คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1914 สงครามเมืองอี่เทียน (8)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1914 สงครามเมืองอี่เทียน (8)
ผู้ที่มีพลังยุทธ์ต่ำที่สุดในบรรดามารสงครามเจียหลุนเหล่านี้ก็มีพลังยุทธ์ระดับเทพแปลง ประกอบกับการฝึกฝนเคล็ดวิชามารที่ร้ายกาจหนึ่งต่อหนึ่งของเผ่ามาร แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาจะต่อกรได้
แต่ความวุ่นวายบนหัวเมืองไม่ได้ดำเนินการไม่นานเท่าไหร่ หลังจากเสียงฆ้องทองแดงดังขึ้นเบาๆ ฉับพลันนั้นก็มีลำแสงหลีกหนีสองสามพันสายพุ่งออกมาจากสิ่งปลูกสร้างบริเวณรอบ ทุกสายเปล่งแสงเจิดจ้าสว่างวาบแล้วทยอยกันกลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงสวมชุดอาภรณ์หลากหลาย รับการโจมตีจากมารสงครามเจียหลุนกลุ่มละสองคนบ้างสามคนบ้าง
มารสงครามเจียหลุนปกติก็ช่างเถิด อาศัยเพียงการร่วมมือกันของผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงของเผ่ามนุษย์ ก็พอจะต้านทานการโจมตีของมารสงครามเหล่านี้ไปได้
แต่มารยี่สิบสามสิบตนที่มีอิทธิฤทธิ์เหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันกลับโหดเหี้ยมมาก แม้ว่าสองสามคนร่วมมือกันก็ถูกมารสงครามเหล่านี้โจมตีจนแหลกลาญ คาดไม่ถึงว่าจะสังหารไปเป็นทางพลางพุ่งไปเมืองอี่เทียน
ในยามนั้นเองผู้ที่เข้าใกล้กำแพงเมืองพลันเกิดการสั่นเทาอย่างรุนแรง หุ่นเชิดยักษ์สีทองเรืองรองบินออกมาจากพื้นดินด้านล่างสามสิบสองตัว ในมือถืออาวุธต่างๆ เอาไว้ ขวางหัวหน้ามารสงครามเจียหลุนไว้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
สมบัติที่มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ บินว่อนทั่วท้องฟ้า เสียงระเบิดดังขึ้นไม่หยุด!
หุ่นเชิดสีทองเหล่านี้มีร่างกายที่แข็งแกร่งของสมบัติอาคม อาวุธในมือโบกสะบัดมีพลังฟ้าดินแฝงอยู่ ประกอบกับการไล่สังหารอย่างไม่หวาดกลัว ชั่วครู่ก็ขวางมารสงครามเจียหลุนเอาไว้จนไม่อาจแยกแยะได้!
ดูภาพรวมแล้วทั้งสนามรบย่อมเป็นเผ่ามารที่เป็นได้ฝ่ายเปรียบ แต่เผ่ามนุษย์ก็อาศัยเขตอาคมของเมืองอี่เทียน พอจะต้านทานการโจมตีที่บ้าคลั่งของเผ่ามารไปได้
ยามนี้ต้องดูว่าในการต่อสู้ของสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอด ฝั่งใดจะเป็นฝ่ายได้เปรียบ
และในยามนี้กองทัพเผ่ามารที่แปลกประหลาดกลุ่มนั้นก็กลายเป็นเมฆโลหิตหมุนวนอยู่กลางอากาศ อสูรคำรามสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่วท้องฟ้า และมีเสียงมนุษย์ร้องคำรามและเสียงร้องแหลมสูงดังขึ้นเป็นบางครั้งคราว
ยามนี้ไม่อาจมองสถานการณ์ไม่ออกว่าผู้ใดเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ
ส่วนเซียนหยินกวงและหลินหลวนที่อยู่อีกด้าน ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องของหญิงสาวและบุรุษชุดขาว กลับล่าถอยไปไม่ได้ ท่าทางไม่อาจต้านทานได้นานนัก
เผ่ามนุษย์ที่กำลังต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอด ดูเหมือนจะแย่แล้ว!
……
หานลี่โบกมือข้างหนึ่ง กระบี่บินสีเขียวเจ็ดสิบสองเล่มบินออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นดอกบัวสีเขียวเจ็ดสิบสองดอกพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า และหมุนไปด้านหน้า แล้วฉีกอสูรยักษ์สองหัวตรงหน้าเป็นชิ้นๆ
หานลี่ไม่เพียงไม่เผยรอยยิ้มออกมา กลับขมวดคิ้วเล็กน้อย
ตั้งแต่ที่เขาถูกสมบัติหอคอยเจ็ดสีดูดเข้ามาในห้วงเวลาประหลาด รัศมีลำแสงรอบด้านกลายเป็นอสูรประหลาดจำนวนนับไม่ถ้วน ทำการโจมตีไม่หยุด
อสูรเหล่านี้ไม่อาจสร้างความคุกคามแก่เขาได้ตั้งแต่แรก ถูกฝูงกระบี่สับลงมา แล้วสังหารไปจนเกลี้ยงอย่างง่ายดาย
แต่เมื่ออสูรเหล่านี้ถูกทำลาย อีกกลุ่มใหม่ก็เกิดขึ้นทันที ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่สิ้นสุด และไม่มีวันหมดสิ้น!
หานลี่กลับไม่ได้สนใจนัก ถึงอย่างไรเสียการที่ต้องติดอยู่ในสมบัติเขาพระสุเมรุ ก็ไม่ใช่ครั้งแรกสำหรับเขา จึงมั่นใจว่ารู้วิธีหนีออกไปจากสมบัติชิ้นนี้
ทันใดนั้นเขาก็ควบคุมกระบี่บินเจ็ดสิบเล่มไปพลาง ให้ฝูงอสูรไม่อาจเข้าประชิดตัวได้ตั้งแต่ต้นจนจบ เริ่มหารอยแยกของห้วงมิติเวลาไปพลาง แล้วใช้เคล็ดวิชาลับฝืนหนีออกมาจากรอยแยก
แต่หลังจากผ่านไปชั่วครู่เขาก็รู้สึกผิดปกติ
ห้วงมิติเวลานี้มีรัศมีลำแสงเจ็ดสีเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนกับป้อมกุญแจมารที่ไร้ขอบเขต คาดไม่ถึงว่าจะบินมาเนิ่นนานเพียงนี้ ก็ยังคงหาจุดสิ้นสุดไม่พบ
เขาพลันรู้สึกตกตะลึง แน่นอนว่าย่อมหยุดฝีเท้าแล้วเริ่มหาวิธีหนีแบบอื่น
“ดูแล้วคงมีเพียงต้องหาวิธีหารอยแยกของห้วงเวลานี้ ถึงจะมีโอกาสใช้พลังมหาศาลแหวกห้วงมิติเวลานี้ออกไปได้” หานลี่ครุ่นคิดชั่วครู่ ชั่วขณะนั้นพลันตัดสินใจ
ในยามนั้นเองรัศมีลำแสงเจ็ดสีรอบด้านก็เปล่งแสงสว่างวาบ อสูรประหลาดปรากฏขึ้นเป็นฝูงๆ
หานลี่แค่นเสียงอย่างเย็นชา กระบี่ตรงหน้าม้วนวน เงาดอกบัวสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนกวาดไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
ทุกแห่งที่เงาดอกบัวกวาดผ่านไป อสูรประหลาดที่กระโจนเข้ามาเหล่านั้นก็ทยอยกันร่างแหลกเหลว เหมือนกับอสูรแปลงกายก่อนหน้าก็ไม่ปาน ล้วนถูกสับสังหารไปจนเกลี้ยง
แต่หานลี่กลับมีสีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย และรู้สึกกังขาในใจ
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือไม่ อสูรประหลาดที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่เหล่านี้ ดูจะแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนการใช้กระบี่ฟันลงเช่นเดียวกัน จะต้องเสียพลังปราณมากกว่าตอนแรก
แม้ว่าจะแตกต่างกันเพียงเล็กน้อย แต่หากเป็นเช่นนี้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดล่ะก็ กลับจะทำให้เขาพบความยุ่งยากแล้วจริงๆ
ดูแล้วคงไม่อาจเสียเวลานานนักได้ ต้องรีบหนีออกไป
หานลี่ตัดสินใจ ทันใดนั้นก็ชี้นิ้วไปที่หว่างคิ้วอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ลำแสงสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา หมุนวนไปมา เนตรปีศาจสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกปรากฏขึ้น
นั่นก็คือเนตรทำลายล้าง!
เนตรปีศาจนี้ผ่านการบ่มเพาะในร่างกายของเขามาหลายปี จึงมีอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์ไม่น้อยแล้ว ครั้งนี้ต้องหารอยแยกที่อ่อนแอของห้วงเวลา ก็ได้ใช้อิทธิฤทธิ์ของเนตรวิญญาณนี้พอดี
หานลี่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมไม่หยุด ปากพลันบริกรรมคาถา ในที่สุดเนตรปีศาจตรงหว่างคิ้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ด้านในมีลำแสงสีดำเปล่งแสงสว่างวาบ และมีอักขระยันต์ไหลเวียนอยู่ภายในม่านตาไม่หยุด เผยความลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา
อักขระยันต์ในรูม่านตาขยายใหญ่ขึ้น เส้นไหมสีดำพ่นออกมาจากเนตรวิญญาณ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ
หานลี่กำลังจะหลับตาทั้งสองข้างลง เนตรวิญญาณสีดำที่สามกลับลืมตากลมโตขึ้น ร่างกายเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป
ทิศทางที่พุ่งไปก็คือทิศทางที่เส้นไหมสีดำหายวับไป!
ยามนี้รัศมีลำแสงตรงหน้าพลิ้วไหว อสูรประหลาดที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่เริ่มก่อตัวขึ้น และขวางทางเอาไว้
หานลี่ไม่ได้ลืมตา ดูเหมือนว่าจะยังคงเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างดี
คิ้วทั้งสองเลิกขึ้น ร่ายอาคมกระตุ้นในใจ กระบี่บินสีเขียวทั้งหมดส่งเสียงหึ่งๆ แล้วรวมตัวกันตรงหน้า แล้วพลันรางเลือน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวสับลงมาอย่างแรง
ลำแสงสีเขียวยาวร้อยจั้งเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสับออกมา ทุกแห่งที่กวาดผ่านไปอสูรประหลาดยังไม่ทันก่อรูปก็ทยอยกันแหลกสลายไป ท่ามกลางฝูงอสูรมีทางราบเรียบสายหนึ่งปรากฏขึ้น
พลังปราณในร่างของหานลี่ทะลักออกมา สายรุ้งสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งผ่านฝูงอสูร หลังจากกะพริบวาบๆ ก็หายวับไปจากขอบฟ้า
ยามนี้อสูรที่ก่อนตัวอย่างเงียบเชียบพลันส่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ แล้วไล่ตามไปด้านหลัง
หลังจากผ่านไปสองชั่วยามหน้าหอคอยยักษ์เจ็ดชั้นสูงสองสามร้อยจั้งแห่งหนึ่ง หานลี่ลืมตาขึ้นมองสิ่งมหึมาตรงหน้าอีกครั้ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและไม่อยากจะเชื่อ
หอคอยยักษ์ที่ดูเหมือนสร้างขึ้นจากก้อนหินธรรมดาๆ สีเทาขาว ยอดหอคอยมีลูกแก้วผลึกขนาดยักษ์ราวกับไข่มุกเม็ดหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
บนชั้นหนึ่งของหอคอยยักษ์ มีประตูหินสูงสิบจั้งบานหนึ่งกำลังปิดสนิทอยู่
ห่างจากเขา หานลี่อยู่ห่างออกไปสองสามลี้ เงาไม้บรรทัดสีเงินความยาวสองสามฉื่อจำนวนนับไม่ถ้วน กำลังตีอสูรประหลาดฝูงใหญ่จนแหลกละเอียดเป็นผุยผง แล้วกลายเป็นดวงลำแสงสลายหายไปจากกลางอากาศ
“คาดไม่ถึงว่าห้วงมิติเวลาที่นี่จะถูกซ่อนเอาไว้เป็นพิเศษ นี่เป็นวิธีการที่ชาญฉลาดจริงๆ เช่นนี้ต่อให้ทั้งๆ ที่รู้ว่าห้วงเวลาอยู่ที่ใด ก็จำใจต้องบุกออกไปแล้ว” หานลี่เอ่ยพึมพำแผ่วเบา พลิกฝ่ามือเงาไม้บรรทัดที่อยู่ไกลออกไปทยอยกันหม่นแสงแล้วสลายหายไป
ครู่ต่อมาฝ่ามือพลันมีลำแสงสีเงินสว่างวาบ ไม้สั้นสีเงินปรากฏขึ้นที่หว่างนิ้ว
หานลี่ชักสายตากลับมามองไปที่ลูกแก้วผลึกตรงยอดหอคอยยักษ์แวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นแววตาพลันเปล่งประกาย ไม้บรรทัดสีเงินในมือสับลงไปที่หอคอยยักษ์
กลางอากาศมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาไม้บรรทัดสีเงินสิบจั้งเศษปรากฏขึ้นเหนือหอคอยยักษ์ และสับลงมาอย่างแรง
เสียง “ฟุ่บ” ดังขึ้น!
ชั่วพริบตาที่เงาไม้บรรทัดสีเงินแทบจะสับลงมาบนลูกแก้วผลึก ผิวของหอคอยยักษ์ก็มีอักขระยันต์เจ็ดสีปรากฏออกมา พริบตาที่เงาไม้บรรทัดสัมผัสกับอักขระยันต์ลำแสงสีเงินก็พลิ้วไหวแล้วจมหายเข้าไปทันที
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี
นี่ไม่ใช่ว่าหากเขาสำแดงอิทธิฤทธิ์อันใดก็ทำให้การโจมตีหายไป และถูกอักขระยันต์เหล่านั้นดูดเข้าไปเหมือนเงาไม้บรรทัดเมื่อครู่หรอกนะ
“เป็นเช่นนี้ดังคาด! หอคอยนี้เป็นสมบัติหลอมด้านนอกปรากฏขึ้นด้านใน ไม่อาจทำลายจากด้านนอกได้” หานลี่เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา ท่าทางจนปัญญาเล็กน้อย
แต่ทันใดนั้นเขาพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนี ลอยไปที่ประตูหินด้านล่างหอคอยหิน
ยังไม่ทันได้เข้าใกล้จริงๆ หานลี่ก็ใช้มือหนึ่งตบไปกลางอากาศไปทางประตูหินบานนั้น
เสียง “ปัง” ดังขึ้น ฝ่ามือสีเขียวปรากฏออกมา และทุบลงมาที่ประตูหินอย่างแรง
เสียงอึกทึกดังขึ้น ประตูหินถูกผลักออกจากด้านนอกอย่างง่ายดาย ด้านในมีลำแสงสีขาวจางๆ แผ่ออกมา
หานลี่พลันตกตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากหน้าเปลี่ยนสีไปสองสามครั้ง เขากลับหยุดชะงักเล็กน้อย ขยับแล้วลอยเข้าไปในประตูด้วยท่าทีทระนงองอาจ
ด้านหลังประตูหินทางเดินหินสายหนึ่ง ตรงไปยังประตูหินอีกบานที่อยู่ไม่ไกลนัก
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ คิดจะใช้เนตรวิญญาณมองทะลุผ่านประตูหินที่อยู่ไกลออกไป
แต่เมื่อสายตาแทรกเข้าไปในประตูหินได้ไม่ถึงสองสามฉื่อ ก็มีลำแสงสีทองดีดกลับออกมา
เมื่อสัมผัสกับรูม่านตาก็รู้สึกถูกทิ่มแทง และยิ่งไปกว่านั้นพลังแรงดูดประหลาดยังดึงสายตาของเขาเข้าไปข้างใน จนไม่อาจถอนสายตาได้
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง!
แต่ถึงอย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดา แทบจะโคจรคาถาขับเคลื่อนอย่างรวดเร็วตามความรู้สึก พลังเย็นเยียบแผ่ออกมาที่ดวงตาทั้งสอง ฝืนชักสายตากลับมา และเงาสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้า ร่างสีเขียวต้านทานอยู่เบื้องหน้า แล้วถึงได้กั้นลำแสงสีทองเอาไว้ก่อนมาถึงตัวได้
ต่อให้เป็นเช่นนั้นแผ่นหลังของหานลี่ก็ยังมีเหงื่อกาฬผุดออกมา
เขตอาคมที่ร้ายกาจเช่นนี้ เขาเคยเห็นแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
แต่เช่นนี้การดูแคลนส่วนเล็กๆ ในใจของหานลี่ก็มลายหายไป
ส่วนร่างสีเขียวที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นนั้นย่อมเป็นร่างแยกของ ‘เห็ดเซียน’
เขาครุ่นคิดเล็กน้อย ไม่เพียงกระบี่บินเจ็ดสิบสองเล่มที่บินวนอยู่รอบด้าน แล้วสะบัดแขนเสื้อ แมลงวิญญาณลายสีม่วงสิบสองตัวส่งเสียงหึ่งๆ บินออกมาจากกำไลเก็บอสูรวิญญาณ ไม้บรรทัดสั้นสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
สิ่งที่มาแทนที่ก็คือภูเขาขนาดย่อมสีเขียวและสีดำ ถูกเขารับเอาไว้ตรงหน้า!