คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1898 ศัตรูที่แข็งแกร่ง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1898 ศัตรูที่แข็งแกร่ง
มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงเห็นเช่นนั้นก็ใจหายวาบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่กล้าไล่ตามไป
กองทัพหุ่นเชิดสัมฤทธิ์เหล่านี้ยังปักหลักอยู่ที่เดิมไม่กล้าออกจากเมืองอี่เทียนภายใต้การควบคุมด้วยผู้บำเพ็ญเพียรลึกลับ
หลังจากที่ทหารขี่อาชามารเหล่านั้นกลับไปอยู่ใกล้กับสำเภายักษ์ ก็กลายเป็นลำแสงสีดำจมหายเข้าไปข้างใน
หลังจากที่ทหารขี่อาชามารทั้งหมดเข้าไปในสำเภา มารสงครามเจียหลุนที่อยู่ด้านหลังเหล่านั้นก็หันกายเข้าไปในสำเภาศึกสองสามลำเช่นกัน
เสียงอึกทึกดังขึ้นสำเภายักษ์สีดำทั้งหมดสั่นเทา พุ่งไปด้านหลังทันที พริบตาสำเภายักษ์ทั้งหมดก็สลายหายไปที่ขอบฟ้า ไม่อาจมองเห็นร่องรอยได้เลยสักนิด
กองทัพเผ่ามารโจมตีเมืองอย่างไม่ได้ยิ่งใหญ่และไม่ได้เล็กๆ คาดไม่ถึงว่าจะถอนทัพไป
หานลี่และเซียนหยินกวงซึ่งอยู่บนภูเขาที่ไกลออกไปมองเห็นทุกอย่างก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้
“ผิดปกติ! เห็นได้ชัดว่าขอแค่มารสงครามเจียหลุนเหล่านั้นบุกเข้าไป ก็จะเป็นฝ่ายได้เปรียบอีกครั้ง หากท่านจอมมารของเผ่ามารลงมือ ก็อาจจะทำลายเมืองแห่งนี้ได้!”
“ในเมื่อที่นี่มีเผ่ามารที่มีฝีมือปรากฏตัวขึ้นมากมายเช่นนี้ คิดดูแล้วจำนวนของท่านจอมมารเหล่านั้นคงมีไม่น้อยแน่ เมืองอี่เทียนเสียอาวุโสไปสองคน สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่เหลืออีกสองคน ว่ากันตามพลังระดับสุดยอดแล้วย่อมเป็นฝ่ายเสียเปรียบ กว่าครึ่งเมืองอี่เทียนคงมีเครื่องมือสังหารอันใด ที่ทำให้เผ่ามารเหล่านั้นเสียเปรียบ ถึงได้หวาดกลัวไม่ยอมโจมตีเต็มกำลัง” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างมีแผนการ
“เช่นนี้ ก็อาจจะเป็นไปได้ ดูแล้วการที่พวกเราเดินทางมาสนับสนุนในครั้งนี้ คงไม่ได้ยากลำบากเหมือนที่คาดการณ์เอาไว้!” เซียนหยินกวงได้ยิน ก็มีสีหน้าผ่อนคลายลง
“นั่นก็พูดยาก ต่อให้เมืองอี่เทียนมีเครื่องมือสังหารอันใดจริงๆ แต่กว่าครึ่งคงไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับกองทัพเผ่ามาร มิเช่นนั้นคงไม่เสี่ยงขอความช่วยเหลือจากเมืองเทวะสวรรค์ สถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่ ต้องเข้าไปดูในเมืองถึงจะรู้ได้” หานลี่เอ่ยด้วยแววตาที่เปล่งประกายวาวโรจน์
“คงมีเพียงเช่นนี้ ยามนี้กองทัพเผ่ามารถอยไปแล้ว แม้ว่าจะยังคงมีผู้ที่ต้องจับตาดูสถานการณ์อยู่ แต่จะขวางเจ้ากับข้าได้อย่างไร พวกเรารีบไปเถิด ข้าและเซียนหลินหลวนของพรรคจักรพรรดิสวรรค์คบค้ากันมาหลายปี ไม่รู้ว่ายามนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?” เซียนหยินกวงพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“ได้ ยามนี้เป็นโอกาสดีที่พวกเราจะเข้าเมือง เซียนหยิน ไปเถิด” หานลี่มองมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรและกองทัพหุ่นเชิดที่เริ่มทยอยกันกลับเข้าไปในเมืองของเมืองอี่เทียน แววตาเปล่งประกาย แล้วตอบตกลงด้วยรอยยิ้มจางๆ
ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นสายรุ้งสองสาย พุ่งไปยังเมืองอี่เทียน
ทั้งสองกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวและขาว ยาวสิบจั้งและเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา แน่นอนว่าย่อมดึงดูดความสนใจของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงที่อยู่ไกลออกไป
ผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาที่มีจิตสัมผัสแข็งแกร่ง กวาดจิตสัมผัสมาไกลๆ เมื่อแยกแยะฐานะของหานลี่และพวกทั้งสองในลำแสงหลีกหนีได้แล้ว ก็อดที่จะเกิดความแตกตื่นไม่ได้
ห่างออกไปร้อยลี้เศษ ขณะที่ลำแสงหลีกหนีที่น่าตกตะลึงของทั้งสองเข้ามาใกล้กว่าครึ่ง แค่กะพริบวาบๆ อีกสองสามคราก็จะมาถึงเมืองอี่เทียนนั้น ฉับพลันนั้นก็มีเสียงแค่นเสียงอย่างเย็นชาจนหนาวเหน็บเข้ากระดูกดังขึ้นกลางอากาศ
“มาแล้วก็ดี ในเมื่อมาแล้ว ก็หยุดอยู่ตรงนั้นเถิด”
สิ้นเสียงไอวิญญาณฟ้าดินบริเวณรอบก็ปรากฏขึ้น กรงเล็บมารขนาดเท่าภูเขาขนาดย่อมแหวกอากาศออกไป กดสายรุ้งสองสายเอาไว้พร้อมกับพายุกลิ่นคาว
กรงเล็บมารมีขนาดประมาณสองสามร้อยจั้ง เป็นสีดำสนิทราวกับน้ำหมึก ปลายนิ้วพ่นเสาเพลิงสีเขียวมรกตออกมา
ตะปบลงมาทั่วทั้งท้องฟ้า คาดไม่ถึงว่าจะมืดมนลง
หานลี่และพวกทั้งสองที่อยู่ใต้กรงเล็บมาร เพิ่งจะเกิดความคิดหลบหลีกแต่ก็หลบไม่พ้น
“แย่แล้ว! ท่านจอมมารของเผ่ามารยังไม่จากไป!” เซียนหยินกวงเห็นฉากนี้ก็ร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชั่วขณะนั้นลำแสงสีเงินพลันเปล่งแสงสว่างวาบ กรงเล็บสีเงินคู่หนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งออกไป พลิ้วไหวเล็กน้อยกลายเป็นจันทร์เสี้ยวสีขาวและดวงอาทิตย์เพลิงสีแดงสด ขนาดยี่สิบสามสิบจั้ง ส่งเสียงอัสนีฟ้าฟาดออกมาพลางโจมตีไปที่กรงเล็บยักษ์
ส่วนหานลี่ก็ยกมือขึ้นโดยไม่ปริปาก เงากำปั้นยักษ์เปล่งแสงสว่างวาบข้างหนึ่งโจมตีไปกลางอากาศเช่นกัน
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นดังขึ้น ลำแสงหลากสีสันระเบิดลำแสงเจิดจ้าออกมา ทำให้อากาศทั้งหมดพลิ้วไหวสั่นเทา และมีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่หยุด!
แม้ว่าหานลี่จะมีอิทธิฤทธิ์น่าตกตะลึง กายเนื้อไม่ด้อยไปกว่าสิ่งมีชีวิตระดับมหายาน ก็ยังรู้สึกสั่นเทาจนเกือบจะล้มแล้วกระเด็นถอยไป
ทุกย่างก้าวที่ย่างไปกลางอากาศ ราวกับเหยียบไปบนพื้นจริงเสียงดัง “แก๊กๆ” หลังจากก้าวไปได้เจ็ดแปดก้าวถึงได้กลับมามีร่างกายมั่นคง
เซียนหยินกวงที่อยู่ด้านข้างยิ่งรับไม่ไหว ถูกพลังสั่นสะเทือนของสมบัติอาคมกระทบร่างจนกระเด็นลอยไปยี่สิบสามสิบจั้งอย่างห้ามไม่อยู่ แล้วถึงได้เปล่งแสงสว่างวาบสลายพลังนั้นออกไปกลับมาลอยอยู่กลางอากาศอีกครั้ง
การโจมตีเมื่อครู่หานลี่รับอานุภาพของกรงเล็บมารนั้นไว้เจ็ดแปดส่วน!
ความน่ากลัวของกรงเล็บมารจะไม่ทำให้สตรีผู้นี้มีสีหน้าดูไม่ได้ๆ อย่างไร
ทว่าเจ้าของกรงเล็บมารสีที่อยู่กลางอากาศกลับรู้สึกไม่ภิรมย์ ภายใต้การร่วมมือของพวกเขาสองคน ไม่เพียงจะสลายการโจมตีของกรงเล็บมารค้ำฟ้าไปได้ ในเวลาเดียวกันคนหนึ่งก็ซวนเซ เงาร่างคนสายหนึ่งถูกบีบให้ออกมาจากกลางอากาศที่สูง
หานลี่มีสีหน้าโหดเหี้ยมฉายแวบผ่าน ยามที่คิดจะตรวจสอบเงาร่างคนผู้นั้นอย่างละเอียด ฉับพลันนั้นไอเย็นเยียบที่ไม่มีเค้าลางมาก่อนก็ลอบโจมตีเข้ามาที่แผ่นหลังอย่างเงียบเชียบ ยังไม่ทันได้โจมตีโดนตัวของเขาจริงๆ พลังเย็นเยียบก็แทบจะห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดเอาไว้
หากเปลี่ยนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางธรรมดาๆ แม้ว่าจะไม่ถูกพลังเย็นเยียบกลุ่มนี้ทำร้าย แต่ร่างกายที่แข็งทื่อกลับไม่อาจหลบหนีได้
แต่หานลี่เองกลับใช้เปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสี ประกอบกับไอเย็นเยียบนิรนามที่ดูดซับมาจากแดนป่าเถื่อน แค่พลังของน้ำแข็งยะเยือก ก็ไม่ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาธาตุน้ำแข็งยะเยือกบริสุทธิ์แล้ว
ดังนั้นนอกจากพลังเย็นเยียบกลุ่มนี้จะทำให้ชุดคลุมยาวของเขาอาบย้อมไปด้วยน้ำแข็งสีขาว ก็แทบจะไม่มีประสิทธิภาพอันใด
หานลี่หยักไหล่ ฉับพลันนั้นเงาลวงตาสีเขียวมรกตก็พุ่งออกมาจากแผ่นหลัง และปล่อยกำปั้นลงไปอย่างแรง
เสียง “ตูม” ดังขึ้น!
กำปั้นสีเขียวปะทะเข้ากับดาบบินสีขาวหิมะ ลำแสงสีเขียวและลำแสงสีขาวตัดสลับกันไปมา ความมีชีวิตชีวาและไอเย็นเยียบสีขาวแผ่ออกไป
หลังจากที่ทั้งสองแยกจากกันอีกครั้ง ใบมีดบินลำแสงสีขาวหิมะเล่มนั้นก็พุ่งไปด้านหลัง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วร่อนลงในฝ่ามือเงามนุษย์อีกคนหนึ่งที่ปรากฏขึ้น
เงาร่างคนคาดไม่ถึงว่าจะเป็นชายหนุ่มร่างกายซูบผอมอายุประมาณห้าสิบหกสิบปี แต่สวมชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ สีหน้าเย็นชาราวกับน้ำแข็ง และกวาดสายตาที่ทำให้ผู้คนกลั้นลมหายใจมาทางหานลี่
ส่วนเงาลวงตาสีเขียวนั้น ลำแสงวิญญาณพลันรวมตัวกันกลายเป็นชายสวมชุดคลุมสีเขียวที่หน้าตาเหมือนกับหานลี่ทุกระเบียบนิ้ว ลำแสงสีม่วงจางๆ แผ่ออกมาจากเรือนร่าง ฝ่ามือข้างหนึ่งกลับสลายหายไปจากข้อมือ
แม้ว่าการโจมตีเมื่อครู่จะทำให้ดาบบินสีขาวหิมะล่าถอยไป แต่กำปั้นกลับถูกสับลงมา
แต่หานลี่ที่มีผิวสีเขียวกลับสะบัดข้อมือเบาๆ หลังจากที่มีลำแสงสีเขียวมรกตห่อหุ้ม ยามนี้ก็มีฝ่ามืออีกข้างปรากฏขึ้น
นิ้วทั้งห้าขยับร่ายไปมา คาดไม่ถึงว่าจะดูไม่ต่างจากก่อนหน้าเลยสักนิด
หลังจากที่ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาเห็นฉากนี้พลันตกตะลึง แต่จากนั้นก็แค่นเสียงหึอย่างเย็นชา แววตาโหดเหี้ยมปรากฏขึ้น
‘หานลี่’ ที่มีผิวสีเขียวย่อมคือร่างวิญญาณระดับผสานอินทรีย์ที่หานลี่ฝึกฝน เขาปล่อยออกมาในยามที่กำลังตกอยู่ในอันตรายจึงกำกับการลอบโจมตีเมื่อครู่ไปได้อย่างง่ายดายดังคาด
แต่หานลี่ในยามนี้กลับมีสีหน้าดูไม่ได้ ใช้สายตาไม่เป็นมิตรพิจารณาชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวตรงข้ามเช่นกัน
คาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะลอบโจมตีในระยะประชิดเช่นนี้และเกือบจะสัมผัสไม่ได้จริงๆ นี่เป็นเรื่องที่หาได้น้อยมากในยามที่เขามีจิตสัมผัสระดับนี้
นี่จึงทำให้หานลี่อดที่จะให้ความสำคัญกับท่านจอมมารเผ่ามารระดับผสานอินทรีย์ท่านนี้ไม่ได้
เสียงดังสนั่นดังขึ้น หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยสายตากวาดมองไปยังเซียนหยินกวงที่อยู่อีกด้าน
เห็นเพียงในมือของสตรีผู้นี้มีธงสีเงินปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และกลายเป็นหมอกลำแสงสีเงินคาดไม่ถึงว่าจะรับการโจมตีอีกกระบวนท่าของคนที่ใช้กรงเล็บมารยักษ์ลอบโจมตีพวกเขาเอาไว้
แต่เห็นสตรีหน้าซีดขาวแววตาสับสนเห็นได้ชัดว่าเป็นฝ่ายเสียเปรียบ!
เป็นเพราะพลังปราณของสตรีผู้นี้ยังไม่ฟื้นฟูกลับมาจากการต่อสู้ครั้งที่แล้ว แต่ก็หมายความว่าคู่ต่อสู้ตรงหน้าของนางมีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจมากเช่นกัน
หานลี่ใจหายวาบสายตาก็อดที่จะกวาดมองไปบนที่สูงไม่ได้
เห็นเพียงชายร่างใหญ่เผ่ามารที่มีเนื้องอกสีโลหิตงอกออกมาจากศีรษะสวมชุดเกราะมารสีดำคนหนึ่งใช้สองมือถือค้อนกระดูกสีดำเอาไว้ข้างละหนึ่งอันใช้สายตาเคร่งขรึมมองเขาและเซียนหยินกวง
หานลี่หางตากระตุกเล็กน้อยคาดไม่ถึงว่าชายร่างใหญ่เกราะมารจะเป็นเผ่ามารระดับสุดยอดระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายตนหนึ่ง กลิ่นอายโหดเหี้ยมที่อธิบายเป็นคำพูดไม่ถูกแผ่ออกมาจากเรือนร่างดูเหมือนว่าจะฝึกฝนเคล็ดวิชามารที่ร้ายกาจ
“ทั้งสองท่านนับว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ของแดนมาร คาดไม่ถึงว่าจะใช้การลอบโจมตีเช่นนี้ไม่คิดว่าไม่เหมาะสมกับฐานะหรือ?” เซียนหยินกวงตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงแหว
“หึ ขอแค่สังหารศัตรูได้ใช้วิธีการอันใดจะแตกต่างหรือ? แม่หนูใช้คำว่าจอมปลอมมาพูดกับเราสองคนไม่คิดว่ามันน่าเบื่อหรือ?” ชายชราที่มีเนื้องอกโลหิตงอกออกมาได้ยินคำนี้ก็โจมตีค้อนทั้งสองอันในมือออกไป จากนั้นก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ดูจากวิธีของสหายทั้งสองเมื่อครู่เกรงว่าในบรรดาท่านจอมมารเผ่ามารก็คงจะมิได้เป็นผู้ไร้ชื่อเสียงสินะบอกชื่อเสียงเรียงนามมาหน่อยได้หรือไม่!” หลังจากที่หานลี่มองคู่ต่อสู้ทั้งสองแวบหนึ่งกลับเอ่ยถามขึ้นด้วยสีหน้าราบเรียบพร้อมกับหรี่ตาทั้งสองข้างลง
“พวกเจ้าสองคนรับการโจมตีของข้าเมื่อครู่ได้บอกชื่อเจ้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ตาเฒ่าคือเถี่ยหลงแผนกกระดูกเหล็กระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ ผู้นี้คือเฟยหยาแผนกน้ำแข็งดูแล้วพวกเจ้าสองคนคงจะเป็นทัพสนับสนุนของเมืองอี่เทียนสินะ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รายงานชื่อมาเถิด” ชายชรานามว่าเถี่ยหลงเอ่ยถามด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
“ข้าน้อยแซ่หานเป็นแค่อาวุโสนิรนามคนหนึ่งบอกนายท่านไปก็ไม่รู้จัก แต่ในเมื่อทั้งสองท่านโจมตีไม่สำเร็จยังคิดว่าจะมีโอกาสจัดการผู้แซ่หานและพวกได้อีกหรือ?” หานลี่ได้ยินกลับฉีกยิ้ม
ดูเหมือนว่าเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของหานลี่แทบจะในเวลาเดียวกันเมืองอี่เทียนก็มีเสียงกรีดร้องสองเสียงที่ไม่เหมือนกันดังขึ้น หัวเมืองเปล่งแสงสว่างวาบสายรุ้งเจิดจ้าอีกสองสายปรากฏขึ้นแล้วตรงมาหาหานลี่