คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1903 สงครามของแดนมาร
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1903 สงครามของแดนมาร
เงาลวงตานี้ก็คือร่างแยกที่สร้างขึ้นจากเสี้ยวจิตสัมผัสของหานลี่และคิดจะใช้เคล็ดวิชาลับของชนต่างเผ่าแทรกเข้าไปในเขตอาคมโบราณสิบสามชั้นในกล่องไม้
แต่ห้วงเวลานี้กลับเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้ นี่จึงทำให้เขาตกตะลึง!
แม้ว่าจะตกใจเล็กน้อยแต่หานลี่กลับไม่ได้หวาดกลัวนัก
ถึงอย่างไรเสียทางที่เลวร้ายที่สุดก็แค่สูญเสียเสี้ยวจิตสัมผัสไปเท่านั้น ไม่ได้มีอันตรายต่อกายเนื้อมากนัก
ดังนั้นหลังจากที่หานลี่ตรวจสอบรอบด้านก็เคลื่อนไหวบินไปยังทิศทางหนึ่ง
ทางที่บินไปนอกจากเมฆหมอกสีเทาแล้วก็ไม่มีสีสันอื่นอีก หลังจากที่เขาบินมาได้สองสามชั่วยามทัศนียภาพรอบด้านก็ยังคงเหมือนเดิม
หานลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อยหยุดลำแสงหลีกหนีครุ่นคิดเล็กน้อยเปลี่ยนทิศทาง คาดไม่ถึงว่าจะบินขึ้นไปยังที่สูง
ผ่านม่านหมอกบางๆ ชั้นแล้วชั้นเล่า ท้องฟ้าของช่วงเวลานี้ราวกับไร้ที่สิ้นสุด หานลี่บินมาได้ครึ่งวันก็ไม่อาจมองเห็นปลายทางเช่นกัน
หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึม หยุดเคลื่อนไหวอีกครั้งกวาดตามองไปรอบๆ
ฉับพลันนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีมองไปยังทิศทางหนึ่งแล้วร้องตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำ
“สหายท่านใดซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้ ออกมาเถิด!”
แม้ว่าน้ำเสียงจะไม่ดังนักแต่ก็ดังก้องไปมาทั่วบริเวณแต่รอบด้านกลับเงียบสงัด ไหนเลยจะมีเงาร่างคนปรากฏขึ้น
หานลี่เห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้นแค่นเสียงอย่างเย็นชา ฉับพลันนั้นพลันนั่งสมาธิสองมือร่ายอาคมไปกลางอากาศ
เขาหลับตาทั้งสองข้างลง ร่างกายนิ่งงันนั่งไปนานครึ่งวันราวกับว่าคิดจะนั่งอย่างนี้ตลอดไป
และเมื่อเข้าสู่วันที่สอง ฉับพลันนั้นบรรยากาศรอบด้านก็มีลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้น เปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นชายชราสวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มคนหนึ่ง
ชายชรามีคิ้วยาวแปลกประหลาดใบหน้าซูบผอมและไว้เคราสามจุด ปักปิ่นปักผมไม้สีเหลืองยาวสองสามชุ่นเอาไว้ อาภรณ์สลักภาพมารหน้าตาโหดเหี้ยมสามเศียรหกกร เผยความลึกลับออกมา
หลังจากที่เขาปรากฏตัวก็ไม่มีเจตนาจะเข้าใกล้เลยสักนิดแค่ใช้สายตาเย็นชาจ้องมองหานลี่ไม่ปริปากอยู่ที่เดิม
หานลี่แสร้งทำเป็นไม่เห็นสิ่งนั้นราวกับว่าไม่เคยพบการปรากฏตัวของชายชรา ยังคงหลับตานั่งสมาธิไม่ยอมลุกขึ้น
หานลี่และชายชรา คนหนึ่งนั่ง อีกคนหนึ่งยืนเผยท่าทีไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ดูเหมือนว่าผู้ใดก็ไม่ยอมเอ่ยปากเป็นคนแรก
เวลากลับค่อยๆ ไหลผ่านไป
สามวันสามคืนต่อมา หานลี่และชายชรายังคงอยู่ท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่าหากพิจารณาอย่างละเอียดจะพบว่าดวงตาสีเทาขาวของชายชราชุดเขียวกลับกลอกไปมาเล็กน้อย สายตาที่มองหานลี่เผยแววตกตะลึงออกมา
หลังจากผ่านไปอีกสามสี่ชั่วยามเค้าลางการกลอกตาไปมาของชายชราก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ฉับพลันนั้นก็หลับตาลงแล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงตาเผยแสงสีเงินประหลาดออกมาจากนั้นพลันเคลื่อนไหว ร่างกายหายวับไปจากที่เดิมราวกับฟองสบู่
ครู่ต่อมาห่างจากจุดที่หานลี่นั่งอยู่สองสามจั้ง ร่างของชายชราปรากฏขึ้นอีกครั้ง
หานลี่กลับมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแม้กระทั่งเปลือกตาก็ยังไม่ขยับ
ชายชราชุดเขียวเห็นเช่นนี้ก็อดที่จะเผยสีหน้าโกรธขึ้งออกมาไม่ได้!
“หึ บังอาจนักต่อหน้าตาเฒ่ายังกล้านั่งไม่ขยับเช่นนี้” ในที่สุดชายชราก็เอ่ยปาก น้ำเสียงกลับแสบแก้วหูราวกับทองคำกระทบกันทำให้ผู้ที่ได้ยินรู้สึกหงุดหงิด
“ฟังจากน้ำเสียงของนายท่านดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ที่มีประวัติความเป็นมาจริงๆ แต่ไม่ทราบว่ามีชื่อเสียงเรียงนามอันใด?” หานลี่ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ถามกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“ชื่อของตาเฒ่าพูดไปมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่ต่ำต้อยอย่างเจ้าก็ไม่รู้จัก ทว่าข้าก็แปลกใจคาดไม่ถึงว่าจะมีเศษเสี้ยวจิตสัมผัสของมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรบุกเข้ามาในนี้ ดูแล้วสิ่งนี้คงตกอยู่ในมือของเจ้าสินะ” ชายชรามองปราดเดียวก็ดูออกว่านี่ไม่ใช่ร่างจริงของหานลี่และใช้น้ำเสียงยิ่งใหญ่เอ่ยขึ้น
“หึๆ ดูแล้วท่านอาวุโสก็น่าจะเป็นยอดฝีมือของแดนมารโบราณ กล่องนี้ตกอยู่ในมือของข้าน้อยจริงถึงได้ส่งเสี้ยวจิตสัมผัสมาตรวจสอบ ทว่าที่นี่ไม่ได้อยู่ในกล่องแต่เป็นเขตอาคมต้องห้ามสินะ” หานลี่ตอบด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
แม้ว่าเขาที่เป็นเพียงเสี้ยวจิตสัมผัสจะไม่อาจมองความตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่ายได้ แต่ก็เดาได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของเผ่ามาร ดังนั้นจึงไม่เผยสีหน้าใดๆ ออกมาแต่ในใจย่อมมีความระมัดระวังผุดขึ้นมา
“ที่นี่ไม่ใช่ในกล่องแต่เป็นเขตอาคมลวงตาที่สิบสาม ขอแค่เขตอาคมนี้กุมภาพลวงตาอันสำคัญที่สุดเอาไว้ก็สามารถควบคุมท้องฟ้าให้เปลี่ยนไปได้ตามใจประสงค์ จะว่าไปแล้วยามนี้เผ่าศักดิ์สิทธิ์ไร้ประโยชน์จริงๆ คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยให้สมบัติชิ้นนี้ตกอยู่ในมือของเผ่ามนุษย์ ฟังจากน้ำเสียงของเจ้า ยามนี้สมบัติชิ้นนี้น่าจะแปลงร่างเป็นกล่อง เช่นนั้นก็ไม่ผิดรูปร่างไม่สะดุดตาเหมือนแต่ก่อนเป็นอย่างมาก” ชายชราได้ยินก็ขมวดคิ้วเอ่ยพึมพำจากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ
หานลี่รู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว ทัศนียภาพสีเทารอบด้านรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะปริแตกราวกับกระจกจากนั้นจมูกก็ได้กลิ่นหอมของพืชสมุนไพรโชยมา ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินเสียงสายธารไหล
เขาพลันใจหายวาบรีบมองไปรอบด้านอีกครั้ง
ทุกอย่างรอบด้านเปลี่ยนไปราวกับคนละโลก
ท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาวภูเขาสีเขียวขจีวารีสีครามปรากฏขึ้นสู่สายตา เมื่อก้มหน้าลงเขาและชายชราก็เหยียบอยู่บนสายธารใสไหลเอื่อย วารีไม่นับว่าลึกนัก สูงครึ่งน่องพอดีแม้กระทั่งตาเนื้อก็สามารถมองเห็นมัจฉาสีเขียวความยาวครึ่งฉื่อสองสามตัวแหวกว่ายอยู่ด้านข้าง ท่าทางไม่หวาดกลัวมนุษย์เลยสักนิด
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีมือตะปบไปที่วารีด้านล่างโดยไม่ปริปาก
เสียง “สวบ” ดังขึ้น!
มัจฉาสีเขียวตัวหนึ่งถูกดูดเข้ามาอย่างง่ายดาย นิ้วทั้งห้ากำแน่น คาดไม่ถึงว่าจะสัมผัสได้ถึงตัวลื่นๆ ของมัจฉาที่กำลังดิ้นรนอย่างชัดเจน
รูม่านตาของหานลี่เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบสะบัดมือโยนมัจฉาสีเขียวลงไปในสายธารอีกครั้ง เอามือมาแตะปลายจมูกกลิ่นคาวปะทะจมูกทันที
“เป็นเขตอาคมที่ร้ายกาจเสียจริงทำได้ถึงขั้นนี้แต่เทียบกับเรื่องนี้แล้วไม่ทราบว่าท่านอาวุโสบอกได้หรือไม่ว่าเหตุใดมาปรากฏตัวที่นี่และยิ่งไปกว่านั้นจากเคล็ดวิชาที่ข้าน้อยสำแดงน่าจะส่งไปในกล่องได้สิ ยามนี้ถูกกักอยู่ที่นี่น่าจะเกี่ยวข้องกับนายท่านสินะ!” หลังจากหานลี่ครุ่นคิดก็เอ่ยอย่างแช่มช้า
“เหตุใดตาเฒ่าต้องตอบคำถามของเจ้า เจ้าอยากรู้อะไรก็หาคำตอบเองสิ” ชายชราชุดเขียวได้ยินคำพูดของหานลี่กลับกลอกตาไปมาขณะเอ่ย
“หึ ในเมื่อท่านอาวุโสปรากฏตัวที่นี่คงไม่ได้แค่อยากคุยกับข้าน้อยสินะ ยิ่งไปกว่านั้นดูจากท่านอาวุโสที่ไม่ใช่ร่างแท้จริงแล้วก็คงเป็นเศษเสี้ยวของจิตสัมผัสเช่นกัน คิดดูแล้วคงอยู่ที่นี่อย่างไม่ยินยอมสินะ” หานลี่ได้ยินก็ไม่โกรธกลับตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเป็นใครกันแน่ รู้อะไร เป็นคนที่เซวี่ยกวงส่งมาหรือไม่”
ข้างหูของหานลี่มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นพลังแรงกดที่ทำให้ผู้คนขนลุกซู่ปะทะกับเรือนร่าง
จากนั้นพายุพลันก่อตัวชายชราชุดเขียวแค่พลิ้วกายก็คว้าคอเอาไว้ดวงตาสองข้างที่มีลำแสงสีเงินไหลวนโคจรอยู่เปลี่ยนเป็นสีแดงโลหิต เอ่ยกับหานลี่อย่างเหี้ยมเกรียม
กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งราวกับสัตว์ป่าบนเรือนร่างของเขาโชยเข้ามา แผ่นหลังมีเงามารสีโลหิตขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นรางๆ ราวกับว่าครู่ต่อมาจะฉีกหานลี่เป็นชิ้นๆ
“เซวี่ยกวงอะไรข้าน้อยไม่รู้จัก” หานลี่ตกตะลึงก็ตอบกลับด้วยสีหน้าราบเรียบ
“โกหก! หากเจ้าไม่รู้จักเซวี่ยกวงจะได้ป้อมผนึกมารมาได้อย่างไร เจ้าคิดว่าตาเฒ่าจะเชื่อคำพูดของเจ้าหรือ! หึ ป้อมผนึกมารถ่ายทอดไปสู่มือของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันตั้งไม่รู้กี่รุ่นแล้ว แต่รุ่นไหนบ้างที่ไม่ยอมพกติดตัวจนตกไปอยู่ในมือของมนุษย์ที่ต่ำต้อยคนหนึ่ง เจ้าอย่าบอกนะว่าเจ้าสังหารเซวี่ยกวงแล้วถึงได้สิ่งนี้มา” ใบหน้าของชายชราชุดเขียวปรากฏความบ้าคลั่ง เอ่ยกับหานลี่ทีละคำๆ ในเวลาเดียวกันนิ้วผ่ายผอมที่กำลำคอของหานลี่ก็มีลำแสงสีเขียวพุ่งออกมาดูเหมือนว่าจะลงมือได้ตลอดเวลา
ร่างแยกของหานลี่เป็นแค่เสี้ยวจิตสัมผัสเท่านั้น แน่นอนว่าจึงไม่มีอิทธิฤทธิ์ใดๆ จึงไม่อาจต่อต้านการกระทำของอีกฝ่ายได้พลันเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆ
“ป้อมผนึกมาร? ที่แท้ก็เรียกว่าสิ่งนี้นี่เอง! แม้ว่าข้าน้อยจะไม่รู้ว่าเซวี่ยกวงคือผู้ใดแต่จะไปฟังคำสั่งของเผ่ามารได้อย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นหากข้ามีแผนกับนายท่านจริงคงไม่ส่งมาแค่เสี้ยวจิตสัมผัส แม้ว่าสหายจะทำลายเสี้ยวจิตสัมผัสของข้าน้อยแต่ก็ไม่ได้ทำอันตรายร่างที่แท้จริงของข้าได้มากนัก ไม่แน่ว่าอาจจะหวาดกลัวเอาสิ่งนี้ไปโยนทิ้งในก้นบึ้งหุบเหวที่ไม่มีใครหาเจอก็เป็นได้ บางทีผ่านไปอีกล้านปีถึงจะมีคนหาของสิ่งนี้เจอก็ไม่แน่”
“เจ้ากล้าข่มขู่ตาเฒ่า ฮ่าๆ ดูแล้วเจ้าคงไม่รู้ฐานะของตาเฒ่า ที่แท้ก็ไม่ใช่คนที่เซวี่ยกวงส่งมา เมื่อครู่ล่วงเกินแล้วอย่าหวังว่าสหายจะให้อภัย!” ชายชราชุดเขียวได้ยินคำพูดของหานลี่ก็มีลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นบนใบหน้า ความโกรธมลายหายไปและคลายนิ้วทั้งห้าออกจากหานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนสีไป
“อ๋อ ดูแล้วสหายคงเชื่อคำพูดของข้าน้อยแล้ว แต่ข้าน้อยยังเลอะเลือนไม่ทราบว่านายท่านจะบอกประวัติความเป็นมาให้ข้าน้อยฟังได้หรือไม่” หานลี่ผ่อนคลายลงเช่นกันหลังจากจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วก็เอ่ยถามอย่างสบายๆ
“บอกเจ้า แน่นอนว่าได้ แต่ตาเฒ่าก็เหมือนกับที่เจ้าคิดเอาไว้ติดอยู่ในนี้มาไม่รู้กี่ปีแล้ว และก็มีสิ่งที่อยากรู้เกี่ยวกับโลกภายนอกไม่น้อยข้าก็จะไม่เอาเปรียบเจ้า เจ้าตอบคำถามตาเฒ่าข้อหนึ่ง ข้าก็จะคลายข้อสงสัยให้เจ้า” ชายชราชุดเขียวฟั่นเคราใต้คางหรี่ตาลงพร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างแช่มช้า