวโล้นเห็นเช่นนั้น ก็เห็นผีสวรรค์สีแดงโลหิตทั้งสี่ตัวก็ตะปบมือหนึ่งไปกลางอากาศอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
พายุหมุนสีโลหิตที่อยู่ไกลออกไปม้วนวนกลายเป็นแผ่นป้ายหน้าผีและเปล่งแสงสว่างวาบร่อนลงมาในมือของเขา
ใบหน้าของมารตนนี้เผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา อาคมสายหนึ่งโจมตีไปที่แผ่นป้ายทันที ในเวลาเดียวกันปากก็เริ่มบริกรรมคาถา
เห็นได้ชัดว่าผียักษ์สี่ตัวถูกแผ่นป้ายหน้าผีควบคุม ภายใต้การกระตุ้นของเผ่ามารหัวโล้นสายตาที่มองไปยังเซียนหยินกวงก็เผยแววตาเหี้ยมเกรียมออกมา
ภายใต้การกู่ร้องของผีสวรรค์ตนหนึ่ง แผ่นหลังของผีสวรรค์สี่ตนก็มีลำแสงสีโลหิตปรากฏขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีปีกสีม่วงขนาดยักษ์งอกออกมาคู่หนึ่ง กระพือปีกทั้งสองกระโจนเข้าไปหารัศมีลำแสงยักษ์ที่ขวางกั้นพวกเขาอยู่อย่างโหดเหี้ยม
เผ่ามารหัวโล้นเห็นสถานการณ์เช่นนี้ใบหน้าก็อดที่จะเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมาไม่ได้
ความน่ากลัวของผีสวรรค์สี่ตัวนี้ หลังจากผ่านการใช้ประตูผีสวรรค์มาสองสามครั้งก็ไม่มีผู้ใดรู้ดีไปกว่าเขาแล้ว
บางทีแค่พละกำลังของผีสวรรค์ตนหนึ่งจะเทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาขั้นปลายเท่านั้น แต่เมื่อผีสวรรค์สี่ตัวร่วมมือกัน คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางระดับธรรมดาๆ
แม้ว่ารัศมีลำแสงที่กัดพวกมันอยู่จะดูแปลกประหลาด แต่เมื่อผีสวรรค์สี่ตัวลงมือย่อมโจมตีได้
ทว่าแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้นมารตนนี้ก็ยังอ้าปากพ่นตราประทับสีดำออกมา ยามแรกมีขนาดแค่สองสามชุ่น แต่ก็ขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศกลายเป็นสองสามจั้งและส่งเสียงอึกทึกทุบไปทางรัศมีลำแสงเหนือศีรษะอย่างแรงตามผีทั้งสี่ไปติดๆ
เปล่งแสงสว่างวาบ ผีสวรรค์สี่ตัวอยู่ใกล้ๆ กับรัศมีลำแสงขยับมือทั้งสองเงากรงเล็บปรากฏขึ้นทั่วฟ้า ในเวลาเดียวกันหางตะขอที่ด้านหลังก็ส่งเสียง “สวบ” ออกมาแล้วกลายเป็นหนามลำแสงสีเขียวมรกตจำนวนนับไม่ถ้วน
ภายใต้การร่วมมือกันของผีสี่ตัว การโจมตีย่อมไม่ธรรมดาตามคาด
ครู่ต่อมาลำแสงเจิดจ้าที่ระเบิดบนกำแพงรัศมีแทบจะกินเวลาอยู่ชั่วครู่ถึงได้หม่นแสงลง
เผ่ามารหัวโล้นเห็นเช่นนี้ย่อมดีใจและกระตุ้นตราประทับสีดำให้ขยายใหญ่กว่าเดิม
ชั่วขณะนั้นสมบัติชิ้นนี้พลันเปล่งแสงสว่างวาบส่งเสียงอัสนีวายุออกมาแล้วโจมตีไปที่กำแพงรัศมีระลอกคลื่นสีดำแผ่ออกมาเป็นวงๆ
กำแพงรัศมีที่เดิมดูเหมือนจะต้านทานไม่ไหวพลันส่งเสียงกังวานออกมารอยแยกสีขาวปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วน ดูเหมือนว่าจะปริแตกออกในทันใด
แต่ในยามนั้นเซียนหยินกวงที่อยู่ด้านนอกกำแพงรัศมีกลับพลิ้วกายมาปรากฏขึ้นด้านข้างหัวสีเงินของสตรีผู้งดงามและตบมือไปบนนั้นอย่างไม่ลังเล หัวสีเงินจ้องเขม็งไปที่รัศมีลำแสงแล้วเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้น
ดูเหมือนจะสัมผัสถึงกันและกันได้ เขตอาคมสีทองบนรัศมีลำแสงส่งเสียงหึ่งๆ ออกมากลางเขตอาคมมีอักขระยันต์สีทองปรากฏขึ้นจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในรอยแตกของกำแพงรัศมี
ฉากที่แปลกประหลาดพลันปรากฏขึ้น!
กำแพงรัศมีที่แต่เดิมปริแตกเมื่อถูกอักขระยันต์สีทองจมหายเข้าไปก็เปล่งแสงสีทองสว่างวาบแล้วผสานเข้าด้วยกันดังเดิม
เซียนหยินกวงมองเห็นฉากนี้อยู่ไกลๆ มุมปากก็อดที่จะหยักขึ้นไม่ได้ เผ่ามารหัวโล้นกลับตะลึงงันแต่ทันใดนั้นก็ได้สติขึ้นมาร้องตะโกนด้วยความตกตะลึงระคนโกรธขึ้งกระตุ้นแผ่นป้ายหัวผีในมือและตราประทับสีดำอีกครั้ง
ดวงตาทั้งสองข้างของผีสวรรค์สี่ตัวมีลำแสงสีโลหิตหมุนวนส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูงแล้วระเบิดความโกรธออกมาร่างกายขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง อ้าปากพ่นเสาลำแสงสีโลหิตออกมาในเวลาเดียวกันเงากรงเล็บทั้งสองและหางตะขอลำแสงสีเขียวมรกตก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ส่วนตราประทับยักษ์สีดำก็ส่งเสียงฟ้าร้องออกมาสายฟ้าสีดำดีดตัวออกมาในเวลาเดียวกันก้นตราประทับก็มีอักขระสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น
เห็นได้ชัดว่าเผ่ามารหัวโล้นกระตุ้นอานุภาพของสมบัตินี้จนถึงขีดสุด
การโจมตีราวกับพายุฝนตกอยู่ที่กำแพงรัศมีอีกครั้งทำให้มันเปล่งแสงสว่างวาบทันทีหลังจากที่ตราประทับสีดำทุบลงมาดวงอาทิตย์สีดำก็ปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นกำแพงรัศมีพลันปริแตกออกอย่างง่ายดาย แต่เมื่อเขตอาคมเปล่งแสงสีทองก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
ครานี้เผ่ามารหัวโล้นพลันมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง แต่อาคมในมือกลับไม่หยุดพักเลยสักนิด กระตุ้นตราประทับยักษ์และผีสวรรค์สี่ตนต่อ ขอแค่โจมตีอย่างต่อเนื่องอีกไม่นานก็คงหลุดพ้นจากพันธนาการ
แต่สิ่งสำคัญคือมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรอีกคนหนึ่งสังหารท่านลี่ได้ สหายร่วมวิถีผู้นั้นของเขาคงไม่ได้เกิดอันตรายอันใดขึ้นหรอกกระมัง
เผ่ามารหัวโล้นโจมตีกำแพงรัศมีอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดไปพลาง กวาดสายตามองไปยังสงครามที่อยู่อีกด้านอย่างไม่สบายใจไปพลาง ผลคือทำให้หน้าเปลี่ยนสี
เห็นเพียงทางนั้นเส้นไหมกระบี่สีทองทั่วฟ้ากำลังก่อตัวกันเป็นตาข่ายกระบี่ยักษ์ขังอสรพิษบินสีฟ้ายี่สิบสามสิบตัวเอาไว้ แม้ว่าสีฟ้าเหล่านั้นที่พุ่งไปมาจะมีร่างกายแข็งแกร่งดุจทองคำและพ่นไอน้ำแข็งทมิฬออกมา แต่เมื่อตัดสลับไปมากับเส้นไหมสีทองเหล่านั้นกลับทยอยกันกลายเป็นชิ้นๆ แล้วร่วงลงมา
ไม่ไกลกันนักคือโครงกระดูกสิบสามตัวที่กลายเป็นสตรีมารปรากฏขึ้นทันที
พวกมันกลายเป็นโครงกระดูกสีขาวโพลนขนาดสองจั้ง เรือนกายมีเปลวเพลิงมารสีดำหมุนวนอยู่ ปากพ่นไอพิษสีเทาออกมาดวงตาทั้งสองพ่นลำแสงแปลกประหลาดราวกับกระจกออกมาเป็นสายๆ แต่อิทธิฤทธิ์นี้คืออิทธิฤทธิ์สูงสุดของมารแม่ลูกเที่ยงแท้แล้วยามนี้กลับถูกแมลงประหลาดสีทองเรืองรองลายสีม่วงสิบกว่าตัวไล่ตามไป
มารแม่ลูกเที่ยงแท้ที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ดูเหมือนจะหวาดกลัวแมลงเหล่านั้นคาดไม่ถึงว่าจะไม่กล้าให้พวกมันเข้าใกล้ การโจมตีด้วยเปลวมารไอพิษของมารเหล่านั้นก็ดูเหมือนจะไร้ผลกับแมลงเหล่านี้
ส่วนท่านหลันผู้นั้นกลับมีท่าทีจนตรอกยิ่งกว่า!
มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่กลายเป็นวานรยักษ์สูงร้อยจั้งโบกมือสองข้างไปทางภูเขาสีเขียวและดำใช้พลังที่ไม่อาจต้านทานได้บีบให้เผ่ามารลายสีฟ้าถอยร่นไป
แม้ว่าเผ่ามารลายสีฟ้าจะทั้งกลัวและตกตะลึง อาคมในมือปล่อยออกไปไม่หยุดด้านหน้ามีสมบัติที่แตกต่างกันหกเจ็ดชิ้นหมุนวนโคจรอยู่แต่ไม่ว่าชนิดใดเมื่อถูกการโจมตีด้วยยอดเขาสองลูกก็เปล่งแสงสว่างวาบถี่ๆ แล้วถอยออกไปให้สมบัติชิ้นอื่นเข้ามาแทนมิเช่นนั้นขอแค่รับการโจมตีอย่างต่อเนื่องสามสี่ครั้ง สมบัติก็จะถูกทำลาย
เผ่ามารที่มีชื่อเสียงผู้นี้ตกเป็นรองเพียงแค่ประหน้ากันชั่วครู่
เผ่ามารหัวโล้นหน้าเปลี่ยนสีไปหลายรอบสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไป อานุภาพของมารแม่ลูกเที่ยงแท้ทั้งสิบสามตนไม่ด้อยไปกว่าผีสวรรค์สี่ตนที่พวกเขาเรียกออกมา คาดไม่ถึงว่าจะถูกแมลงวิญญาณสองสามตัวของอีกฝ่ายบีบจนมีสภาพเช่นนี้
ดูแล้วแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะรู้ว่ามนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ไม่ธรรมดา แต่ก็ยังคงประเมินอีกฝ่ายต่ำเกินไป
คนผู้นี้รับมือยากเช่นนี้เกรงว่าคงมีเพียงท่านจอมมารระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายสามสี่ตนในเผ่าที่จะต่อกรได้
เผ่ามารหัวโล้นขบคิดเช่นนั้นในใจก็อดที่จะตกตะลึงไม่ได้
ทว่าเขาพลันกลอกตาทันใด ริมฝีปากขยับเล็กน้อยถ่ายทอดเสียงไปหาสหายร่วมวิถีของตน