คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1911 สงครามเมืองอี่เทียน (5)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1911 สงครามเมืองอี่เทียน (5)
อักขระโบราณคำว่า “โล่” “ดีด” “สะท้อนกลับ” ปรากฏออกมา ดอกบัวสีดำเปลี่ยนแปลงไปกลางอากาศ กลายเป็นม่านลำแสงสีดำชั้นหนึ่ง มีลำแสงแวววาวหมุนวนโคจรไปมา
ยอดเขาเทวะดูดปราณที่แต่เดิมกำลังกดลงมาปะทะกับม่านลำแสงสีดำ พริบตานั้นพลังจากการลดระดับลงมาก็แทบจะไร้น้ำหนัก หยุดชะงักเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะถูกดีดกลับไปด้านบน
ส่วนพริบตาที่ประจุไฟฟ้าสีทองเหล่านั้นและเงากระบี่สีเขียวสัมผัสกับม่านลำแสงสีดำ ม่านลำแสงก็มีประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนและเงากระบี่แหลมคมทะลักออกมา แต่แค่เป็นสีดำราวกับน้ำหมึก หลังจากที่ทั้งสองสัมผัสกันก็เกิดเสียงดังสนั่น การโจมตีทั้งหมดสลายหายไป
คาดไม่ถึงว่าม่านลำแสงนี้จะมีพลังในการคัดลอกและสะท้อนกลับราวกับกระจก!
จะมีสมบัติที่เหนือชั้นเช่นนี้ได้อย่างไร!
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันตกตะลึง แต่ในใจก็อดที่จะไม่เชื่อถือไม่ได้ มือจึงร่ายอาคมตามจิตสำนึก ยกเท้าขึ้นชี้ไปที่ยอดเขาสีดำอีกครั้ง
หมอกลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งทะลักออกมาจากใต้ฝ่าเท้า แล้วบรรจุเข้าไปในภูเขาเทวะดูดปราณ
ชั่วขณะนั้นยอดเขาพลันส่งเสียงฟ้าร้องออกมาแล้วกดตัวลง อักขระสีเงินยักษ์สองสามตัวเปล่งแสงออกมาจากผิวของยอดเขาสีดำ หมอกลำแสงสีเทาเจิดจ้า ทำให้หมอกสีเทาเหล่านั้นแข็งตัว คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเส้นไหมลำแสงสีเทาจำนวนมาก
เสียงแหวกอากาศพลันดังขึ้น!
เส้นไหมสีเทาสั่นไหว พุ่งลงมาด้านล่างราวกับพายุฝน
ส่วนยอดเขาสีเขียวอีกลูก ก็ทุบลงมาอีกครั้งอย่างรุนแรงภายใต้การกระตุ้นของหานลี่ อานุภาพย่อมเหนือกว่าครั้งก่อน!
หญิงงามวัยกลางคนกลับหัวเราะอย่างเย็นชาโดยไม่สนใจเลยสักนิด แค่อ้าปากออกพ่นหม้อยักษ์สีม่วงออกมาใส่ไอมารบริสุทธิ์อีกครั้ง
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ฉากเช่นเดียวกันก็ปรากฏขึ้น
ไม่เพียงยอดเขาสองลูกที่ไร้ผลแล้วถูกดีดออกอีกครั้ง เส้นไหมสีเทาที่ดูเหมือนทองคำและก้อนหินแตกละเอียด ก็ถูกม่านลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากเส้นไหมลำแสงสีดำ ทยอยกันสลายหายไป
ยอดเขายักษ์ด้านล่างกลายเป็นเกราะป้องกัน คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนว่าจะฟื้นฟูและสะท้อนกลับการโจมตีทั้งหมดได้ก็ไม่ปาน
นี่จึงทำให้หานลี่รู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
และในยามนั้นบุรุษชุดผ้าไหมสีเงินก็ลงมือ
เห็นเพียงเขาแค่ชี้ไปที่หอคอยเจ็ดสีตรงหน้า หอคอยยักษ์เจ็ดชั้นส่งเสียงอึกทึกแล้วกลายเป็นเสาลำแสงหนาๆ พวยพุ่งขึ้นบนไปท้องฟ้า เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
หานลี่ที่ยืนอยู่เหนือยอดเขายักษ์ไปพันจั้ง กลับสัมผัสอันใด จึงเงยหน้าขึ้นกวาดตามองไปกลางอากาศด้วยหน้าที่เปลี่ยนสี
เห็นเพียงกลางอากาศเหนือขึ้นไปหมื่นจั้งมีหมอกเจ็ดสีปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ท่าทางดูไม่ใหญ่โต แต่เมื่อมันร่อนลงมา ก็บดบังท้องฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
หานลี่พลันตกตะลึง สองมือกวักออกไปอย่างไม่ต้องขบคิด เก็บยอดเขาสองลูกเข้ามาในร่าง ในเวลาเดียวผิวก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป
แม้จะไม่รู้ว่าหมอกเจ็ดสีนี้มาจากที่ใด แต่เขาไม่ยอมให้เจ้าสิ่งนี้ร่อนลงมาห่อหุ้มตนแน่
แต่ในยามนั้นเอง หญิงงามวัยกลางคนที่อยู่ด้านล่างกลับเอ่ยด้วยเสียงเย็นชา
“คิดจะหนียามนี้สายไปแล้ว หยุดเดี๋ยวนี้!”
สิ้นเสียงอาคมในมือของสตรีผู้นี้ก็เปลี่ยนไปกระตุ้นหม้อสีม่วง
อักขระสีดำบนปากหม้อยักษ์เปลี่ยนไป คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นคำว่า “ดูด”
หานลี่รู้สึกเพียงว่าร่างกายหนักอึ้ง พลังแรงดูดที่ไม่อาจต้านทานได้แผ่ลงมาจากด้านล่าง ลำแสงหลีกหนีหยุดชะงัก คาดไม่ถึงว่าจะถูกทำให้นิ่งค้างอยู่กลางอากาศ แล้วปรากฏร่างอีกครั้ง
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี ปากพลันร้องตะโกนต่ำๆ ออกมา แผ่นหลังมีลำแสงสีทองสว่างวาบ เงาลวงตาสามเศียรหกกรพลันปรากฏขึ้น
เงาลวงตาสามเศียรหกพลันโบกสะบัดมือ ชั่วขณะนั้นกลิ่นอายที่น่าตกตะลึงพลันแผ่ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะทำให้พลังแรงดูดด้านล่างไม่อาจดิ้นรนได้
ผิวของหานลี่มีลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วพุ่งออกไปอีกครั้ง
ในยามนั้นเองหมอกลำแสงเจ็ดสีที่อยู่กลางอากาศพลันสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น ยอดเขายักษ์ค้ำฟ้าสูงหมื่นจั้งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วทุบลงมาจากหมอกลำแสง
แม้ว่าหานลี่จะมีความเร็วที่น่าตกตะลึง แต่ก็ไม่อาจหลบหลีกได้ รู้สึกเพียงว่าตรงหน้าสว่างจ้า ลำแสงเจิดจ้าจนแสบตา ร่างคนปรากฏขึ้นกลางอากาศอีกจุดหนึ่ง
ด้านบนไปไม่ถึงฟ้า ด้านล่างไปไม่ถึงดิน รอบด้านล้วนเป็นม่านลำแสงแวววาวที่งดงามยิ่ง!
มองได้ไม่นาน ราวกับว่าเพิ่งจะมีประสบการณ์อย่างไรอย่างนั้น หานลี่พลันกะพริบตาปริบๆ มุมปากอดที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมาไม่ได้!
“สมบัติเขาพระสุเมรุ คาดไม่ถึงว่าจะพบกับสมบัติประเภทนี้! ดูแล้วครั้งนี้ คงยุ่งยากไม่น้อยจริงๆ”
หานลี่เอ่ยพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็สัมผัสอันใดได้ เลิกคิ้วขึ้นมองไปยังทิศทางหนึ่ง
ครู่ต่อมาทางนั้นพลันมีหมอกลำแสงเจ็ดสีพลันเปล่งแสงสว่างวาบ อสูรมารขนาดยักษ์สีดำพลันเดินออกมาทีละตัวๆ อย่างเงียบเชียบ
มองไปปราดเดียวก็หนาแน่นไปหมด ราวกับมีนับพันนับหมื่นตัวก็ไม่ปาน!
รูม่านตาของหานลี่หดเล็กลง สะบัดแขนเสื้อทั้งสองข้างอย่างไม่ต้องขบคิด กระบี่เล่มเล็กสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มทะลักออกมาอีกครั้ง พลิ้วไหวแล้วกลายเป็นกระบี่ลำแสงสีเขียวสองสามร้อยสาย และหมุนวนเริงระบำอยู่ตรงหน้า…
ด้านนอกหอคอยเจ็ดสี บุรุษวัยกลางคนเห็นว่าจะห่อหุ้มหานลี่เข้ามาในหอคอยยักษ์ ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา แล้วกวักมือไปทางหอคอยยักษ์
ชั่วขณะนั้นหอคอยพลันรางเลือน ชั่วพริบตาก็หดเล็กลงยี่สิบสามสิบเท่า จนมีขนาดสิบจั้งเศษอีกครั้ง
จากนั้นบุรุษชุดผ้าไหมสีเงินก็หันไปเอ่ยกับหญิงงามที่อยู่ด้านข้าง
“ข้ากักเจ้าเด็กนี้ไว้ในสมบัติแล้ว แต่อาศัยแค่เขตอาคมจับตัวเขา เกรงว่าคงต้องใช้เวลาไม่น้อย ศิษย์น้องหญิงเจ้าแอบเข้าไปรอหาโอกาสเถิด ข้าจะกระตุ้นเขตอาคมอยู่ด้านนอก ต้องลงมือพร้อมกันจะได้ไม่เกิดความผิดพลาดและสิ่งที่คาดไม่ถึง ทว่าเจ้าต้องระวัง อย่าถูกคนผู้นี้ทำร้าย”
“ศิษย์พี่โปรดวางใจ! ข้ามีหม้ออักษรม่วงคุ้มครอง อาศัยเพียงอิทธิฤทธิ์ของเขา ย่อมทำร้ายข้าไม่ได้แม้แต่ปลายผม เรื่องนี้มอบให้ข้าเถิด” หญิงงามหัวเราะหึๆ พลางชี้ไปที่หม้อยักษ์สีม่วงตรงหน้าอย่างไม่สนใจเลยสักนิด
ชั่วขณะนั้นหม้อใบนี้พลันส่งเสียง “สวบ” ออกมา แล้วกลับมามีขนาดเท่าเดิมและถูกหญิงสาวผู้นี้ดูดเข้าไปในร่าง
บุรุษวัยกลางคนพยักหน้าไม่ได้เอ่ยอันใดอีก สะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่งไปทางหญิงงาม
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงเจ็ดสีพลันหมุนวนออกมา หลังจากที่หญิงงามถูกกวาดเข้าไปข้างใน ก็กลายเป็นพายุหมุนแล้วสลายหายไป
บุรุษวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็โบกสะบัดมือทั้งสองทันที ธงอาคมจานอาคมต่างๆ บินว่อนออกมา หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็กลายเป็นเขตอาคม ไอสีขาวที่ทะลักออกมาห่อหุ้มหอคอยเจ็ดสีและเขาเอาไว้ข้างใน
จากนี้มารตนนี้ก็ไม่สนใจสถานการณ์ของสหายร่วมวิถีคนอื่นๆ ว่าจะเป็นอย่างไร หลับตาทั้งสองข้างนั่งขัดสมาธิอยู่ในเขตอาคม กระตุ้นสมบัติอาคมตรงหน้าเต็มกำลัง
กลุ่มการต่อสู้อื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไป ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์เผ่ามนุษย์เองก็สนใจสถานการณ์เมื่อครู่ทั้งหมด ย่อมดีใจแล้วตกตะลึง
ดีใจก็คือหานลี่แค่ลงมือก็สังหารจอมมารตนหนึ่งได้
ตกตะลึงก็คือคาดไม่ถึงว่าเผ่ามารจะมีจอมมารระดับผสานอินทรีย์โผล่มาเพิ่มอีกสองตน ภายใต้การร่วมมือกันนั้นก็กดเขาเข้าไปในสมบัติอาคมโดยไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย?
อรหันต์ชิงหลงที่กลายเป็นมังกรสีเขียวเผชิญหน้ากับชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำ แม้ว่าจะยังคงไม่มีท่าทีตกเป็นรองเลยสักนิด แต่ในใจกลับร้องว่าแย่แล้วไม่หยุด
ก็เหมือนกับที่ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ จากพลังปราณของเขาเดิมย่อมไม่อาจสำแดงอิทธิฤทธิ์อย่างการกลายร่างเป็นมังกรที่น่าอัศจรรย์ได้ อาศัยเพียงเคล็ดวิชาลับฝืนกระตุ้นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ถึงได้พอสำแดงออกมาได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจรักษาสภาพได้นานนัก
เขาและหลินหลวนพากันเลือกคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดสองตนในบรรดาสี่ตน แน่นอนว่าย่อมคิดว่าจะให้หานลี่และพวกทั้งสองสังหารคู่ต่อสู้ก่อน จากนั้นค่อยมาร่วมมือกันจัดการสองจอมมารที่เหลือ
ถึงอย่างไรเสียหานลี่ก็เคยใช้พลังต้านทานกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายได้ เขาเคยได้ยินมากับหู จึงคาดหวังกับเขาไม่น้อย
แต่เมื่อเห็นว่าหานลี่ถูกจอมมารเผ่ามารที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่กักเอาไว้ในสมบัติ แผนนี้ย่อมตกไป
อรหันต์ชิงหลงหาเวลากวาดตาไปยังการต่อสู้อีกสองแห่งแวบหนึ่ง แล้วรู้สึกจิตใจหนักอึ้งยิ่งกว่าเดิม!
หลินหลวนที่แต่เดิมเป็นฝ่ายได้เปรียบ หลังจากถูกชายหนุ่มชุดขาวปล่อยดาบบินสีขาวหิมะสิบสามเล่มออกมารวดเดียว ผึ้งเพลิงสามสีที่ปรากฏขึ้นได้รับบาดเจ็บ กลับถูกดาบบินปล่อยพลังเย็นเยียบออกมาควบคุมเอาไว้
เซียนหยินกวงที่อยู่อีกด้านดูท่าสถานการณ์ไม่ดี คาดไม่ถึงว่าจะถูกหมอกสีชมพูเจ็ดแปดลูกกลายเป็นวานรมารสี่แขนโจมตีไม่หยุดราวกับพายุฝน ท่าทางแค่ฝืนประคับประคองเอาไว้ได้เท่านั้น
ชั่วขณะนั้นอรหันต์ชิงหลงพลันร้อนใจเป็นอย่างยิ่ง ความคิดมากมายโคจรอยู่ในหัว ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำที่กลายเป็นมังกรวารีสีเขียวโจมตีอย่างบ้าคลั่งโดยไม่เสียดายพลังปราณแท้ คาดไม่ถึงว่าจะบีบให้อีกฝ่ายล่าถอยไป
ยามที่ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำกำลังตกตะลึงนั้น มังกรสีเขียวกลับหันหน้าไป ตะโกนไปทางเมืองด้วยภาษามนุษย์
“ลงมือเดี๋ยวนี้ ปล่อยสิ่งนั้นออกมา!”
สิ้นเสียง ทางหัวเมืองก็มีมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรรับคำอย่างนอบน้อมทันที
จากนั้นคนผู้นี้ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว แผ่นป้ายสีทองเงินปรากฏขึ้น บรรจุพลังปราณเข้าไป พลิ้วไหวอยู่กลางอากาศ
ชั่วขณะนั้นเสาลำแสงสีทองและเงินก็พ่นออกมาจากแผ่นป้าย และพลิ้วไหวจนมีขนาดหนาเท่าปากชาม แล้วพุ่งไปเหนือเมฆ ไม่ยอมสลายหายไป!
ราวกับสอดประสานกัน หลังจากผ่านไปแค่สองสามชั่วลมหายใจ เสาลำแสงเก้าสีที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วก็ส่งเสียงร้องหึ่งๆ แล้วพุ่งออกไปนอกเขตอาคม ทุกสายมีขนาดเท่ากับถังน้ำ และยิ่งไปกว่านั้นยังมีอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนไหลเวียนไปมา
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น!
ยอดเขามีหมอกลำแสงหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะมีผู้บำเพ็ญเพียรชุดขาวปรากฏออกมาเสาลำแสงละคน
เก้าคนนี้ทุกคนล้วนถือธงอาคมสีเหมือนกับเสาลำแสงเอาไว้ พลางบริกรรมคาถาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เสาลำแสงเก้าเสาส่งเสียงหึ่งๆ ดังลั่น และหมุนวนอย่างรวดเร็ว
ทุกการหมุนหนึ่งครั้ง เสาลำแสงจะใหญ่ขึ้นหนึ่งส่วน
ผ่านไปแค่สองสามชั่วลมหายใจ เสาลำแสงสองสามสายก็ขยายใหญ่ขึ้น และรวมตัวกันที่ตรงกลางอย่างรวดเร็ว
ทั้งเก้าผสานกัน เสาลำแสงเก้าสายขยายใหญ่มหึมา ด้านในมีอักขระยันต์หลากหลายชนิดปรากฏขึ้นรางๆ พลางเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
ท่าทีน่าตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
และในยามนั้นผู้บำเพ็ญเพียรสวมชุดสีขาวกลับร้องตะโกนเสียงต่ำๆ ออกมา โยนธงอาคมในมือไปในเสาลำแสงพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ส่วนตัวเองกลับบินหนีไปที่พื้นดินด้วยความร้อนรน
ธงด้ามเล็กเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในเสาลำแสง เสียงอึกทึกดังสนั่นขึ้นราวกับฟ้าผ่า
อักขระยันต์ทั้งหมดผนึกรวมตัวกัน กลายเป็นเขตอาคมอักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนบนผิวของเสาลำแสง ทุกตัวเปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตา บินมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น เสาลำแสงทั้งหมดก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ!