คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1908 สงครามเมืองอี่เทียน (2)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1908 สงครามเมืองอี่เทียน (2)
นั่นก็คือหานลี่และอรหันต์ชิงหลงและผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ตอนต้นอีกสี่ท่าน ส่วนคนอื่นนั้นคือผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาตอนปลายที่มีอยู่ไม่มากในเมือง
พวกเขาล้วนเงียบไว้ไม่เอ่ยคำใด เพียงจ้องเขม็งไปยังทะเลมารที่อยู่ไกลๆ นั้น
ทันใดนั้นแววตาหานลี่พลันฉายประกายสีฟ้า
ท่ามกลางทะเลมารจู่ๆ ก็มีเสียงหัวเราะแปลกๆ ดังขึ้น จากนั้นพลังมารส่วนหนึ่งก็พุ่งออกมา
นักรบเกราะดำถือค้อนสีหน้าเคร่งขรึมคนหนึ่ง คนอีกผู้หนึ่งชุดสีขาวดูเย็นชาใบหน้าราวกับเด็กหนุ่ม นั่นก็คือมารระดับผสานอินทรีย์ตอนต้นที่เคยพบกัน
ในส่วนของอีกของคนที่กำลังติดตามมา คนหนึ่งมีเกราะสีแดงห่อหุ้มเอาไว้ทั้งกาย ส่วนสูงสิบจั้ง รอบกายมีเปลวเพลิงปกคลุมรอบด้าน อีกคนคือเด็กสาวผู้หนึ่งที่สองเท้าเปลือยเปล่า นางเหยียบงูเหลือมยักษ์สองตัวเอาไว้ ตัวหนึ่งสีแดงและอีกตัวสีเขียว ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้า
แม้ว่าคนที่สองจะใบหน้าดูไม่คุ้นเคยเลย แต่หานลี่ที่ดูข้อมูลผู้อาวุโสเผ่ามารทั้งสี่ก่อนหน้ามาไม่น้อย แน่นอนว่ายังคงมองออกได้ภายในครั้งเดียว แววตาเขาสั่นไหวเล็กน้อย ทั้งยังลอบเสริมความมั่นใจในเนื้อหาของข้อมูลตนให้มากขึ้น
ทั้งสองคนล้วนเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ตอนต้น ขอเพียงมิได้มีของล้ำค่าหรือมีวิชาพลิกสวรรค์อันใด น่าจะไม่มีอะไรที่น่าเป็นห่วง
และผู้อาวุโสเผ่ามารสองคนที่เคยเจอกันก่อนหน้าถูกมอบแก่เซียนหยินกวงและหลินหลวนทั้งสองในการรับมือ ดวงจิตของวีรบุรุษเกราะดำและชายหนุ่มชุดขาวคนนั้นเห็นได้ชัดว่ามิใช่ฝ่ายนั้นจะสามารถต่อกรได้ กลับเป็นเขาและอรหันต์ชิงหลวงที่ต้องคอยมาควบคุม
หากอ้างอิงจากคำกล่าวของอรหันต์ชิงหลง ก็มิต้องการให้พวกเขาไปโจมตีศัตรูให้พ่ายแพ้ เพียงยื้อให้ผู้อาวุโสเผ่ามารมิอาจถอนตัวได้ ก็กินเวลาไปกว่าห้าเดือนแล้ว ก็ถือว่าพวกเราได้ชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
พวกเขาทั้งหมดแม้จะเห็นแล้วว่าผู้อาวุโสเฒ่าทั้งสี่ได้โผบินออกมาจากทะเลมารแล้ว แต่หลังจากคลื่นสั่นไหว กลับต่างก็ยืนอยู่บนจุดยอดของห้องโถง ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
หลังจากระยะห่างที่ผู้อาวุโสเผ่ามารทั้งสี่บินออกมาจากทะเลมารแล้ว ก็ทยอยปรากฏร่างออกมาตามแสงอย่างต่อเนื่อง
พวกเขาพึมพำเสียงต่ำหลายประโยค หลังจากนั้นก็หยุดอยู่บนนั้นนิ่งๆ ก็ไม่ได้ดูมีท่าทีว่าจะมีเจตนาเริ่มสงครามเลย
“ผู้นำเผ่ามารเหล่านี้ช่างใจเย็นเสียจริง ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องรอให้ถึงดวงอาทิตย์ทั้งห้ากลายเป็นจันทราก็คงต้องสูญเสียพลังหยางของฟ้าดินเป็นแน่ ได้เวลาโจมตีแล้ว”อรหันต์ชิงหลงสีหน้าขรึมลงทันที ก่อนเอ่ยอย่างจนใจ
หานลี่เมื่อได้ยินก็ยกยิ้มเบาๆ ไม่ได้เอ่ยคำใด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าเสียทีหนึ่ง
เห็นเพียงท้องฟ้าในเวลานี้ ดวงอาทิตย์สี่ดวงจากทั้งเจ็ดล้วนดับมืดลงแล้ว มีเพียงอาทิตย์ดวงที่ห้า เวลานี้ถูกริ้วมารปกคลุมไปกว่าครึ่งแล้ว และด้วยความเร็วที่แทบจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่ามันก็ยังแพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปยังส่วนที่เหลือ
“แน่นอนอยู่แล้ว ขอเพียงดวงอาทิตย์ดวงที่ห้ายังไม่ถูกกลืนกิน ผู้นำเผ่ามารเหล่านี้ต้องหวาดกลัวเขตอาคมเก้าตะวันตัดดาราอาทิตย์ว่ายังไม่สิ้นฤทธิ์แน่” หลินหลวนเอ่ยต่อด้วยเสียงเจือหัวเราะอยู่ด้านข้าง
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง แต่ผู้นำเผ่ามารเหล่านี้เกรงว่าคงคิดไม่ถึงแน่ว่าพวกเราเองไม่ได้รอให้เขตอาคมนี้หมดฤทธิ์ก็ได้ปิดมันลงเองแล้ว นี่ถึงได้แสดงออกให้เห็นว่าห่วงหน้าพะวงหลังสิน่า อย่างนี้ก็ดี ยื้อเวลาไปได้อีกหน่อย สำหรับพวกเราแล้วยังถือว่าได้ประโยชน์”อรหันต์ชิงหลงขบคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเบิกบาน
“แต่เกรงว่าคงยื้อเวลาเอาไว้ได้อีกไม่นานแล้ว”เซียนหยินกวงมองไปยังท้องฟ้า กลับเอ่ยออกมาอย่างฝืนยิ้ม
“เหอะๆ ได้ยื้อเวลาไปอีกหน่อย ก็มีเวลาครุ่นคิดเพิ่มอีกนิด อย่างไรก็ดีกว่าเผ่ามารเปิดฉากโจมตีเมืองเป็นไหนๆ!” อรหันต์ชิงหลงยกยิ้มเหอะๆ
เมื่อได้ฟังอรหันต์ชิงหลงเอ่ยอย่างนี้ เซียนหยินกวงก็ยกยิ้มไม่พูดอะไรอีก
เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าก็ค่อยๆ ดับแสงและมอดแสงลง
เมื่อดวงจันทร์ทั้งห้าปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าพร้อมกัน ไอสังหารก็ปะทุออกมาจากทะเลมารและเมืองอี่เทียนในเวลาเดียวกัน!
อรหันต์ชิงหลงลอบถอนหายใจลึก เหมือนกำลังอยากจะเอ่ยสิ่งใด วีรบุรุษเกราะดำที่อยู่ไกลออกไปจู่ๆ กลับเอ่ยปากพึมพำอะไรออกมา
“สหายชิงหลง เขตอาคมที่ท่านใช้สำหรับปกป้องนั้นได้สูญเสียคุณค่าไปแล้ว เหตุใดจึงต้องฝืนต่อไปอีกเล่า ขอเพียงท่านนำพากลุ่มคนของท่านกลับคืนสู่เผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ของเรา ข้าสามารถขอร้องให้ท่านผู้อาวุโสศักดิ์สิทธิ์มอบพลังมหายุทธแก่ท่านได้ ทำให้ท่านเป็นส่วนหนึ่งของเผ่าพันธุ์ศักดิ์สิทธิ์ของเรา นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของสหายแล้ว หากไม่รับปากล่ะก็ เหอะๆ กองทัพใหญ่ของเผ่าพันธุ์ข้าก็จะเหยียบเมืองอี่เทียนของเจ้าให้ราบ!”
เสียงวีรบุรุษเกราะดำสะท้อนก้องอย่างผิดปกติ ด้านหัวเมืองอี่เทียนเสียงนั้นสะท้อนไปมาไม่หยุด ทำให้ เผ่าพันธุ์มนุษย์กว่าครึ่งล้วนได้ยินชัดเจน
อรหันต์ชิงหลงเมื่อได้ฟัง สีหน้าก็บิดเบี้ยวไม่น่าชม ครางเสียง หึ ในลำคอ ก่อนตอบเสียงตะคอกอย่างไม่ต้องคิดว่า
“เหอะ ข้าไม่เคยคิดอยากเป็นส่วนหนึ่งของเผ่ามาร ท่านไม่ต้องเสียเวลาหรอก ข้าเองต่อให้ต้องสิ้นลมไปในสงครามนี้ ก็ไม่มีทางยอมแพ้ไปเป็นคนต่างเผ่าพันธุ์แน่นอน”
คำกล่าวเหล่านี้ อรหันต์ชิงหลงเอ่ยออกมาอย่างฮึกเหิมผิดปกติ ทำให้เผ่ามนุษย์จำนวนไม่น้อยที่ได้ยินคำกล่าวนี้รู้สึกฮึกเหิมมากขึ้นนัก
“ดี ดีนัก เดิมทีข้าเองเห็นว่าเจ้านั้นยังมีความสามารถอยู่หลายส่วน เดิมอยากจะไว้ชีวิตเจ้าสักคน ในเมื่อเจ้านั้นดื้อด้านไม่ปรับตัว อย่างนั้นก็จงรอคอยเวลาแห่งความตายนี้เถอะ” วีรบุรุษเกราะดำเมื่อได้ฟัง ในใจโกรธเกรี้ยวยิ่งนัก แต่สีหน้ายังคงยกยิ้มด้วยสีหน้าอึมครึม
หลังจากนั้นก็เห็นว่าเขาก็สะบัดชายผ้าก่อนมุ่งหน้าไปยังที่สูงขึ้นไป
หลังจากเกิดเสียง “ปัง” สามครั้ง ดวงไฟสีเขียวสามดวงถูกยิงออกไปจากที่นั่น มันสว่างวาบก่อนจะหายไป ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าที่อยู่สูงขึ้นไปกว่าพันจั้ง ก่อนเกิดเสียงระเบิดเสียงดำและระเบิดออก
เปลวเพลิงสีเขียวสามก้อนปรากฏเคว้งบนท้องฟ้าในทันที และระเบิดออกเป็นเปลวไฟที่แสบตา
ทะเลมารที่อยู่ด้านหลังของวีรบุรุษเกราะดำจู่ๆ ก็บังเกิดเสียงดังมากออกมาติดๆ กัน เรือรบขนาดยักษ์ที่ยาวกว่าพันจั้งแต่ละลำทยอยบินลอยออกมาจากทะเลมาร และประตูใหญ่หลายบานก็เปิดออกพร้อมๆ กัน สัตว์ประหลาดเผ่ามารชั้นต่ำหลายทัพก็พุ่งออกมาหนาแน่นเต็มไปหมด
ในขณะเดียวกันจอมมารที่ขี่สัตว์ประหลาดเผ่ามารประเภทต่างๆ ต่างก็สวมใส่ชุดเกราะอยู่แต่ละกองทัพก็ติดตามเรือรบมาอย่างกับกระแสน้ำ
แต่เพียงชั่วเวลาไม่กี่ลมหายใจ ทั่วทั้งท้องฟ้าราวกับถูกสัตว์ประหลาดเผ่ามารชั้นต่ำและพลทหารขี่คชสารยึดครองเอาไว้เสียแล้ว ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดฟ้ามัวดิน จำนวนนั้นมากกว่าที่หานลี่เคยพบเจอในครั้งก่อนมากนัก แทบจะนับไม่ถ้วนเลยทีเดียว
และในครั้งนี้ ภายใต้การสั่นสะเทือนเล็กน้อยของเรือยักษ์ลำนั้น จำนวนของสัตว์ประหลาดเผ่ามารชั้นยอดที่ถูกปลดปล่อยออกมากลับมีถึงสามร้อยกว่าตัว ในนั้นนอกจากสัตว์ประหลาดเผ่ามารที่หน้าตาคล้ายแรดยักษ์ที่เคยเห็นในครั้งก่อนแล้ว ยังมีสัตว์ประหลาดเผ่ามารขั้นสูงที่ดูเหมือนจะน่ากลัวยิ่งกว่ามากอีกหลายตัว
ในนั้นพวกมันมีสัตว์ประหลาดยักษ์ที่คล้ายตั๊กแตนตำข้าวที่มีการขยายหลายเท่าตัวและนกรูปร่างประหลาดไม่ทราบชื่อที่มีขนนกหลากสีสัน
ในส่วนของสัตว์ประหลาดเผ่ามารประเภทสุดท้าย กลับทำให้ผู้คนที่มองอกสั่นขวัญผวา มันคือสัตว์ประหลาดน่ากลัวที่ตัวเป็นมังกร
สถานการณ์ตรงหน้าวุ่นวายยิ่งนัก มีสัตว์ประหลาดเผ่ามารรูปกายดูคล้ายชายที่เป็นคนป่าคนหนึ่ง แต่ตั้งแต่ลำคอลงไปกลับเป็นร่างมังกรขนาดยักษ์สีม่วงเข้มที่มีเกล็ดเต็มร่างกายไปหมด และมีกลิ่นคาวกระจายออกมาเรื่อยๆ
สัตว์ประหลาดเผ่ามารสุดยอดที่ปรากฏขึ้นมาใหม่ทั้งสามชนิดนี้ ถือว่าจำนวนของแมลงคล้ายตั๊กแตนยักษ์นั้นมีมากที่สุด มีถึงสองร้อยกว่าตัว รองลงมาก็คือแรดยักษ์นั้นที่ท่าทางจะมีถึงเจ็บสิบแปดสิบตัว กลับเป็นมังกรยักษ์เหล่านั้นและคนครึ่งมังกรที่มีจำนวนน้อยที่สุด นกยักษ์มีสามสิบกว่าตัว คนครึ่งมังกรมีเพียงสามคนเท่านั้น
ภายใต้การนำของสัตว์ประหลาดเผ่ามารขั้นสุดยอด สัตว์ประหลาดเผ่ามารชั้นต่ำเหล่านั้นอ้าปากคำราม และทยอยพุ่งตรงไปยังเมืองอี่เทียนราวกับตั๊กแตน
พร้อมกันกับเสียงคำรามของเรือรบยักษ์ก็ดังขึ้น ลำแสงสีดำต่างก็ถูกปล่อยทีละดวงเพื่อปกปิดการโจมตีของสัตว์ประหลาดเผ่ามาร
ในส่วนของจอมมารเหล่านั้น ครั้งนี้กลับมารวมตัวกันเป็นเขตอาคม ต่างก็ตามติดอยู่ด้านหลังของกองทัพสัตว์ประหลาดเผ่ามารไม่ห่างแม้แต่ก้าวเดียว
พวกมันต่างก็ตื่นเต้นและกระหาย สีหน้าปรากฏเจตนากระหายเลือดและการเข่นฆ่าออกมา
ในส่วนของผู้อาวุโสมารที่ภาพลักษณ์น่าประหลาดอย่างที่สุดเหล่านั้น กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอยในตอนนี้ ราวกับยังคงซ่อนตัวอยู่ในทะเลมารยังไม่ออกมาเสียอย่างนั้น
แต่นอกจากทหารขี่ช้างแล้ว ท่ามกลางทะเลมารนั้นยังปรากฏมือฉกาจเผ่ามารออกมาอีก
กองทัพเผ่ามารแต่ละตนมีความสูงสี่ถึงห้าจั้งเลย มือทั้งสองข้างเรียวแหลมอย่างใดเทียบได้ ใบหน้าสีเขียวฟันแหลมคม น่ากลัวราวกับปีศาจที่ชั่วร้าย แต่กลับสวมใส่อาภรณ์ยาวสีเขียว และบนศีรษะกลับมีดวงตาสีเขียวเพิ่มมา แฝงกายอยู่ในพลทหารขี่ช้างด้วยมือเปล่า
จำนวนของเผ่ามารนี้แม้ว่าจะมากกว่าสงครามเจียหลุนมากหน่อย แต่ไม่ได้เยอะไปมากเท่าใดนัก ทั้งหมดรวมกันแล้วดูเหมือนจะไม่ถึงสามหมื่นคนเลย ต่างก็เป็นประกายสีเขียววูบวาบ สีหน้ายกยิ้มอย่างน่าประหลาด
เมื่อเห็นว่ากองทัพมารเคลื่อนพลพร้อมกัน ราวกับท่าทางน่าเกรงขามนั้นมิได้หลงเหลือแรงเหลือใดใดไว้เลย อรหันต์ชิงหลงและคนอื่นๆ แน่นอนว่าสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
แต่อีกฝ่ายราชามารนั้นยังไม่ได้ลงมือ แน่นอนว่าพวกเขาไม่อาจเผชิญหน้ากับกองทัพเผ่ามารได้แน่นอน
แทบจะไม่ต้องให้พวกเขาออกคำสั่งเลย ผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูงทางเหนือของเมือง ก็ทยอยส่งมอบคำสั่งไปยังแต่ละกองทัพของเผ่าพันธุ์มนุษย์ต่อไป
ขณะนี้บนเรือยักษ์ได้พ่นลำแสงสีดำออกมา มันกะพริบอยู่ไม่กี่ครั้งก็ตกลงบนเขตป้องกันของเมื่ออี่เทียนอย่างมืดฟ้ามัวดินเลย
เมื่อเทียบกับการโจมตีในเมืองครั้งก่อน เรือยักษ์เหล่านั้นที่พ่นลำแสงสีดำออกมาไม่เพียงแต่มีความหนาหลายรอบ ทั้งยังพ่นออกมาต่อเนื่องไม่หยุดเลย
พลังที่แอบซ่อนอยู่ในลำแสงนี้ แทบจะไม่ด้อยกว่าพลังของระดับเทพแปลงเลย
พลังที่แข็งแกร่งเยี่ยงนี้ เมื่อรวมกับจำนวนที่น่ากลัวเหล่านี้เข้าไปอีก ก็แทบจะเป็นการพบปะหน้ากัน การป้องกันชั้นนอกสุดนั้นต่างเริ่มทยอยละลายและแตกหักลง
เขตต้องห้ามของทั้งเมืองอี่เทียน ก็ปรากฏสถานการณ์ที่ต้านทานไม่ไหวออกมา
หานลี่เมื่อเห็นสถานการณ์นี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยคำใดออกมากับคนผู้นั้น สถานที่บางแห่งที่ด้านใต้ของเมืองอี่เทียนก็ปรากฏสถานการณ์ร้ายแรงนับร้อยที่แตกต่างกัน การปรากฏขึ้นของคลื่นเขตอาคมได้กลายเป็นพลังลึกลับที่มุ่งหน้าออกไปรอบด้านอย่างบ้าคลั่ง
กำแพงขนาดใหญ่ของเมืองอี่เทียนส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว และจากนั้นก็เกิดตัวอักษรสีเงินที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนก็ปรากฏขึ้นบนพื้นผิวเต็มไปหมด จนกลายเป็นรูปภาพเขตอาคมที่สว่างจ้าหลายรูป
เกิดแสงสว่างวาบขึ้น!
ม่านแสงห้าสีก่อนหน้า ถูกแทนที่ด้วยแสงโอบล้อมสีเงินทันที
แสงที่ปกคลุมนี้พื้นผิวแวววาวและเรียบลื่นนัก!
ลำแสงสีดำที่ส่งออกมาจากเรือยักษ์เผ่ามารโจมตีไปด้านบน แทบจะทั้งหมดได้หายไปรอบด้านแทบจะทันที มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่โจมตีไปยังแสงที่ปกคลุมนั้นได้จริงๆ แต่อย่างมากก็ทำได้เพียงทำให้เกิดแสงวูบวาบเท่านั้น แทบจะทำอันตรายอะไรมันไม่ได้เลย
ครานี้ ไม่เพียงแต่หานลี่ที่เบาใจ เซียนหยินกวงที่อยู่ด้านข้างก็แทบจะมีอารมณ์เบิกบานปรากฏบนสีหน้าเลยทีเดียว
ในตอนนี้เอง เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่อยู่อีกด้านที่อยู่ภายใต้การกำกับของผู้บำเพ็ญเพียรชั้นสูง นักรบเผ่าพันธุ์มนุษย์และกองทัพใหญ่ของผู้บำเพ็ญเพียรก็ได้เปิดฉากโจมตีครั้งใหญ่ขึ้นมาพร้อมกัน
ในเวลาเดียวกัน พื้นดินด้านหน้ากำแพงเมืองก็พังทลายลง และกองทัพใหญ่หุ่นเชิดใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
แทบจะเทียบเท่าได้กับการโจมตีเมืองคราก่อนเลย เพียงแต่ครั้งนี้ยอดฝีมือที่ทั้งสองฝ่ายคัดสรรมาและระดับความรุนแรง มากกว่าครั้งก่อนหลายเท่านัก
แสงสว่างแห่งบนท้องฟ้าสาดส่องท้องฟ้าไม่หยุดหย่อน และพื้นดินก็สั่นสะเทือนราวกับท้องฟ้าและแผ่นดินแตกร้าวออกจากกัน
ภายในระยะสิบลี้ที่อยู่ด้านหน้ากำแพงเมือง ได้กลายเป็นสนามนองเลือดไปอย่างสิ้นเชิง กลุ่มแสงหนาแน่นระเบิดกระจายออก ราวกับต้องการจะปกคลุมไปทั่วทั้งดินแดน เสียงคำรามดังไปทั่วท้องฟ้า และกลิ่นที่ปนเปื้อนไปด้วยโลหิตก็ปกคลุมความว่างเปล่าเอาไว้ทั้งหมด
“สหายชิงหลง กล้ามาต่อกรกับข้าหน่อยหรือไม่”
ในขณะที่อรหันต์ชิงหลงกำลังสีหน้าจดจ่อกับทุกอย่างที่อยู่บนสนามรบนั้น จู่ๆ ก็มีเพียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังมาตากท้องฟ้าสูงที่อยู่ไกลออกไป หลังจากเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวขึ้นมองครั้ง พายุสีดำสองลูกพุ่งไปที่กำแพงแห่งหนึ่งในแนวนอน และมันกลับมุ่งตรงไปโจมตีแค่จุดจุดเดียว แสงสว่างสีเงินที่ปกคลุมผืนนั้นเกิดแสงวูบวาบแสดงท่าทีไม่มั่นคงปรากฏขึ้นมาทันที
เป็นวีรบุรุษเกราะดำผู้นั้นที่กำลังกวัดแกว่งค้อนยักษ์สองด้ามนั้นอยู่ เขากำลังทำลายเขตต้องห้ามทางหัวเมืองอย่างบ้าคลั่งนั่นเอง