คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1936 เพลิงธรณีน้ำพุเหลือง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1936 เพลิงธรณีน้ำพุเหลือง
“เรื่องนี้…” เทียนฉานได้ยินก็ลังเลเล็กน้อย และมองไปทางอรหันต์เฮยอวี่แวบหนึ่ง
“อืม ในฐานะที่พี่หานเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดของเผ่ามนุษย์ คงไม่คิดร้ายต่อเรื่องของเราแน่ และยิ่งไปกว่านั้นเดิมตาเฒ่าก็รู้สึกว่าครั้งนี้มีแค่เราสองคนที่ลงมือ และไม่มั่นใจนัก หากสหายหานลงมือช่วยเหลือได้ โอกาสประสบความสำเร็จย่อมเพิ่มขึ้น” อรหันต์เฮยอวี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างเฉียบขาด
หานลี่ได้ยินคำนี้ย่อมตกตะลึง แต่ไม่ได้เอ่ยปาก รอฟังคำพูดของทั้งสองอย่างเงียบๆ
หลังจากที่ได้ยินอรหันต์เฮยอวี่กล่าวเช่นนี้ ภิกษุย่อมพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วเอ่ยว่า
“อาตมาก็คิดเช่นนั้น ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็อธิบายให้ประสกหานฟังเถิด หลังจากฟังแล้วหวังว่าสหายจะลงมือช่วยเหลือเราทั้งสองได้”
“ท่านปรมาจารย์เกรงใจเกินไปแล้ว! หากเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ของพวกเรา ผู้แซ่หานย่อมต้องขบคิดอย่างเต็มที่” หลังจากที่หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย ก็เอ่ยอย่างเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง
“ความจริงแล้วที่พวกเราสองคนมาในครั้งนี้ก็มาเพื่อเกาะศักดิ์สิทธิ์ มาเพื่อเพลิงธรณีน้ำพุเหลือง!” ในที่สุดเทียนฉานก็เอ่ยปากอย่างไม่ปิดบัง
“เพลิงธรณีน้ำพุเหลือง!”
แม้ว่าในใจจะคิดเช่นนั้น แต่ได้ยินอรหันต์กล่าวเช่นนี้ หานลี่ย่อมรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง แต่คำพูดต่อมาของภิกษุ กลับทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายลง
“อืม พูดให้ถูกก็คือ น่าจะสัตว์วิญญาณสักชนิดที่มาจากเพลิงธรณีน้ำพุเหลือง” ดูเหมือนว่าจะมองสีหน้าประหลาดใจของหานลี่ออก อรหันต์เฮยอวี่จึงเอ่ยสำทับ
“ในเพลิงธรณีน้ำพุเหลืองมีสัตว์วิญญาณฟ้าดินหรือไม่ เหตุใดข้าน้อยถึงไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน!” หานลี่ขบคิดอีกที พลันรู้สึกประหลาดใจ
“มีอยู่แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสัตว์วิญญาณที่ห้าหมื่นปีจะตั้งท้องครั้งหนึ่ง ไม่ทราบว่าประสกหานเคยได้ยิน ‘ศิลาความฝันของหวงเหลียน’ หรือไม่?” ภิกษุเทียนฉานเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ศิลาความฝันหวงเหลียน! คือวัตถุดิบระดับสุดยอดที่ใช้วางเขตอาคมลวงตาขนาดใหญ่โดยเฉพาะใช่หรือไม่?” หานลี่เอ่ยพร้อมกับขมวดคิ้ว
“ใช่แล้ว คือวัตถุดิบชนิดนั้น ทว่าสิ่งที่พวกเราตามหาในครั้งนี้ไม่ใช่ศิลาความฝันของหวงเหลียนธรรมดาๆ แต่เป็นศิลาหวงเหลียนที่เบิกเนตรแล้ว ศิลาวิญญาณนี้ไม่เพียงจะปรากฏตัวแค่ที่ศิลาหวงเหลียน และยิ่งไปกว่านั้นยังมีเงื่อนไขในการถือกำเนิดที่ยากลำบาก ไม่แตกต่างอันใดกับสัตว์วิญญาณฟ้าดินที่มีชื่อเสียง ดังนั้นสัตว์วิญญาณนี้จึงมีคนรู้จักไม่มาก และศิลาวิญญาณที่นี่ก็เป็นอาวุโสท่านหนึ่งของเผ่าเราที่พบเข้าด้วยความบังเอิญเมื่อสองสามหมื่นปีก่อน แต่สิ่งที่น่าเสียดายก็คือท่านอาวุโสผู้นี้ไม่ได้ถือโอกาสนั้นจับเป็นมัน กลับทำให้ศิลาวิญญาณตกใจ และไม่ยอมปรากฏตัวที่เพลิงธรณีน้ำพุเหลืองอีก ส่วนเพลิงธรณีน้ำพุเหลืองคือสถานที่ระดับใด เกรงว่าแม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานก็ไม่กล้าเข้าไปลึก แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน มีปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเกาะศักดิ์สิทธิ์ทำนายไว้โดยเฉพาะ ช่วงนี้คือวันฟาดเคราะห์ของศิลาวิญญาณหวงเหลียน มันไม่อาจซ่อนตัวอยู่ในเพลิงธรณีโดยไม่ออกมาได้ นี่คือโอกาสเดียวที่พวกเราจะจับมัน” ภิกษุเทียนฉานอธิบายอย่างละเอียด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็ว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน คาดไม่ถึงว่าศิลาวิญญาณหวงเหลียนจะซ่อนอยู่ในเพลิงธรณีน้ำพุเหลืองมาสองสามหมื่นปี ทว่าแค่ศิลาวิญญาณ ต่อให้มีสติปัญญาก็น่าจะไม่ได้มีอิทธิฤทธิ์มากมายอันใด แม้แต่สหายทั้งสองก็มั่นใจว่าจะจับมันได้หรือ?” หานลี่เผยสีหน้าเข้าใจแล้วออกมา แต่ก็เอ่ยถามอย่างลังเลเล็กน้อย
“พี่หานไม่รู้อันใด ศิลาวิญญาณหวงเหลียนไม่เหมือนกับศิลาวิญญาณธรรมดาทั่วไป นอกจากอิทธิฤทธิ์ธรรมดาที่ศิลาวิญญาณปกติควรมีแล้ว ก็ยังมีพลังในการสำแดงเคล็ดวิชาลวงตา และยิ่งไปกว่านั้นเคล็ดวิชาลวงตาที่ศิลาวิญญาณนี้สำแดงออกมาก็แทบจะเกิดขึ้นได้ในพริบตา ขอแค่ปะทะกับมันก็จะตกเข้าไปในเคล็ดวิชาลวงตาของมันโดยไม่ทันรู้ตัว อาวุโสเผ่ามนุษย์ที่พบมันตอนแรกก็เป็นผู้ที่มีชื่อเสียง ผลคือหลังจากที่ปะทะกับศิลาวิญญาณนี้ ไม่เพียงจะไม่สำเร็จ กลับถูกเคล็ดวิชาลวงตากักเอาไว้ครึ่งปีถึงจะโชคดีหลุดออกมาได้ และยิ่งไปกว่านั้นกลับไปยังป่วยหนัก ว่ากันว่าสูญเสียพลังปราณแท้ไปไม่น้อย ครั้งนี้ต้องจับเป็นศิลาวิญญาณนั้นโดยไม่ให้ได้รับบาดเจ็บถึงชีวิตให้ได้ ดังนั้นแม้ว่าข้าและปรมาจารย์เทียนฉานจะเตรียมการมาโดยเฉพาะ ก็ยังคงไม่มั่นใจว่าจะจับมันได้” อรหันต์เฮยอวี่อธิบายอยู่ด้านข้าง
“เคล็ดวิชาลวงตา! หากศิลาวิญญาณมีอิทธิฤทธิ์ระดับสัตว์วิญญาณฟ้าดินก็ไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าล่ะสหายทั้งสองถึงได้เคร่งเครียดเช่นนี้ ใช่แล้ว ในเมื่อเกาะศักดิ์สิทธิ์เชิญทั้งสองท่านมาจับศิลาวิญญาณหวงเหลียน สหายทั้งสองก็น่าจะรู้เหตุผลสินะ?” หานลี่พยักหน้า แล้วเอ่ยซักถาม
“ก่อนที่ตาเฒ่าจะออกเดินทางก็ได้ยินมาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าผลึกปีศาจในร่างของศิลาวิญญาณจะเป็นของสำคัญที่พวกเราใช้ต่อกรกับเคราะห์มาร และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสิ่งที่ใต้เท้าม่อเจี่ยนหลีรับหน้าที่มาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ ส่วนสิ่งที่เป็นรูปธรรมดาอื่นๆ ตาเฒ่าก็ไม่แน่ใจนัก” ชายชราไม่มีท่าทีลังเลเลยสักนิด พลางตอบกลับอย่างส่งๆ
“เรื่องที่ท่านอาวุโสม่อรับหน้าที่มา!” หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี อดที่จะสูดลมหายใจด้วยความเย็นชาเข้าไปเฮือกหนึ่งมิได้
“หึๆ หากไม่เป็นเช่นนั้น เราสองคนก็นับว่าเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและตำแหน่งในเผ่ามนุษย์ จะวิ่งมาที่นี่เพื่ออันใด” ชายชราหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ในเมื่อเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ของเผ่ามนุษย์ ผู้แซ่หานออกแรงสักหน่อยย่อมเป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้ สหายทั้งสองจะให้ช่วยอันใด ก็รับสั่งมาเถิด” หานลี่ก้มหน้าลงครุ่นคิดชั่วครู่ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“หึๆ ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หานไม่มีทางไม่สนใจเรื่องนี้ได้ ความจริงแล้วการจับสัตว์วิญญาณในครั้งนี้ไม่จำเป็นต้องให้สหายทำเรื่องที่ซับซ้อน ขอแค่คอยช่วยพวกเราก็พอแล้ว หากเราสองคนสะเพร่า ก็หวังว่าพี่หานจะรั้งสัตว์วิญญาณตนนั้นไว้ได้ทัน อย่าให้มันกลับเข้าไปในเพลิงธรณีอีก” ภิกษุเทียนฉานได้ยินหานลี่กล่าวเช่นนี้ก็อดที่จะเอ่ยด้วยความดีใจไม่ได้
อรหันต์เฮยอวี่ได้ยินแล้วก็เอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจเช่นกัน
“ใช่แล้ว ในเมื่อสถานการณ์ของเมืองเทวะสวรรค์ไม่ค่อยดี เช่นนั้นพี่หานมาปรากฏตัวที่นี่ ก็น่าจะแค่ผ่านทางมาสินะ หรือว่าก็มีธุระเช่นกัน?” ภิกษุเทียนฉานพลันนึกอันใดได้แล้วเอ่ยถามขึ้นมา
“ที่ผู้แซ่หานมาในครั้งนี้ก็เพราะมีธุระส่วนตัว แต่แค่จะอาศัยเพลิงธรณีน้ำพุเหลืองหลอมอาวุธสองสามชนิดเท่านั้น ทว่ายามนี้พบกับสหายทั้งสอง เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้านี้ย่อมเอาไว้ทีหลังอยู่แล้ว” หานลี่ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง”
“ขอบพระคุณพี่หานที่เข้าใจ ยามนี้ห้ามเข้าใกล้เพลิงธรณีน้ำพุเหลือง มิเช่นนั้นศิลาวิญญาณจะสัมผัสได้ว่ามีคนอื่นอยู่ด้านนอกและจะเกิดความยุ่งยาก” ภิกษุเทียนฉานเผยสีหน้าเสียใจออกมา ปากก็เอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
ดังนั้นหลังจากที่หานลี่พูดคุยกับชายชราและภิกษุเทียนฉานอย่างมีมารยาทอีกสองสามประโยค ทันใดนั้นก็เข้าร่วมกับทั้งสอง แล้วนั่งสมาธิลงด้านข้างหลุมยักษ์
หลังจากกวาดสายตาไปที่ก้นหลุมยักษ์ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
พื้นที่ของหลุมยักษ์มีขนาดสองสามหมู่ แต่จากใจกลางของหลุมยักษ์แบ่งออกเป็นสองส่วน บนและล่าง
ด้านบนเหมือนกับศิลาภูเขาธรรมดาๆ อย่างไรอย่างนั้น ล้วนเป็นสีเทาขาว กำแพงครึ่งท่อนล่างกลับเป็นสีดำอมเขียว แผ่ไอเย็นเยียบออกมา และยิ่งไปกว่านั้นผิวก็เรียบลื่นราวกับหยกงามอย่างไรอย่างนั้น
ตรงก้นของหลุมยักษ์กลับมีไอสีเหลืองนวลหมุนวนอยู่ แต่ในนั้นพลันมีเสียงอึกทึกดังมา และมีลำแสงอ่อนๆ เปล่งแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าด้านล่างหมอกจะมีสิ่งมีชีวิตอันใดซ่อนอยู่
หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ฉับพลันนั้นพลันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง จานอาคมสีขาวปรากฏขึ้นในมือ
เสียง “สวบ” ดังขึ้น เขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง จานอาคมกลายเป็นลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งไปที่หลุมยักษ์
ยามที่ผ่านครึ่งบนของหลุมยักษ์ไป จานอาคมก็ไม่มีอันใดผิดปกติเลยสักนิด แต่ยามที่เข้าไปในส่วนล่าง ลำแสงสีขาวพลันสั่นเทาอย่างรุนแรง ในเวลาเดียวกันผิวก็มีผลึกน้ำแข็งปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ ยังไม่ทันให้จมหายเข้าไปในหมอกด้านล่างก็ถูกแช่แข็ง และร่อนลงไปในหมอก
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ด้านหลังพลันมีเสียงกังวานดังออกมาจากหมอก จานอาคมที่ถูกแช่แข็งดูเหมือนว่าจะปริแตกออก
“ชื่อเสียงของเพลิงธรณีน้ำพุเหลืองเป็นจริงดังคาด ไอเย็นเยียบที่นี่น่าตกตะลึงยิ่ง!” หานลี่เอ่ยพึมพำกับตัวเอง แต่ใบหน้ากลับมองสีหน้าประหลาดใจอันใดไม่ออก
“หึๆ ว่ากันว่าเพลิงธรณีที่นี่ทะลักออกมาจากน้ำพุเหลืองเก้ายมโลก แม้ว่าจะก่อตัวเป็นรูปเปลวเพลิงแต่พลังความเย็นเยียบกลับไม่ธรรมดา สิ่งที่น่าเสียดายก็คือความเย็นเยียบนี้กลับแตกต่างจากพลังความเย็นเยียบธรรมดาๆ ไม่อาจถูกสัตว์วิญญาณดูดซับเข้ามาหลอมในร่างได้ สำหรับเผ่ามนุษย์อย่างพวกเราแล้ว ยิ่งทำได้เพียงเอามาหลอมอาวุธวิเศษเท่านั้น ช่างน่าเสียดายจริงๆ” ภิกษุเทียนฉานหัวเราะน้อยๆ ออกมา ดูเหมือนว่าจะเสียดายมาก
“โชคหุ้นตุ้น เบจญธาตุหยินหยาง เดิมก็เป็นพลังของหลักเกณฑ์ฟ้าดิน ในเมื่อเพลิงธรณีน้ำพุเหลืองผสมพลังเย็นเยียบที่น่าตกตะลึงย่อมเป็นสิ่งที่มีข้อจำกัด มิเช่นนั้นผู้มีอิทธิฤทธิ์ที่ฝึกฝนน้ำแข็งเย็นเยียบย่อมสามารถดูดซับพลังหยินนี้ได้ตามอำเภอใจ พลังปราณจะไม่เพิ่มขึ้นหรือ สำหรับเผ่าแล้วในยุทธภพมีเรื่องดีๆ ราวกับเกี๊ยวตกมาจากสวรรค์เช่นนี้ที่ไหนกัน!” อรหันต์เฮยอวี่เอ่ยแทรกอย่างราบเรียบ
“อืม คำนี้มีเหตุผล แต่ข้าเองก็เคยได้ยิน เพลิงธรณีน้ำพุเหลืองก็อาจจะเป็นหนึ่งในทางเข้าของแดนยมโลก หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ผู้แซ่หานก็สนใจเพลิงหยินนี้แล้วจริงๆ” หานลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มจางๆ
“อืม ข่าวลือนี้มีมาตั้งแต่อดีต แต่เพลิงธรณีน้ำพุเหลืองมีพลังหยินยะเยือกที่หาที่เปรียบมิได้ พวกเราเคลื่อนไหวอยู่ได้แค่ในระยะพันจั้งเท่านั้น แม้แต่ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ในระดับมหายานลงไปมากกว่าหมื่นจั้งก็มีแต่จะเพลี่ยงพล้ำ ดังนั้นข่าวลือนี้ย่อมไม่มีผู้ใดรับประกันได้” เทียนฉานแววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างมีแผนการ
“หึๆเหตุใดสหายทั้งสองต้องคิดมากด้วย ต่อให้เพลิงนี้ไปถึงแดนยมโลกได้จริงๆ เช่นนั้นทุกแห่งก็ต้องเป็นแดนเสียงเพรียกของภูตผีแล้ว ไม่ใช่แดนที่ผู้บำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราจะอาศัยอยู่ได้ เป้าหมายสุดท้ายของผู้ฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างพวกเราย่อมหวังว่าจะได้บรรลุขึ้นไปแดนเซียน เช่นนั้นถึงจะมีโอกาสเป็นอมตะ มีอายุขัยเทียบเท่ากับฟ้าดิน” อรหันต์เฮยอวี่กลับเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“ภิกษุกลับเข้าใจเรื่องนี้ไม่เหมือนกัน สำนักพุทธของพวกเราศึกษาสาเหตุของความดีและความชั่ว ทำให้เกิดกรรมตามสนอง แม้ว่ายุทธภพนี้…” ภิกษุมีสีหน้าเคร่งขรึม กลับสั่นศีรษะอย่างไม่เห็นด้วย
อรหันต์เฮยอวี่ได้ยินพลันหัวเราะหึๆ รอจนภิกษุเอ่ยจบ กลับเอ่ยสิ่งที่ตนเองเข้าใจขึ้นมา
ทั้งสองคนผลัดกันพูดคนละหนึ่งประโยค คาดไม่ถึงว่าจะกำลังแยกแยะหลุมยักษ์
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงแหบแห้ง