คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1920 เงามารคาวโลหิต
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1920 เงามารคาวโลหิต
ใบหน้าที่เดิมยังนับว่าสง่างาม หลังจากบิดเบี้ยวเปลี่ยนรูป คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นใบหน้าของชายหนุ่มหน้าตาหมดจดคนหนึ่ง
ดูแล้วเหมือนกับอายุแค่สิบหกถึงสิบเจ็ดปี แต่ดวงตาทั้งสองพลันแดงก่ำ รอบกายมีกลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งแผ่ออกมา ดูเหมือนว่ากลิ่นกายน่ากลัวที่แผ่ออกมาจากระลอกคลื่นเมื่อครู่จะสลายหายไป
ชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตปล่อยมือทั้งสองออกจากศีรษะ แล้วยืนขึ้นอย่างช้าๆ ใช้สายตาแปลกประหลาดมองไปยังเผ่ามนุษย์และเผ่ามารที่อยู่ด้านล่างตรงเมืองอี่เทียนแวบหนึ่ง แล้วยกแขนทั้งสองข้างขึ้นพลางมองไปแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นก็เงยหน้าขึ้นหัวเราะลั่น
“ในที่สุดข้าก็มาถึงแดนมนุษย์แล้ว วิธีนี้ใช้ได้จริงๆ ฮ่าๆ น่าจะเป็นข้าคนแรกที่ทำได้ ความรู้สึกนี้ช่างมหัศจรรย์เสียจริง…”
เมื่อได้ยินชายหนุ่มกล่าวเช่นนี้ สิ่งมีชีวิตระดับสูงฝั่งเผ่ามนุษย์พลันเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา สิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่ามารเห็นใบหน้าของชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตชัดเจน ก็มีสีหน้าตกตะลึงระคนดีใจ
ไม่รู้ว่าเผ่ามารระดับสูงผู้ใดที่มีปฏิภาณไหวพริบว่องไว พลันเป็นแกนนำคุกเข่าลงข้างหนึ่งให้กับชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิต และยิ่งไปกว่านั้นยังร้องอุทานแล้วเอ่ยว่า
“คารวะใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ ขอแสดงความยินดีที่ใต้เท้าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ลงมาจุติยังแดนวิญญาณ!”
เสียงร้องตะโกนนี้ราวกับทำให้เผ่ามารตนอื่นๆ ได้สติ ไม่ว่าจะระดับสูงหรือต่ำ กองทัพเผ่ามารทั้งกองทัพก็ทยอยกันก้มลงคารวะ!
ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์เห็นสถานการณ์นี้ ก็อดที่จะหน้าถอดสีไม่ได้
ชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำ ชายหนุ่มชุดขาวและพวกจอมมารต่างตกตะลึงระคนสงสัย ดูเหมือนจะมีท่าทีตกตะลึงระคนดีใจสามส่วนลังเลเจ็ดส่วน
“ไม่ต้องกลัว! มารตนนี้เป็นแค่ใช้การสิงร่างลงมาจุติเท่านั้น เกรงว่าพลังปราณคงมีแค่หนึ่งในสิบส่วนของร่างเดิมเท่านั้น พวกเรายังคงมีโอกาสชนะ! เซียนหลินหลวน รีบให้อสูรผสานลมหายใจสังหารมารเฒ่าตัวนั้น! พวกเราจะรั้งมารตนอื่นไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อรหันต์ชิงหลงหน้าเปลี่ยนสี แล้วพลันร้องตะโกนด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม
หลินหลวนได้ฟังเช่นนี้ก็มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส แต่หลังจากที่กวาดสายตาไปยังเผ่ามนุษย์ในเมืองอี่เทียนทุกคนก็กัดฟันพยักหน้า นิ้วข้างหนึ่งชี้ไปที่ยันต์สีโลหิตตรงหว่างคิ้ว ใช้เคล็ดวิชาลับกระตุ้นอีกครั้ง
อสูรยักษ์หัวแพะที่ถูกสตรีผู้นั้นชักจูงเริ่มกดดันชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำและทหารมารสีโลหิต ฉับพลันนั้นพลันร้องคำราม อ้าปากพ่นพายุรุนแรงออกมาพัดเผ่ามารข้างกายจนล้มระเนระนาด ปีกที่แผ่นหลังเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นพายุประหลาดพุ่งฝ่าวงล้อมออกไปกระโจนไปหาชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตที่อยู่ไกลออกไป
แม้ว่าชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตจะไม่ได้เผยอิทธิฤทธิ์ที่แท้จริงออกมา แต่พลังแรงกดของโลหิตที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาก็ทำให้อสูรตัวนี้รู้สึกถูกคุกคาม ต่อให้ไม่ถูกยันต์โลหิตของเซียนหลินหลวนกระตุ้น มันก็อยากจะกลืนอีกฝ่ายลงไปตามจิตสำนึก เพื่อไม่ให้ตนมีอันตราย
ส่วนอรหันต์ชิงหลงพลันร้องตะโกนออกมา ผิวมีใบมีดสั้นเจ็ดเล่มปรากฏขึ้น แล้วกลายเป็นมังกรสีเขียวห้าเล็บ ร่างกายอันใหญ่โตสะบัดไปมา ชั่วพริบตาพายุอัสนีจำนวนนับไม่ถ้วนก็ปรากฏขึ้น
เผ่ามารเซวี่ยกวงถูกอรหันต์ชิงหลงโจมตีสุดชีวิต ยามนั้นพลันไม่อาจปลีกตัวไปไล่ตามอสูรยักษ์ผสานลมหายใจตัวนั้นได้
ส่วนชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำที่กระตุ้นค้อนยักษ์สองด้ามให้กลายเป็นค้อนเงาทั่วท้องฟ้า เห็นสถานการณ์น่าตกตะลึงกลับดูเหมือนจะไม่สนใจ คาดไม่ถึงว่าจะลังเลเล็กน้อยแล้วเอาความสนใจครึ่งหนึ่งไปไว้ที่ชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตและอสูรยักษ์ผสานลมหายใจ
และหานลี่ในยามนี้กำลังขบคิดอย่างรวดเร็ว ย่อมรู้สึกทั้งตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว!
คาดไม่ถึงว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารผู้นี้จะลงมาจุติที่แดนนี้จริงๆ แม้ว่าจะไม่ได้ใช้ร่างเดิมลงมาจุติแต่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่เคล็ดวิชาสิงร่างธรรมดาๆ!
กลิ่นอายของบุรุษวัยกลางคนที่สิงร่างอยู่ที่แผ่ออกมาช่างน่าหวาดกลัวยิ่ง ไม่ใช่สิ่งที่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายจะเทียบเทียมได้ อีกฝ่ายมีอิทธิฤทธิ์อย่างไรก็เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ!
ยามนี้อสูรยักษ์หัวแพะตัวนั้นไปต่อกรกับคนผู้นี้ หานลี่พลันใจหายวาบหยุดการไล่ล่าแล้วจ้องมองด้วยดวงตาที่ไม่กะพริบ
ส่วนชายหนุ่มชุดขาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายลง รีบควักยาถอนพิษออกมาจากหน้าอกสองสามเม็ดแล้วกลืนลงไป จากนั้นก็โคจรพลังปราณเริ่มขับพิษออกจากร่าง
นี่เป็นเพราะมารตนนี้เป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางถึงจะยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้ หากเปลี่ยนเป็นผู้ที่มีระดับต่ำกว่าผสานอินทรีย์ถูกพิษจากระลอกคลื่นนี้ก็คงจะเพลี่ยงพล้ำในทันที
ชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตที่อยู่ไกลออกไปเห็นอสูรยักษ์หัวแพะตัวหมี ก็อดที่จะตกตะลึงเล็กน้อยไม่ได้ พลางเอ่ยกับตัวเองด้วยความประหลาดใจ
“คาดไม่ถึงว่าที่นี่จะมีอสูรผสานลมหายใจปรากฏตัวขึ้น มิน่าล่ะจนถึงยามนี้ก็ยังไม่เสียเปรียบอันใด ก็ดีที่ข้าลงมาจุติ ที่นี่ยังขาดพาหนะ เอามันมาใช้แทนก่อนชั่วคราวก็แล้วกัน”
สิ้นเสียงชายหนุ่มที่กลิ่นคาวโลหิตก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งลำแสงสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ หม้อใบเล็กสีม่วงปรากฏขึ้น
ชายหนุ่มแค่ปรบมือข้างหนึ่งไปบนหม้อใบเล็ก แล้วพ่นคำว่า ‘ตาข่าย’ ออกมา
ชั่วขณะนั้นหม้อใบเล็กพลันหมุนวน ปากหม้อเปล่งแสงสีดำสว่างวาบ ตัวอักษรโบราณคำว่า ‘ตาข่าย’ ปรากฏขึ้น และยิ่งไปกว่านั้นยังเปล่งแสงสว่างวาบ พุ่งไปหาอสูรยักษ์
อสูรยักษ์หัวแพะเห็นฉากนี้พลันอ้าปากพ่นพายุหมุนสีเหลืองออกมา ในเวลาเดียวกันปีกที่แผ่นหลังก็ห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ กลายเป็นเมฆสีเหลืองห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ข้างใน
อสูรตัวนี้ควบคุมเมฆหมอก คาดไม่ถึงว่าจะกระโจนออกมาโดยไม่สนใจอักขระยันต์สีดำ ท่าทางไม่มีเจตนาจะหยุดยั้งเลยสักนิด!
เห็นได้ชัดว่าอสูรตัวนี้มั่นใจในพลังป้องกันของตนเองอย่างเต็มเปี่ยม
ชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตเห็นสถานการณ์เช่นนั้น ใบหน้ากลับเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่หลบหลีกเลยสักนิด
ผลคืออักขระยันต์สีดำเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วทะลุผ่านพายุหมุนไป จมหายไปในเมฆสีเหลืองด้านหน้าอสูรยักษ์ แล้วหายวับไปอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาอสูรยักษ์ที่เดิมยังมีท่าทีน่าดุดันพลันส่งเสียงร้องคำรามด้วยความหวาดกลัว จากนั้นร่างกายพลันแข็งทื่อไม่อาจขยับตัวได้เลยสักนิด
ผิวของร่างกายอันใหญ่ยักษ์มีเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น กักอสูรตัวนี้เอาไว้ด้านในแน่น
เส้นไหมสีดำเหล่านี้ดูเหมือนจะบางมาก แต่เมื่ออสูรยักษ์ถูกกักอยู่ด้านใน ก็ร้องคำรามออกมาไม่หยุด แต่คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจดิ้นรนให้หลุดพ้นได้
ชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมาที่มุมปาก กลอกตาไป คาดไม่ถึงว่าจะกวาดไปทางหานลี่แวบหนึ่ง
สายตาเย็นเยียบจนเข้ากระดูก หานลี่รู้สึกเพียงว่าแผ่นหลังมีไอเย็นเยียบทะลักเข้ามา คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกขวัญผวาโดยไม่รู้ตัว
ชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตกระตุกมุมปากขึ้น ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก แต่พลันยกแขนขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะตะปบไปทางหานลี่ และพ่นคำว่า “เก็บ” ออกมา
เสียง “ตูมๆ” ดังสนั่นขึ้น!
หอคอยยักษ์เจ็ดสีสูงสองสามพันจั้งที่อยู่รอบๆ พลันส่งเสียงตอบรับแล้วดึงขึ้นพลิ้วไหวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ
ครู่ต่อมาในมือของชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตพลันมีลำแสงเจ็ดสีเปล่งแสงสว่างวาบ หอคอยขนาดจิ๋วสองสามชุ่นพลันปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ และโยนไปทางเหนือศีรษะของอสูรยักษ์
มือหนึ่งพลันร่ายอาคม!
สมบัติหอคอยหมุนวน กลายเป็นหมอกลำแสงเจ็ดสีม้วนวน ชั่วพริบตาก็กลืนร่างอันใหญ่โตของอสูรยักษ์เข้าไปข้างใน
เมื่อหมอกลำแสงเจ็ดสีผนึกรวมตัวกันอีกครั้งก็กลับคืนเป็นหอคอยขนาดเล็กเจ็ดสี อสูรยักษ์หัวแพะหายวับไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย
“แย่แล้ว ยันต์วิญญาณของข้าไม่อาจสัมผัสถึงกลิ่นอายของอสูรผสานลมหายใจได้!”
แทบจะในเวลาเดียวกัน เซียนหลินหลวนตกใจจนสะดุ้งโหยง แล้วเอ่ยด้วยความตกตะลึงจนหน้าถอดสี
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง
หม้อใบเล็กสีม่วงชิ้นนั้นและสมบัติหอคอยเจ็ดสีที่อยู่ในมือของเจ้าของเดิมอย่างบรรพชนเซวี่ยกวง อานุภาพจึงแทบจะเพิ่มกว่าเดิมหลายเท่า
เขาไม่มีความมั่นใจเลยสักนิดว่าหากติดอยู่ในหอคอยนั้นจะออกมาได้อย่างปลอดภัยอีกหรือไม่
“ไป”
อรหันต์ชิงหลงเห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกตะลึงระคนหวาดกลัว พลันร้องตะโกนอย่างไม่ต้องขบคิด
จากนั้นเขาพลันกลายเป็นมังกรสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ พยายามกดค้อนเงาจำนวนนับไม่ถ้วนของชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำ ชั่วครู่ก็พุ่งฝ่าวงล้อม หนีไปอย่างไม่สนใจอันใด
คนผู้นี้เห็นว่ากำลังจะพ่ายแพ้ก็ตัดสินใจหนีทันที เป้าหมายคือเมืองอี่เทียน
ไม่ใช่แค่คนผู้นี้ เซียนหยินกวง และหลินหลวนก็เผยสีหน้าหวาดกลัวแล้วมองสบตากันแวบหนึ่งกลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งแทบจะในเวลาเดียวกันแล้วพุ่งหนีไปคนละทาง
ส่วนหานลี่พลันสะบัดแขนเสื้อทั้งสองเก็บเขตอาคมกระบี่ขดมรกตสยายปีกวายุอัสนีที่แผ่นหลังออกกลายเป็นประจุไฟฟ้าสายหนึ่งดีดตัวล่วงหน้าออกไปก่อน
“คิดจะไปยามนี้ช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลานัก!” ชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตเห็นสถานการณ์นี้กลับหัวเราะลั่น
จากนั้นเห็นเขาใช้สองมือร่ายอาคมราวกับล้อรถ ไอโลหิตบนเรือนร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง ร่างกายรางเลือนไปอีกครั้งกลายเป็นเงาร่างที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วสามเงา
สองในสามของชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิต คนหนึ่งถือสมบัติหอคอยเจ็ดสี คนหนึ่งตะปบหม้อใบเล็กสีม่วงเอาไว้ ในเวลาเดียวกันก็หัวเราะอย่างเย็นชาออกมาแล้วหายวับไปจากที่เดิม
ส่วนชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตคนสุดท้ายกลับย่ำเท้า ใต้ฝ่าเท้ามีไอโลหิตหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสำเภาโลหิตลำหนึ่ง
สำเภาลำนี้มีความยาวแค่เจ็ดแปดจั้งตัวสำเภาเป็นสีแดงสดมีอักขระยันต์เจ็ดสีลึกลับสลักอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน พลางเปล่งแสงสว่างวาบเผยความลึกลับเป็นอย่างยิ่งออกมา
ชายหนุ่มเหยียบอยู่บนสำเภาไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวใดๆ สำเภาลำเล็กสีโลหิตกลับสั่นเทาแล้วพุ่งออกไป
หลังจากเปล่งแสงสว่างวาบก็พาชายที่มีกลิ่นคาวโลหิตจมหายวับไปกลางอากาศ
เมื่อระลอกคลื่นปรากฏขึ้นสำเภาลำนี้ก็เปล่งแสงสว่างวาบกลับมาอยู่กลางอากาศอีกครั้ง ห่างออกไปสองสามร้อยจั้งดูเหมือนจะเปล่งแสงสว่างวาบอีกสองครั้งแล้วไล่ตามหานลี่ที่อยู่ด้านหน้าไป
หลังจากที่หานลี่กวาดจิตสัมผัสออกไป มองเห็นฉากนี้ก็อดที่จะใจเต้นไม่ได้
เขาขบคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กัดฟันพุ่งลงไปบนพื้นเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นกลายเป็นวิหคยักษ์สีเงินสี่ปีกตัวหนึ่ง
ปีกทั้งสี่กระพือออกพร้อมกัน!
วิหคยักษ์กลายเป็นเส้นไหมสีทองเงินพุ่งออกไป เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏอยู่ที่ขอบฟ้าและเปล่งแสงสว่างวาบหายไปอีกครั้ง
“เอ๋ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเคล็ดวิชาวิหคคุนเผิงแปลงกาย! หึๆ คิดว่าทำเช่นนี้แล้วจะหนีจากเงื้อมมือของข้าได้อย่างนั้นหรือ! พวกเจ้าไปจัดการมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนอื่น ข้าจะไล่ตามเจ้านั่นไปด้วยตนเอง!” ชายหนุ่มที่มีกลิ่นคาวโลหิตบนสำเภาเห็นฉากนี้ก็ตะลึงงัน แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะด้วยความเย็นชาและถ่ายทอดเสียงออกคำสั่งไปหาชายร่างใหญ่ชุดเกราะสีดำ
จากนั้นด้านข้างของเขาเงาโลหิตพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ชายหนุ่มอีกสองคนพลิ้วกายปรากฏขึ้น ราวกับว่าไม่ได้ห่างไปไหนเลยแม้แต่ก้าวเดียวตั้งแต่ต้นจนจบและร่ายอาคมต่างๆ ในเวลาเดียวกัน
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น สองฝั่งของสำเภาสีแดงโลหิตมีปีกแวววับสีแดงโลหิตปรากฏขึ้นสองคู่แล้วออกแรงกระพือกลายเป็นเส้นไหมโลหิตพุ่งออกไป