คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1918 เย็นเยียบเก้าวัน
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1918 เย็นเยียบเก้าวัน
ตรงหน้าเปล่งแสงเจิดจ้า สายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป ลำแสงพลันหม่นแสงลง ร่างของหานลี่ปรากฏขึ้น แล้วหันไปมองแวบหนึ่ง
ด้านหลังของเขา เห็นเพียงหอคอยยักษ์สูงสองสามพันจั้งตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น
ส่วนรูที่เขาออกมาก็อยู่ตรงกลางของหอคอยยักษ์ หดเล็กลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ ชั่วพริบตาอากาศตรงฝั่งนั้นก็กลับคืนสภาวะปกติ
สมบัติชิ้นนี้ดูเหมือนจะไม่ได้รับความเสียหายเท่าใดนัก
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แต่ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง สายตาอดที่จะกวาดมองไปรอบด้านไม่ได้
ผลคือใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าแปลกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งออกมาไม่ได้
เห็นเพียงกลางอากาศในบริเวณรอบ รอบด้านยังคงมีเสียงรบราฆ่าฟันดังก้อง กองทัพเผ่ามนุษย์และมารยังคงรบราฆ่าฟันสุดชีวิตอยู่ตรงหน้ากำแพงยักษ์ของเมืองอี่เทียน
และกลางอากาศสูง อสูรยักษ์ค้ำฟ้าหัวแพะร่างหมีกำลังร่วมมือกับอรหันต์ชิงหลงสู้รบกับชายร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำรวมทั้งฝูงกองทัพเผ่ามารสีโลหิตจนไม่อาจแยกแยะได้
อรหันต์ชิงหลงนั้นไม่ต้องพูดถึง กลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ตั้งนานแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังมีสีหน้าซีดขาว ภายใต้การโจมตีของกองทัพเผ่ามาร คาดไม่ถึงว่าจะทำได้เพียงฝืนรักษาชีวิตเอาไว้เท่านั้น
วิธีการโจมตีของเผ่ามารเหล่านั้นง่ายดายมาก นอกจากพ่นเสาลำแสงสีโลหิตออกมาแล้ว ก็แค่โบกสะบัดอาวุธในมือปล่อยลำแสงโลหิตออกไปเป็นสายๆ เท่านั้น
แต่อรหันต์ชิงหลงและอสูรยักษ์ค้ำฟ้าดูเหมือนจะหวาดกลัวการโจมตีทั้งสองชนิดเล็กน้อย ไม่กล้าให้พวกมันโจมตีมาถูกร่าง ทยอยกันใช้ลำแสงหลีกหนี บ้างก็กระตุ้นสมบัติปกป้องตนเองเอาไว้
และยิ่งไปกว่านั้นเผ่ามารประหลาดเหล่านั้น ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นอมตะ ถูกพายุประหลาดที่อสูรยักษ์ปล่อยออกมาม้วนวนแล้วฉีกทึ้ง บ้างก็ถูกฝ่ามือยักษ์ทุบจนแหลกละเอียด แค่เปล่งแสงสีโลหิตสว่างวาบแล้วกลับคืนสู่สภาพเดิม ทันใดนั้นก็ทำการโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่าเดิม
ส่วนชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำพลันมองเห็นกองทัพเผ่ามารที่ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังไกลๆ ทุกครั้งที่อสูรยักษ์ใกล้จะล้อมวงมาได้สำเร็จ ก็จะสำแดงอิทธิฤทธิ์โจมตีอสูรยักษ์เต็มกำลัง แล้วบีบให้กลับไปที่เดิม
แน่นอนว่าบางครั้งมารตนนี้ก็ทำให้อรหันต์ชิงหลงยุ่งจนมือไม้พันกัน
อสูรยักษ์หัวแพะมีพลังปราณที่น่าสะพรึงกลัว ประกอบกับสามารถควบคุมพายุประหลาดที่ทำให้สิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายหวาดกลัวได้ ภายใต้การพัวพันของชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำและเผ่ามารเหล่านั้น กลับรู้สึกจนปัญญา ยามนั้นไม่อาจฝ่าวงล้อมของเผ่ามารเหล่านั้นไปได้
ทว่าจากอิทธิฤทธิ์เหนือชั้นของอสูรยักษ์ หากชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำและเผ่ามารเหล่านี้คิดจะทำร้ายอสูรเหล่านี้ให้พ่ายแพ้ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
คาดไม่ถึงว่าทั้งสองฝ่ายจะตกอยู่ในสถานการณ์ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน
ส่วนการต่อสู้ที่อยู่อีกด้านกลับไม่เหมือนกัน
หลินหลวนและเซียนหยินกวงมารวมตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้ และยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ก็ดูไม่ดี
สตรีทั้งสองคนหนึ่งปล่อยลำแสงสีเงินหมื่นสายออกมา คนหนึ่งมีเปลวเพลิงสามสีห่อหุ้มร่าง การหลอมรวมร่างของอิทธิฤทธิ์ทั้งสองชนิดทำให้อานุภาพเพิ่มขึ้นสองสามเท่า
แต่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้นและหญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นที่ร่วมมือกันเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้นแผ่นหลังของหญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นมีเงาลวงตากบยักษ์สีเขียวมรกตตัวหนึ่ง ทุกครั้งที่อ้าปากจะพ่นหมอกลำแสงสีเขียมรกตออกมา
ไม่รู้ว่าหมอกลำแสงนี้มีอานุภาพใดแฝงอยู่ ลำแสงสีเงินและเปลวเพลิงพลันสัมผัสกัน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากที่เดิม
หากไม่ใช่เพราะเงาลวงตากบยักษ์พ่นครั้งหนึ่งต้องหยุดครั้งหนึ่ง เกรงว่าการป้องกันที่สตรีทั้งสองพึ่งพาอยู่คงถูกทำลายไปจนเกลี้ยงตั้งนานแล้ว
แต่สิ่งที่ทำให้สตรีทั้งสองหวาดกลัวก็คือการโจมตีของชายหนุ่มชุดขาวผู้นั้น
มารตนนี้นอกจากจะมีใบมีดบินแวววาวปรากฏขึ้นมาสิบกว่าเล่ม ก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาใดๆ อีก แต่ต่อให้เป็นการโจมตีที่ดูเหมือนจะง่ายดาย แต่กลับแฝงไว้ด้วยพลังเย็นเยียบที่เหนือกว่ายามแรก หลังจากที่ดาบบินทุกเล่มสับลงมา ต่างทำให้พวกเซียนหยินกวงทั้งสองร้องว่าแย่แล้วในใจ จำใจต้องใช้พลังปราณจำนวนมากถึงจะทำลายมันได้
เช่นนี้ภายใต้สถานการณ์นี้พลังปราณจึงสูญไปเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ หากไม่ใช่เพราะมีสมุนไพรที่ช่วยฟื้นฟูพลังปราณที่หายากอยู่ เกรงว่าคงถูกคนทำลายการร่วมมือจนเพลี่ยงพล้ำไปตั้งนานแล้ว
แต่เช่นนี้เมื่อสูญเสียสมุนไพรจำนวนมากไป สถานการณ์ของทั้งสองก็ยังคงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ!
ด้านนอกการป้องกันของทั้งสอง แม้กระทั่งเริ่มมีไอเย็นเยียบสีขาวปรากฏขึ้นในรัศมีวงกลมสองสามหมู่ ห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ข้างใน
มุมปากของหานลี่กระตุกขึ้น ในใจพลันรู้สึกตกตะลึง!
เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า แม้ว่าจะไม่ใช่ยามที่เขาเพิ่งจะถูกดูดเขาไปในหอคอยยักษ์แรกๆ แต่ก็ไม่ได้จากไปนานนัก
ส่วนเขาเองกลับอยู่ในหอคอยยักษ์มาต่อเนื่องครึ่งวัน
หรือว่าหอคอยยักษ์จะควบคุมการไหลเวียนของกาลเวลาได้ ทำให้เวลาด้านในและด้านนอกไม่เหมือนกัน
แต่เช่นนี้ประวัติความเป็นมาของสมบัติรูปทรงหอคอยก็มีปัญหาแล้ว
ถึงอย่างไรเสียนอกจากสมบัติสวรรค์ทมิฬในตำนาน เขาก็ไม่เคยได้ยินสมบัติอันใดที่สามารถควบคุมและเปลี่ยนแปลงเวลาได้
หานลี่พลันตกตะลึง แต่ในหัวกลับได้สติขึ้นมา หลังจากที่กวาดสายตาไปที่หอคอยยักษ์ตรงหน้าอีกครั้ง กลับพบว่าการต่อสู้ดูเหมือนจะมีคนน้อยลงไปคนหนึ่ง
บุรุษชุดไหมสีเงินที่เมื่อครู่ร่วมมือกันต่อกรกับเขา คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้ปรากฏตัวใกล้ๆ กับหอคอยยักษ์
จิตสัมผัสกวาดไปรอบๆ ทันที แต่นอกจากระลอกคลื่นต้องห้ามที่หลงเหลืออยู่แล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจหาจอมมารเผ่ามารพบ
นี่จึงทำให้หานลี่ใจหายวาบ เมื่อคิดถึงคำพูดที่ได้ยินในหอคอย
แผ่นหลังของเขาเย็นเยียบ คาดไม่ถึงว่าจะมีความรู้สึกว่าหายนะกำลังจะมาเยือน
“อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว จำต้องออกจากที่นี่ทันที!” หานลี่มีแววตาเคร่งขรึม ในใจมีความคิดนี้ผุดขึ้นมาตามจิตสำนึก แต่เมื่อเห็นเผ่ามนุษย์ที่กำลังตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ สีหน้ากลับอดที่จะเผยแววลังเลออกมาไม่ได้
“ช่างเถิด ช่วยพวกเขากำจัดจอมมารสองตนก่อน แล้วค่อยจากไปก็ยังไม่สาย ขอแค่ลงมือเต็มกำลัง ก็น่าจะเสียเวลาไม่มากนัก” หานลี่เอ่ยพึมพำสองประโยค!
นี่ไม่ใช่ว่าเขาอยากพลิกสถานการณ์ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้แล้วยังไม่สู้แต่ถอย เกรงว่าจากนี้คงอย่าคิดจะปักหลักในเผ่ามนุษย์แล้ว
แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด แม้ว่าการถ่ายทอดเสียงเมื่อครู่จะมาจากร่างเดิมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงจริงๆ เขาก็ยากจะเชื่อว่านอกจากอีกฝ่ายจะใช้ร่างเดิมลงมาจุติแล้ว จะมีเรื่องอันใดให้ข่มขู่เขาได้
และการใช้ร่างเดิมลงมาจุติของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร ก็เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ในเคราะห์มารช่วงต้น
จากที่เขารู้ อย่างน้อยเคราะห์มารในอดีตกลับไม่เคยมีเรื่องอย่างแดนวิญญาณลงมาจุติตั้งแต่แรกๆ เกิดขึ้น
ดังนั้นแม้ว่าหานลี่จะมีลางสังหรณ์ แต่เมื่อได้สติแล้ว ก็ตัดสินใจลงมือช่วยผู้บำเพ็ญเพียรของเมืองอี่เทียนก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ส่วนหอคอยยักษ์นั้น แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกร้อนรุ่มใจ แต่เห็นได้ชัดว่าสมบัติชิ้นนี้เหมือนกับหม้อสีม่วง เป็นสิ่งที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงอาศัยให้ลูกน้องยืมมา
จากจิตสัมผัสที่น่ากลัวของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน เกรงว่าเขาคงไม่มีพลังจะกำจัดร่องรอยที่หลงเหลืออยู่ได้ และไม่มีพลังจะฝืนเข้าควบคุม ทำได้เพียงถลึงตามองเท่านั้น
เกรงว่าด้วยเหตุนี้บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นี้ถึงได้วางใจนำสมบัติล้ำค่าให้บุรุษและสตรีคู่นี้ยืมสินะ!
หานลี่ตัดสินใจ ทันใดนั้นร่างกายก็พลิ้วไหวกลายเป็นลำแสงสีเขียวสายหนึ่งกระโจนออกไป
แน่นอนว่าเขาไม่มีทางช่วยอรหันต์ชิงหลงและอสูรยักษ์ตัวนั้น แต่แค่ยามนี้พลันจ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มชุดขาวและหญิงสาวจอมมารสองตน
เซียนหยินกวงและหลินหลวนที่อยู่ไกลออกไปย่อมมองเห็นฉากที่หานลี่หลุดพ้นจากพันธนาการเช่นกัน เมื่อเห็นหานลี่เข้ามาช่วยย่อมดีอกดีใจเป็นอย่างมาก
เมื่อมาถึง หานลี่ก็มาปรากฏตัวด้านข้างสตรีทั้งสอง สองแขนสะบัดออกไปกระบี่สีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนบินว่อนไปทั่ว เงาไม้บรรทัดสีเงินสายหนึ่งพลิ้วไหว กลายเป็นลำแสงสีเงินม้วนไปทางสตรีร่างอรชนอ้อนแอ้น อดที่จะเอ่ยด้วยความกระตือรือร้นไม่ได้
“สหายหาน เจ้าไม่เป็นอันใดก็ดีแล้ว เจ้าช่วยน้องหญิงต้านทานมารสองตนนี้ก่อน ให้ข้าลงมือกระตุ้นอสูรผสานลมหายใจสังหารมารอีกตนและเผ่ามารกลายพันธุ์เหล่านั้นแล้วค่อยว่ากัน”
เมื่อสตรีผู้นี้เอ่ยจบทันใดนั้นเปลวเพลิงสามสีก็พวยพุ่งในเรือนร่างแล้วสลายหายไป สองมือร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว หว่างคิ้วมีอักขระยันต์สีโลหิตปรากฏขึ้นอีกครั้ง แล้วกระตุ้นเต็มอัตราโดยไม่สนใจการป้องกันใดๆ
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันขมวดคิ้วเล็กๆ แต่พลันชูมือข้างหนึ่งขึ้น เสียงอึกทึกดังขึ้น ยอดเขาสีดำสนิทมีขนาดร้อยจั้งเศษแล้วร่อนลงมา ต้านทานการสับลงมาด้วยดาบลำแสงแวววาวจำนวนนับไม่ถ้วนของชายหนุ่มชุดขาวที่สับลงมาหาสตรีทั้งสองได้อย่างพอดิบพอดี
เห็นเพียงลำแสงสีขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ด้านหนึ่งของภูเขาเทวะดูดปราณมีชั้นน้ำแข็งแวววาวปรากฏขึ้น ชั่วพริบตาก็ถูกแช่แข็งไปครึ่งหนึ่ง
พลังเย็นเยียบของอีกฝ่ายร้ายกาจกว่าที่เขาเห็นตอนแรกสองสามเท่า คาดไม่ถึงว่าแม้แต่ภูเขาเทวะดูดปราณก็สามารถแช่แข็งได้
และเมื่อชายหนุ่มชุดขาวเห็นหานลี่สอดมือเข้ามาช่วย ไม่เพียงจะไม่หวาดกลัว กลับแววตาเปล่งประกาย ดาบบินแวววาวยี่สิบสามสิบเล่มถูกกระตุ้นจนเปล่งแสงเจิดจ้า กลายเป็นลำแสงเย็นเยียบสีขาวม้วนวนออกไป
หานลี่พลันใจหายวาบก่อนจะร่ายอาคม กระบี่สีเขียวทั้งหมดหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะพลิ้วไหวแล้วสลายหายไปในเวลาเดียวกัน ครู่ต่อมาเสาลำแสงสีเขียวสองสามร้อยสายก็พ่นออกมาจากกลางอากาศ
กระบี่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบตัดสลับกันไปมา เขตอาคมกระบี่ยักษ์สีเขียวปรากฏออกมา ห่อหุ้มหานลี่รวมทั้งสตรีทั้งสองเอาไว้
หานลี่กลับไม่กล้าดูแคลนอีกฝ่าย และยิ่งไปกว่านั้นความคิดยังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว คาดไม่ถึงว่าจะปล่อยพลังอีกอย่างหนึ่งออกมา ชั่วพริบตาพลันวางเขตอาคมกระบี่ขดมรกตที่ยังไม่เชี่ยวชาญ
แม้ว่าดาบกระบี่เหล่านั้นที่กลายเป็นลำแสงเย็นเยียบจะร้ายกาจอย่างหาที่เปรียบ แต่เมื่อสัมผัสกับเขตอาคมกระบี่ กลับจมหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“หึๆ น่าสนใจ! แต่คิดจริงๆ หรือว่าเขตอาคมกระบี่จะต้านทานการโจมตีของข้าได้ ดูถูกข้าไปหน่อยแล้ว!” ชายชุดขาวมองเห็นสถานการณ์นี้ ไม่เพียงไม่โกรธ กลับเอ่ยปากออกมาเป็นครั้งแรก น้ำเสียงเย็นชาและแฝงไว้ด้วยความยิ้มเยาะ
จากนั้นคำพูดของมารพลันหยุดชะงัก มือหนึ่งร่ายอาคม ดาบบินแวววาวยี่สิบสามสิบเล่มรวมตัวกันที่ตรงกลาง คาดไม่ถึงว่าจะรวมตัวกันกลายเป็นใบมีดยักษ์ห้าสิบหกสิบจั้ง และสับลงมาที่เขตอาคมกระบี่อย่างเงียบเชียบ
ไม่ทันได้ร่อนลงมาจริงๆ รัศมีลำแสงสีขาวก็ร่อนลงมาจากฟ้า รวมตัวกันกลางอากาศทยอยกันส่งเสียงร้องประหลาดๆ ก้องกังวานออกมา คาดไม่ถึงว่าจะถูกพลังเย็นเยียบที่แผ่ออกมาแช่แข็งก็ไม่ปาน
แม้ว่ากระบี่ลำแสงในเขตอาคมกระบี่ขดมรกตจะแหลมคมแค่ไหน ทว่าภายใต้การรุกรานของพลังเย็นเยียบ ก็อดที่จะทยอยกันหยุดชะงักเชื่องช้า เขตอาคมทั้งเขตเปลี่ยนเป็นเชื่องช้าอย่างหาที่เปรียบ