คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1917 สงครามเมืองอี่เทียน (11)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1917 สงครามเมืองอี่เทียน (11)
แมลงเกราะสิบสามตัวส่งเสียงร้อง กระโจนไปหาหุ่นเชิดโปร่งแสงสองตัว
หุ่นเชิดสองตัวกลับสะบัดแขนทั้งสี่ ร่างพุ่งไปด้านหลังพร้อมกัน
ไม่ใช่แค่นี้หุ่นเชิดสองตัวชูแขนทั้งสี่ไปทางแมลงวิญญาณพร้อมกัน ประจุไฟฟ้าสีเงินและหมอกลำแสงสีเหลืองม้วนวนออกมา
ประจุไฟฟ้าสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบตัดสลับกันไปมา ระเบิดเสียงอึกทึกออกมา ดูเหมือนว่าจะแฝงไว้ด้วยอานุภาพมหาศาล
ส่วนรัศมีลำแสงสีเหลืองกลับเงียบเชียบ ราวกับเมฆวารีไหลไม่สะดุดตาเลยสักนิด
แมลงเกราะลายสีม่วงเผชิญหน้ากับการโจมตีนี้ก็ไม่มีเจตนาจะหลบหลีกเลยสักนิด สยายปีกทั้งสองข้างออก แล้วแยกออกเป็นสองกลุ่มจมหายเข้าไปในประจุไฟฟ้าและรัศมีลำแสง
ชั่วพริบตานั้นประจุไฟฟ้าสีเงินพลันส่งเสียงเปรี๊ยะๆ ประจุไฟฟ้าสีเงินทั้งหมดระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ สายฟ้าเปล่งประกาย ดูเหมือนว่าแม้แต่บรรยากาศรอบๆ ก็ยังมีกลิ่นความไหม้เกรียมและร้อนระอุ
ในหมอกลำแสงสีเหลืองมีอักขระยันต์จำนวนมากปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มแมลงวิญญาณเอาไว้ข้างใน แล้วเปล่งแสงเจิดจ้า
รัศมีลำแสงนี้ดูเหมือนจะมีอานุภาพลึกลับบางชนิด
แต่แมลงเกราะลายสีม่วงสิบสามตัวก็เป็นราชาแมลงที่คัดเลือกมารอบสุดท้ายหลังจากที่หานลี่ให้แมลงกลืนทองสองสามหมื่นตัวกลืนกินกันเอง ไม่ว่าความแข็งแกร่งของร่างกายหรือว่าอิทธิฤทธิ์อื่นๆ ล้วนไม่สิ่งที่มีชีวิตธรรมดาจะเทียบเทียมได้
ไม่ว่าแมลงวิญญาณจะถูกสายฟ้าทำให้หลบหลีกไม่หยุดหรือถูกอักขระยันต์ในหมอกสีเหลืองห่อหุ้มเอาไว้ ก็ทำเหมือนมองไม่เห็นการต่อสู้เหล่านี้ ลายสีม่วงทั่วเรือนร่างกะพริบวาบๆ ไม่หยุด แล้วทะลวงผ่านสายฟ้าและหมอกลำแสงสีเหลือง ลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบอีกครั้ง แล้วมาอยู่ตรงหน้าหุ่นเชิดสองตัว เผยเขี้ยวแหลมคมออกมาพลางกระโจนไปอย่างโหดเหี้ยม
หุ่นเชิดโปร่งแสงสองตัวย่อมไม่มีความรู้สึกใดๆ เหมือนสิ่งมีชีวิตและไม่หวาดกลัวอันใด แค่มีลำแสงแวววาวหมุนวนโคจรรอบตัว มือหนึ่งมีใบมีดยาวโปร่งแสงปรากฏขึ้นสองเล่ม อีกมือหนึ่งมีทวนยาวสองจั้งเจ็ดสีปรากฏขึ้น
อาวุธทั้งสามชิ้นเริงระบำไปมา ชั่วขณะนั้นใบมีดลำแสงจำนวนนับไม่ถ้วนและทวนลำแสงเป็นรูปวง พลันปรากฏขึ้นเกลื่อนท้องฟ้า ม้วนเอาแมลงวิญญาณสิบสามตัวเข้าไปข้างใน
เสียง ‘เคร้ง’ ดังขึ้น แม้ว่าแมลงวิญญาณลายสีม่วงจะไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แต่ยามนั้นก็ไม่อาจเข้าใกล้หุ่นเชิดสองตัวได้
ยามนี้หานลี่ที่อยู่ไกลออกไปมองมาพอดี เมื่อเห็นฉากนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ร่างที่กลายเป็นวานรยักษ์ส่งเสียงหวีดร้องยาวๆ ออกมา ภูเขาเทวะดูดปราณที่เดิมถูกดีดไปบนที่สูงเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาเหนือหัวของหุ่นเชิดสองตัวก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ยอดเขาสีดำปรากฏออกมาหมุนคว้าง รัศมีลำแสงสีเทาแผ่ปกคลุมลงมา
หุ่นเชิดสองตัวกลับไม่หวาดกลัวเลยสักนิด ใบมีดในมือไม่หยุดการเคลื่อนไหว กลับเงยหน้าขึ้นอ้าปากพ่นไปยังที่สูง
หลังจากเสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น เสาลำแสงเจ็ดสีสองสายก็พุ่งออกมา โจมตีรัศมีลำแสงสีเทา
ในเวลาเดียวกันที่ทั้งสองตัดสลับกันไปมาแล้วระเบิดออก หมอกลำแสงหลากสีสันต่างก็ยืนกรานอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
แต่ในยามนั้นเองแผ่นหลังของวานรยักษ์ที่อยู่ไกลออกไปก็เกิดเสียงอึกทึกขึ้น ปีกอัสนีแวววาวคู่หนึ่งปรากฏออกมา เปล่งแสงสว่างวาบ ร่างอันใหญ่ยักษ์กลายเป็นประจุไฟฟ้าหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
แทบจะในเวลาเดียวกัน ด้านหลังของหุ่นเชิดโปร่งแสงสองตัวก็มีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น วานรยักษ์ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังตัดสลับกันไปมา ขยับแขนเล็กน้อย
เสียงอึกทึกดังขึ้น!
หน้าอกของหุ่นเชิดสองตัวมีลำแสงเจ็ดสีพลิ้วไหว กำปั้นที่มีขนปกคลุมสองข้างปรากฏขึ้น และแผ่ลำแสงสีทองแปลกประหลาดออกมา
คาดไม่ถึงว่าวานรยักษ์จะใช้ความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ใช้สองมืออันใหญ่ยักษ์โจมตีทะลวงร่างของหุ่นเชิดทั้งสอง
แม้ว่าหุ่นเชิดทั้งสองจะมีพละกำลังระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้บำเพ็ญเพียรใช้จิตสัมผัสควบคุม จึงไม่มีสติสัมปชัญญะ เมื่อเผชิญหน้ากับหานลี่ที่กลายร่างไป หลังจากที่รัศมีลำแสงเจ็ดถูกทำลาย ก็เห็นได้ชัดว่ามีปฏิกิริยาตอบสนองไม่ทัน
ทว่าหุ่นเชิดก็คือหุ่นเชิด หากเปลี่ยนเป็นอสูรวิญญาณธรรมดาถูกโจมตีอย่างรุนแรงเช่นนี้ก็น่าจะสูญเสียพลังต่อสู้ไปตั้งนานแล้ว แต่หุ่นเชิดโปร่งแสงทั้งสองนอกจากร่างกายจะสั่นเทาแล้ว ก็ไม่ได้สูญเสียพลังการเคลื่อนไหว อาวุธมีดสามชิ้นในมือกลับสั่นเทาแล้วพุ่งกลับไป ชั่วพริบตาลำแสงเกลื่อนท้องฟ้าก็แผ่ลงมาจากด้านหลังของวานรยักษ์
วานรยักษ์เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ดวงตาทั้งสองข้างก็ฉายแววเย็นชา กำปั้นทั้งสองส่งเสียงอึกทึกขึ้น เปลวเพลิงสีเงินสองกลุ่มทะลักออกมาห่อหุ้มหุ่นเชิดโปร่งแสงเอาไว้ข้างใน
นั่นก็คือเพลิงสวรรค์กลืนวิญญาณที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ!
ในเวลาเดียวกันร่างของวานรยักษ์ก็ขยับ พุ่งออกไปราวกับลูกธนู หลุดพ้นการโจมตีของหุ่นเชิดสองตัวได้อย่างง่ายดาย
แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงก็ปรากฏขึ้น!
แม้ว่าเปลวเพลิงสีเงินจะแผดเผา หุ่นเชิดทั้งสองกลับไม่มีท่าทีจะหลอมละลายเลยสักนิด ร่างกายเรียบลื่นนอกจากภายนอกที่ไหม้เกรียมแล้ว ก็ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก
หานลี่ย่อมตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง!
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ จากนี้กลับไม่จำเป็นให้เขาต้องลงมืออันใดอีก
แม้ว่าหุ่นเชิดเหล่านี้จะไม่อาจโจมตีคืนได้ แต่การเคลื่อนไหวก็ช้าลงกว่าก่อนหน้าเป็นอย่างมาก แมลงวิญญาณลายสีม่วงสิบสามตัวส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูง กระโจนเข้าไป ใช้ปากใหญ่ๆ กลืนกิน
หุ่นเชิดสองตัวสำแดงอิทธิฤทธิ์ต่างๆ ออกมาจนหมด แมลงวิญญาณสิบสามตัวกลับดูเหมือนจะดิ้นรนไปมาอยู่บนผิวของมัน ไม่อาจสลัดออกได้เลยสักนิด
อย่ามองว่าหุ่นเชิดโปร่งแสงเหล่านี้ต้านทานแม้แต่กับเพลิงกลืนทองไม่ได้ ภายใต้การกลืนกินของแมลงกลืนทองลายสีม่วงกลับดูไร้ซึ่งพลังการโจมตี หลังจากผ่านไปชั่วครู่ก็ส่งเสียงดังแกรกๆ แล้วล้มลง ทำได้เพียงกลิ้งไปมาบนพื้นไม่หยุด
ผ่านไปอีกชั่วครู่ก็เคี้ยวหุ่นเชิดขนาดเท่าคนธรรมดาสองตัวไปกว่าครึ่ง ในที่สุดก็ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ อีก
ขั้นตอนที่หุ่นเชิดสองตัวถูกกลืนกิน หานลี่พลันใช้มือหนึ่งร่ายคาถา กลับมาอยู่ในร่างของมนุษย์อีกครั้ง และมองอยู่ด้านข้างด้วยความเย็นชาไม่ได้ปริปากใดๆ
หลังจากที่หุ่นเชิดโปร่งแสงสองตัวไม่เหลือแม้แต่เศษซากแล้ว หานลี่ถึงได้ผิวปากเบาๆ มือหนึ่งชี้ไปที่แมลงวิญญาณ
หลังจากที่แมลงวิญญาณลายสีม่วงสิบสามตัวกลืนกินหุ่นเชิดสองตัวเข้าไป ลายสีม่วงบนผิวของมันก็ดูเหมือนว่าจะสีสดขึ้นและฮึกเหิมมาก ถูกอาคมกระตุ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีท่าทีลังเลไม่อยากถอยกลับมา
หานลี่เห็นเช่นนั้นก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ผิวปากเสียงทุ้มต่ำขึ้น พลังวิญญาณที่แฝงอยู่ด้านในเพิ่มขึ้นหลายส่วน
แมลงวิญญาณลายสีม่วงสิบสามตัวถึงได้สยายปีกทั้งสองข้างออก บินมาหาหานลี่ด้วยท่าทีไม่เต็มใจ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทยอยกันจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ
“ดูแล้วเจ้าพวกนี้คงเอามาต่อกรกับศัตรูบ่อยๆ ไม่ได้ หลังจากกลับไปแล้วต้องบวงสรวงอีกสองสามครั้งเห็นจะได้” หานลี่พ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา จากนั้นก็กลอกตาไปมา กวาดสายตามองไปยังจุดที่ไกลออกไป
หม้อใบเล็กสีม่วงใบหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ แผ่ลำแสงสีดำอ่อนๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะเงียบลงหลังจากที่สูญเสียเจ้าของเดิมไป
มุมปากของหานลี่เผยแววดีใจ ยกมือข้างหนึ่งขึ้น กวักไปทางหม้อใบนั้น
ก่อนหน้านี้ที่หม้อใบนี้สำแดงอิทธิฤทธิ์ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่ง หากได้สมบัติชิ้นนี้มา ย่อมทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มขึ้น
หม้อใบเล็กสีม่วงส่งเสียง “สวบ” กลายเป็นลำแสงวิญญาณพุ่งออกไป กะพริบวาบๆ แล้วจมหายเข้าไปในฝ่ามือของหานลี่
แต่ในยามนั้นเองเสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ พลันดังขึ้น สายฟ้าสีม่วงผ่าลงมาที่หม้อใบเล็กพอดี
เสียง “ปัง” ดังขึ้น หม้อใบเล็กเปล่งแสงสว่างวาบ คาดไม่ถึงว่าจะสลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยภายใต้สายฟ้าสีม่วง
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวก็ดังสะท้อนไปมาในอากาศ!
“เยี่ยม เยี่ยมมาก! ไม่เพียงชิงป้อมผนึกมารของข้าไปได้ คาดไม่ถึงว่ายังจะคิดรุกรานหม้ออักษรม่วงของข้า ดูแล้วแม้ว่าจะให้เจ้าสิ่งไร้ค่าทั้งสองถือครองอาวุธก็ทำอันใดเจ้าไม่ได้ ทว่าไม่เป็นไร อีกเดี๋ยวข้าจะไปพบเจ้าด้วยตัวเอง หลังจากนี้ไม่นานสหายน่าจะได้ลิ้มลองคำว่าตายเสียดีกว่าอยู่!”
คำนี้ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยพลังลึกลับที่อธิบายไม่ถูก แม้ว่าจะไม่ดังนัก แต่เมื่อเข้ามาในโสตของหานลี่กลับดังก้องราวกับฟ้าผ่า
แม้ว่าหานลี่จะมีอิทธิฤทธิ์ที่น่าตกตะลึง ชั่วพริบตานั้นก็รู้สึกวิงเวียน ร่างกายสั่นเทิ้มไม่หยุด แล้วถึงได้กลับมายืนให้มั่นคงได้
แต่สีหน้ากลับซีดขาวอย่างอดไม่ได้!
“นี่คือจิตสัมผัสของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน หรือว่านี่คือจิตสัมผัสของร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงที่ถูกส่งมา ไม่สิ แค่ร่างแยกต่อให้เหนือชั้นแค่ไหน มากสุดก็มีพลังยุทธ์แค่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย จิตสัมผัสจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ได้อย่างไร? น่าจะเป็นร่างของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงเองถึงจะถูก! เขาบอกว่าอีกเดี๋ยวจะมาพบข้าด้วยตนเอง มีเจตนาใดกันแน่? หรือว่าร่างของเขาลงมาจุติในแดนนี้ได้ด้วยตัวเอง? มิเช่นนั้นก็น่าจะรู้ว่าแค่ร่างแยกย่อมไม่อาจทำอันใดข้าได้”
หานลี่พลันตกตะลึง รู้สึกฉงนกับจิตสัมผัสที่ปรากฏขึ้นเมื่อครู่เป็นอย่างมาก
แต่เขาก็รู้ดีว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นานนัก จำต้องหนีออกไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ดังนั้นเขาจึงเลิกคิ้วซี้ซั้วชั่วคราว หลังจากเก็บร่างวิญญาณที่อยู่ไกลออกไปและร่างทองพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์กลับมาแล้ว ก็ตบเท้าข้างหนึ่งกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพวยพุ่งขึ้นกลางอากาศ หลังจากหมุนวนรอบหนึ่ง ก็พุ่งไปยังจุดที่ไกลออกไป
……
ภายในเมืองยักษ์เผ่ามารที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองเทวะสวรรค์ ตรงตำแหน่งหลักในตำหนักแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มสวมชุดสีโลหิตหน้าตาหมดจนคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้สีทองตามลำพัง มือหนึ่งลูบใต้คางพลางคิดอันใดสักอย่างอยู่
ฉับพลันนั้นเขาก็เลิกคิ้ว เผยสีหน้าฉงนออกมา
“อันใดกัน ความรู้สึกนี้เหมือน…”
หลังจากผ่านไปไม่กี่ชั่วลมหายใจ ชายหนุ่มก็หน้าเปลี่ยนสี ยืนขึ้นจากเก้าอี้ด้วยความตะลึงงัน ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
“หรือว่าร่างแยกอีกร่างลงมาจุติยังแดนนี้ แต่ความรู้สึกมันแข็งแกร่งมาก และไม่ค่อยเหมือนกัน กลับเหมือนร่างที่แท้จริงแหวกพลังกั้นแดน แต่จะเป็นไปได้อย่างไร หรือว่าเขาสำแดงเคล็ดวิชานั้น!” ชายหนุ่มชุดสีโลหิตร้องอุทานออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
……
หานลี่ใช้สองมือร่ายอาคมไม่หยุด เนตรทำลายล้างตรงหว่างคิ้วพ่นลำแสงสีดำออกมา โจมตีไปที่ผลึกศิลาขนาดเท่าศีรษะบนแท่นสูงสองสามจั้งไม่หยุด
ในเวลาเดียวกันแผ่นหลังก็มีเงาลวงตาสีทองของสามเศียรหกกรปรากฏขึ้น กรทั้งหกโบกสะบัดไปมาพร้อมกัน ลำแสงสีทองโจมตีไปที่หน้าผากพร้อมกัน
ไม่รู้ว่าโจมตีไปนานเท่าไหร่ แต่ผลึกศิลานี้กลับหม่นแสงลงไม่หยุด และมีรอยแตกปรากฏออกมาทีละนิดๆ
เสียงปริแตกดังขึ้น!
ในที่สุดผลึกศิลาก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ เนตรทำลายล้างเปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปที่แกนของผลึกศิลา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ พลันแววตาเปล่งประกาย เก็บอิทธิฤทธิ์และเทวรูปกลับไปโดยไม่ปริปาก ส่งเสียงหวีดร้องยาวๆ ออกมา กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งพุ่งจมหายเข้าไปในรู