คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1937 หลุมพราง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1937 หลุมพราง
ระหว่างทั้งสอง คนหนึ่งฝึกฝนอิทธิฤทธิ์สำนักพุทธ คนหนึ่งฝึกฝนเคล็ดวิชาสายเต๋า ปัญหานี้ย่อมไม่อาจพูดด้วยกันได้
หานลี่กลับเข้าใจมุมมองปัญหานี้ของชายชรากว่าครึ่ง ในเมื่อเขาเหยียบเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกฝน แน่นอนว่าย่อมไม่อาจขบคิดถึงหนทางชีวิตหลังความตายได้อีก ในใจคิดเพียงว่าอยากจะประสบความสำเร็จให้เร็วที่สุดเท่านั้น
เวลาต่อมาหานลี่พลันหลับตาทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆ แล้วเข้าสู่ภวังค์สมาธิอยู่ตรงขอบหลุมยักษ์
ส่วนการถกกันของภิกษุและชายชราย่อมไม่มีผลลัพธ์อันใด สุดท้ายก็หลับตาลงไม่ได้พูดอันใดเช่นกัน
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปสามวันสามคืน หมอกสีเหลืองในหลุมยักษ์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด
วันนี้เปลือกตาของหานลี่ขยับ ลืมตาขึ้น
หลังจากที่เขาแผ่จิตสัมผัสไปที่ก้นหลุมยักษ์ ก็อดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ แล้วเอ่ยปากว่า
“สหายทั้งสองมาถึงที่นี่นานแล้ว คงไม่ได้นับวันฟาดเคราะห์ศิลาวิญญาณหวงเหลียนผิดหรอกกระมัง?”
“สหายหานวางใจ สหายที่รับผิดชอบเรื่องนี้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ฝึกฝนศาสตร์การทำลายที่มีชื่อเสียงในเกาะศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา อัตราการคำนวณผิดมีอยู่น้อยมาก และข้ากับปรมาจารย์เทียนฉานก็เพิ่งมาที่นี่ได้ไม่นาน เร็วกว่าพี่หานเพียงสิบกว่าวัน ตามผลจากการทำนายแล้ว ศิลาวิญญาณนั่นน่าจะฟาดเคราะห์ภายในหนึ่งเดือน ดังนั้นคงอีกไม่นานแน่ ไม่แน่ว่าอีกสองสามวันก็อาจจะมีการเคลื่อนไหว” อรหันต์เฮยอวี่เอ่ยอย่างราบเรียบ
“ดูแล้วคงเป็นผู้แซ่หานที่ใจร้อนเกินไป! เอ๋ นี่คือ…” หานลี่เพิ่งคิดจะตอบกลับสักสองประโยค แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไปพลางโพล่งออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
คนที่เหลืออีกสองคนได้ยินคำพูดของหานลี่ ชั่วขณะนั้นแววตาพลันหดเล็กลง จ้องเขม็งไปที่ก้นหลุม ใบหน้าเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
หมอกสีเหลืองต้นก้นบ่อในยามนี้เริ่มหมุนวน และยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นอายประหลาดๆ ยังแผ่ออกมามากกว่าแต่ก่อน ทำให้กำแพงครึ่งท่อนล่างผนึกรวมกันเป็นน้ำค้างสีเหลืองนวลอย่างเงียบเชียบ
ดูแล้วแปลกประหลาดอย่างหาที่เปรียบ!
เสียง “ปัง” ดังขึ้น เสียงฟ้าผ่าดังขึ้นกลางอากาศ!
หานลี่พลันใจเต้น เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
เห็นเพียงกลางอากาศห่างจากยอดเขาไปสองสามหมื่นจั้ง พายุหมุนพลันก่อตัวขึ้น เมฆสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกรวมตัวกัน ภายใต้การหมุนวน ก็กลายเป็นรูปร่างที่แตกต่างกัน ในเวลาเดียวกันก็ส่งเสียงอึกทึกออกมา ดูเหมือนว่าจะกำลังตั้งครรภ์อัสนีจำนวนนับไม่ถ้วน
“หรือว่านี่คือ…” หานลี่เอ่ยพึมพำ แล้วหยุดพูด
“ฮ่าๆ ใช่แล้ว เคราะห์สวรรค์ศิลาวิญญาณมาแล้ว อีกไม่นานมันจะมีนำพุเหลืองเพลิงธรณีปรากฏออกมา ปรมาจารย์เทียนฉาน พวกเราเริ่มวางเขตอาคมกันเถิด!” อรหันต์เฮยอวี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้กลับหัวเราะร่าออกมา จากนั้นร่างกายก็พลิ้วไหว กลายเป็นลำแสงสีดำพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ
ภิกษุที่อยู่อีกด้านเผยสีหน้ายินดีออกมา สะบัดแขนเสื้อ แล้วบินมาอยู่กลางอากาศเช่นกัน
จากนั้นก็เห็นทั้งสองคนบริกรรมคาถา นิ้วทั้งสิบร่ายไปรอบด้านไม่หยุด แขนเสื้อข้างหนึ่งปลิวสะบัดไม่หยุด ธงอาคมอีกด้ามและจานอาคมพุ่งออกมาอย่างหนาแน่น ชั่วพริบตาก็เรียงตัวอยู่เหนือหลุมเต็มไปหมด จากนั้นก็พลิ้วไหวทยอยกันหายวับไป
ชั่วพริบตาเขตอาคมต้องห้ามเข้มงวดก็ถูกทั้งสองร่วมมือกันวางได้สำเร็จ พลังของเขตอาคมต้องห้ามเรียงทั่วภูเขา
ยามนี้อรหันต์เฮยอวี่พลันหยุดร่ายอาคม ฉับพลันนั้นร่างกายก็หมุนวนอยู่กลางอากาศ
เสียงแหวกอากาศดังขึ้น!
ดวงลำแสงสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากร่าง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพลันระเบิดออกทันที กลายเป็นเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนสลายหายไป
ภิกษุเทียนฉานที่อยู่อีกด้านส่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา พลิกฝ่ามือมีบาตรสีแดงเพลิงปรากฏขึ้น
บาตรแค่หมุนวน ชั่วขณะนั้นพลันส่งเสียงเพรียกของหงส์ออกมา จากนั้นดวงเพลิงสีแดงสดสามลูกก็พุ่งออกมา!
ทุกลูกมีขนาดแค่หัวแม่มือ แต่นิ้วของภิกษุพลันชี้ออกไป แต่กลับส่งเสียงอึกทึกแล้วขยายใหญ่ขึ้นกลางอากาศ ชั่วพริบตาก็มีขนาดสิบจั้งเศษ และส่งเสียงไพเราะออกมาพลางกลายเป็นวิหคยักษ์เพลิงสีแดงสดสามตัว
“หงส์เพลิง!”
หานลี่เห็นวิหคยักษ์สามตัวกลับอดที่จะสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าไปไม่ได้ แล้วร้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“หึๆ ให้ประสกหานเห็นเรื่องน่าขบขันแล้ว วิหคระเบิดเพลิงเป็นแค่วิหคที่มีสายเลือดของวิหคเพลิงเท่านั้น ไหนเลยจะเทียบกับหงส์เพลิงเที่ยงแท้ได้ ศิลาวิญญาณนั้นมีชีวิตอยู่ในเพลิงธรณีน้ำพุเหลืองเป็นเวลานาน น่าจะมีร่างหยินบริสุทธิ์ กลิ่นอายที่พ่นออกมาจากวิหคระเบิดเพลิงสามตัวนี้ใช้ควบคุมสัตว์วิญญาณชนิดนี้ได้” ภิกษุเทียนฉานเอ่ยพร้อมกับหัวเราะน้อยๆ ออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง หากไม่ใช่เพราะกลิ่นอายอ่อนแอ วิหคระเบิดเพลิงก็คล้ายคลึงกับหงส์เพลิงในตำนาน” ได้ยินภิกษุอธิบาย หานลี่ก็ส่งเสียงจุ๊ๆ ด้วยความชื่นชม
ยามนี้ดวงแสงสีดำที่พ่นออกมาจากร่างของอรหันต์เฮยอวี่ตั้งไม่รู้เท่าไหร่ พลันอ้าปากพ่นน้ำเต้าขนาดเล็กสีดำม่วงออกมา
น้ำเต้านี้มีขนาดแค่สองสามชุ่น ผิวเปล่งแสงสีเงินลึกลับสว่างวาบ หลังจากที่อ้าปากออก ก็พ่นแมงป่องผลึกวารีสีครามออกมา ทว่ามีขนาดแค่สองสามฉื่อ แต่ปีกกึ่งโปร่งแสงคู่หนึ่งกลับเผยความวิจิตรงดงามออกมา
จากนี้ภิกษุและชายชราพลันสำแดงในอสูรวิญญาณสี่ตัวอย่างไม่รีบร้อน ทำให้ร่างกายและกลิ่นอายของพวกมันหายไป
ยามนี้เมฆสีดำกลางอากาศพลันปกคลุมทั่วท้องฟ้า ทำให้ทั่วทั้งท้องฟ้าถูกอาบย้อมเป็นสีดำราวกับก้นกระทะ หากไม่ใช่บังเอิญมีอสรพิษสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบเป็นสายๆ ไม่หยุด เกรงว่ายามนี้กล่าวว่าเป็นคืนฟ้ามืดก็มีคนเชื่อ
“พี่หาน พวกเราถอยออกจากภูเขาก่อนชั่วคราวเถิด! สมบัติที่ข้าและปรมาจารย์เทียนฉานจะใช้จะกำจัดกลิ่นอายของพวกเราออกไป” อรหันต์เฮยอวี่ก้มหน้าลง เอ่ยกับหานลี่ที่ยังคงนั่งอยู่ตรงขอบหลุมด้วยความเสียใจเล็กๆ
“นี่เป็นเรื่องที่สมควร! สัตว์วิญญาณฟ้าดินเหล่านี้ล้วนมีประสาทสัมผัสที่น่าตกตะลึง หากไม่เตรียมการไว้ก่อน การมีอยู่ของพวกเราคงไม่อาจปิดบังประสาทสัมผัสของมันได้” หานลี่ยืนขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ ร่างกายพลิ้วไหวกลายเป็นควันสีเขียวหายวับไปจากที่เดิม
ครู่ต่อมาด้านนอกภูเขาพลันมีระลอกคลื่นก่อตัวขึ้น ร่างของหานลี่เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็กอดอกลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
ภิกษุและชายชราเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ไม่เกรงใจ พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ในมือเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ไข่มุกเม็ดหนึ่งปรากฏขึ้น โปร่งแสงแวววาว เย็นเยียบเป็นอย่างยิ่ง
อรหันต์เฮยอวี่สะบัดแขนเสื้อลำแสงสีเขียวพุ่งออกไป หมุนวนโคจรรอบหนึ่ง ในลำแสงมีพัดขนนกสีเขียวปรากฏขึ้น
ภิกษุโบกพัดไปทางลูกแก้วผลึกเล็กน้อย ชั่วขณะนั้นผิวของลูกแก้วผลึกพลันมีอักขระยันต์ห้าสีหมุนวน ไอเย็นเยียบสีขาวหมุนวนแล้วทะลักออกมา
ในเวลาเดียวกันอรหันต์เฮยอวี่ก็ใช้มือข้างหนึ่งร่ายอาคมกระตุ้นสมบัติตรงหน้า
พัดขนนกสีเขียวสั่นเทาเล็กน้อย แล้วสะบัดเบาๆ สองสามครั้ง
เสียง “พรึ่บๆ” ดังขึ้น พายุหมุนสีเขียวทะลักออกมาจากพัด สลายตัวออกกลายเป็นพายุหมุนตัดสลับไปมากับไอเย็นเยียบ
พายุหมุนหิมะม้วนวนไปทั่วยอดเขา ปกคลุมทุกอย่างเอาไว้ในน้ำแข็ง
ทั้งยอดเขาแทบจะกลายเป็นสีขาวในพริบตา
ในยามนั้นเองภิกษุเทียนฉานและอรหันต์เฮยอวี่ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง หลังจากที่ผู้ใดพูดว่า “ไป” แล้ว ก็ขยับร่าง ออกจากพายุหิมะเหมือนกับหานลี่ มาปรากฏตัวด้านนอกยอดเขา
จุดที่ทั้งสองเคยอยู่มีกลิ่นอายหลงเหลืออยู่ ชั่วขณะนั้นพลันถูกพายุหิมะม้วนวนจนสลายหายไป
“อรหันต์ใช้สิ่งนั้นสิ! ดูจากปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ศิลาวิญญาณหวงเหลียนน่าจะปรากฏตัวในอีกสามเค่อ” ภิกษุเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าอีกครั้ง พลางหรี่ตาทั้งสองขณะเอ่ย
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว เกาะศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าเอาสมบัติมาด้วย ไม่ได้เอามาใช้ยามนี้หรือ!” อรหันต์เฮยอวี่หัวเราะหึๆ สองมือถูกันไปมา ลำแสงสีเงินดวงหนึ่งระเบิดออก ตาข่ายเส้นไหมสีเงินหนาๆ ปรากฏออกมาอย่างเงียบเชียบ
“ไป”
ชายชราหน้าตาอัปลักษณ์ร้องตะโกน แล้วกระตุ้นตาข่ายสีเงินระหว่างทั้งสองมือ
หมอกลำแสงสีเงินม้วนวน และเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นหมอกบางๆ สีเงิน ชั่วพริบตาก็ปกคลุมทั่วทั้งภูเขาเอาไว้
จากนั้นชายชราก็ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม หมอกบางๆ บางเบาอย่างหาที่เปรียบ สุดท้ายก็รางเลือนสลายหายไป
“หึๆ มีตาข่ายอัสนีเมฆาเงินอยู่ ศิลาวิญญาณนั่นคิดจะหนีไปทางท้องฟ้าย่อมเป็นไปไม่ได้ ทางที่ดีที่สุดก็คือเคราะห์อัสนีสวรรค์ไม่มีผลกระทบอันใดกับตาข่ายนี้ แม้ว่าศิลาวิญญาณหวงเหลียนจะมีประสาทสัมผัสที่น่าตกตะลึง ก็คงไม่มีการดำรงอยู่ของตาข่ายนี้” ภิกษุเอ่ยพร้อมกับลูบไล้ฝ่ามือแล้วหัวเราะเบาๆ
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ตาข่ายอัสนีนี้เป็นติดอันดับสมบัติวิญญาณหุ้นตุ้น หากไม่ใช่ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เกาะศักดิ์สิทธิ์ไม่มีทางให้ตาเฒ่าเอาตาข่ายนี้ออกมาจากเกาะง่ายๆ แน่ ทว่าแม้ว่ากลางอากาศจะถูกพวกเราแช่แข็งไว้แล้ว แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ศิลาวิญญาณถือโอกาสนี้หนีกลับเข้าไปในเพลิงธรณี รอให้สัตว์วิญญาณนี้ฟาดเคราะห์แล้วอ่อนแอลงแล้ว พวกเราก็กระตุ้นเขตอาคมต้องห้ามทันที ทำให้มันไม่มีทางย้อนกลับไป ทว่าเขตอาคมนี้ก็อาจจะรั้งศิลาวิญญาณเอาไว้ไม่ได้ ถึงยามนั้นก็ต้องให้สหายหานช่วยแล้ว อย่าให้มันหนีกลับเข้าไปใต้ดินได้เด็ดขาด ใช่แล้ว พี่หานต้องระวังเคล็ดวิชาลวงตาของสัตว์วิญญาณชนิดนี้ด้วย” อรหันต์เฮยอวี่เอ่ยกับหานลี่ด้วยความเคร่งขรึม
“สหายทั้งสองโปรดวางใจ หากแค่ขวางไม่ให้มันหนีไป ผู้แซ่หานมั่นใจว่าทำได้” หานลี่จิตสัมผัสไม่ด้อยไปกว่าระดับมหายาน แน่นอนว่าย่อมเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ
“ในเมื่อสหายหานกล่าวเช่นนี้ คิดดูแล้วคงไม่มีปัญหาอันใด เรื่องการลงมือจับเป็นสัตว์วิญญาณ ก็มอบให้ตาเฒ่าและปรมาจารย์เทียนฉานก็แล้วกัน”
เห็นท่าทางมั่นอกมั่นใจของหานลี่ แม้ว่าอรหันต์เฮยอวี่จะรู้สึกไม่สบายใจ แต่ย่อมไม่กล้าพูดอันใดอีก
ดังนั้นหลังจากที่ทั้งสามคนปรึกษากันสองสามประโยคแล้ว ต่างก็ทำการอำพรางกาย
ชั่วพริบตาทั้งยอดเขานอกจากพายุหิมะที่ยังคงเปล่งเสียงกรีดร้องไม่หยุด ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ อีก
หลังจากผ่านไปอีกชั่วครู่ พายุหิมะก็ค่อยๆ หยุดลงแล้วสลายหายไป
ทั้งยอดเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับหิมะ และแผ่ไอเย็นเยียบออกมา
แทบจะในเวลาเดียวกันเมฆสีดำกลางอากาศพลันหมุนวนอย่างเชื่องช้า คาดไม่ถึงว่าจะผนึกรวมตัวกันกลายเป็นระลอกคลื่นยักษ์สีดำสนิท
ในระลอกคลื่นมีประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนรวมตัวกัน และค่อยๆ กลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ ในเวลาเดียวกันเสียงเพรียกที่เดิมดังขึ้นอย่างต่อเนื่องกลับหยุดลง กลางอากาศเปลี่ยนเป็นเงียบสงัด แต่พลังแรงกดที่มากกว่าก่อนหน้ากลับแผ่ไปทั่วทั้งท้องฟ้า และทำให้ผู้คนตกตะลึงมากขึ้นเรื่อยๆ
ในเวลาเดียวกันหมอกสีเหลืองในหลุมยักษ์ก็ค่อยๆ หมุนวน และกลายเป็นระลอกคลื่นขนาดเล็ก
ใจกลางของระลอกคลื่นเป็นสีดำสนิท บางครั้งก็มีไอสีขาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเนื้อทะลักออกมา ดูเหมือนว่าจะมีภูตผีโผล่ออกมาได้ตลอดเวลา