คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1944 ตำหนักศิลา
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1944 ตำหนักศิลา
ชั่วขณะนั้น วานรยักษ์ขนทองคำรามใส่สตรีที่อยู่กลางอากาศอย่างเกรี้ยวกราด ลำแสงสีทองหนาผิดปกติสว่างวาบออก
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง ร่างวานรยักษ์อาศัยจังหวะชุลมุนกลายเป็นวิหคยักษ์สีเงิน มีปีกสี่ปีกงอกออก ตลอดทั้งร่างล้อมรอบไปด้วยหมอกลำแสงสีเงิน
เมื่อวิหคยักษ์กางปีกทั้งสี่ออก ก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งไปยังที่ว่างกลางอากาศ เกิดการสั่นไหวไกลออกไปหลายร้อยจั้ง เส้นแสงปรากฏขึ้นตรงนั้นหลังการสั่นไหว ก่อนหายวับไปอีก
หานลี่รู้สึกว่าสภาพของตนในตอนนี้เป็นฝ่ายเสียเปรียบ สตรีที่อยู่ตรงหน้าเห็นชัดว่าฝีมือระดับสูง จึงรีบบินหนีไปอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
การกลายร่างเป็นวิหคยักษ์สี่ปีกทำให้บินได้เร็วมาก ครั้งก่อนที่สามร่างแยกของเซวี่ยกวงร่วมมือกัน ก็ยังไล่ตามไม่ทันในระยะเวลาอันสั้น เขาจึงมั่นใจในความเร็วของตนเป็นอย่างยิ่ง
สตรีรูปร่างบอบบางกลางอากาศโบกมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีดำทะมึนสายหนึ่งพลันพุ่งลงจากท้องฟ้า ตัดลำแสงสีทองตรงหน้าสลายไปในทันที
แต่ช่วงเวลานี้ วิหคยักษ์ได้บินไปยังไกลแสนไกลแล้ว เหลือเพียงจุดดำจุดหนึ่งให้เห็นรางๆ เท่านั้น
“คิดหนี! คิดว่าเมื่อข้าเห็นเจ้าแล้ว จะปล่อยเจ้าไปรึ โลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องง่ายดายเช่นนี้เล่า!”
สตรีกลางอากาศค้อนขวับให้จุดดำที่อยู่ไกลออกไป แสงเย็นในดวงตาไหลเวียนขณะพูดเสียงเย็นชา
จากนั้นนางก็โบกมือลง เสียงกระแทกพื้นด้านล่าง มนุษย์หินร่างยักษ์สองตนพลันปรากฏขึ้นจากพื้นดิน แล้วบินขึ้นกลางอากาศพร้อมกัน ท่ามกลางการร่ายอาคมของนาง ทั้งสองรวมตัวกันอย่างพิสดาร กลายเป็นดวงแสงสีเทาขาวขนาดใหญ่ เปล่งแสงระยิบระยับ
ขณะนั้นร่างนางพลันขยับ แปลงเป็นไอสีดำกลุ่มหนึ่ง พุ่งตามกลุ่มแสงขนาดใหญ่ไป ก่อนพลุบเข้าไปในนั้น
ทันใด แสงระยิบระยับก็รวมตัวกลางอากาศ ปรากฏเป็นตำหนักศิลาสูงหลายสิบจั้งหลังหนึ่ง
ตำหนักใหญ่หลังนี้เป็นสีเทาขาวทั้งหมด เสาขรุขระสิบกว่าต้นที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น สวยงามแต่ล้วนสร้างความรู้สึกประหลาดให้กับผู้คน
สตรีร่างสูงเพรียวยืนอยู่ใจกลางตำหนักใหญ่ เท้าเนียนดุจหยกก้าวเบาๆ ลงบนพื้นตำหนักศิลา
ก่อนเปล่งคำว่า “ตาม”
แสงวิญญาณสีขาวหนึ่งชั้นลอยออกมาจากพื้นผิวตำหนักศิลา หลังเกิดแรงสั่นสะเทือน ก็พุ่งตามหานลี่ไปทันที ราวกับดาวตกพุ่งเข้าใส่ดวงจันทร์อย่างไรอย่างนั้น
ตำหนักศิลาดูเหมือนเทอะทะ แต่พอเคลื่อนไหว พริบตาเดียวกลับเคลื่อนที่ได้ไกลร้อยจั้ง ความเร็วไม่ได้ด้อยไปกว่าวิหคยักษ์สี่ปีกที่หานลี่แปลงร่างไปก่อนหน้านี้
ซึ่งหานลี่ที่เร่งความเร็วอยู่ด้านหน้า เมื่อเห็นฉากนี้ย่อมตกใจ แต่กลับยิ่งไม่ยอมหยุดแล้วประมือกับผู้ที่ไล่ตามมาง่ายๆ
ฝ่ายตรงข้ามมิใช่ระดับหัวหน้ามารธรรมดาๆ อย่างเห็นได้ชัด ท่ามกลางความวุ่นวายและสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้เขาไม่คิดเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายด้วย
รวมทั้งพลังปราณของสตรีนางนี้ ไม่เพียงทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย ยังรู้สึกค่อนข้างคุ้นเคยด้วย!
นี่ยิ่งทำให้หานลี่ไม่อยากเสี่ยงต่อสู้ โดยที่ยังไม่รู้ที่มาแน่ชัดของคู่ต่อสู้
แม้วิหคยักษ์ที่เขาแปลงร่างอยู่ในตอนนี้เร็วกว่าฝ่ายตรงข้ามอยู่ระยะหนึ่ง แต่ขอเพียงยืดเวลาไปเรื่อยๆ ย่อมมีโอกาสสลัดหลุดฝ่ายตรงข้ามในที่สุด
ดังนั้น แม้ใจของหานลี่เต็มไปด้วยความกังขา ทว่าก็ได้แต่กระตุ้นพลังยุทธ์อย่างเต็มกำลัง กระพือปีกทั้งสี่หนีไปข้างหน้าในอึดใจเดียว
ด้วยความเร็วอันน่าทึ่ง ครึ่งชั่วยามให้หลัง คนทั้งสองก็ออกมาไกลเป็นล้านลี้แล้ว
และตอนนี้ หานลี่ก็ทิ้งห่างตำหนักศิลาที่ตามมาด้านหลังอยู่หลายสิบลี้
ระยะทางเช่นนี้สำหรับคนธรรมดาทั่วไปย่อมถือว่าห่างกันมาก แต่สำหรับการดำรงอยู่ของหานลี่ ยังคงตกอยู่ในสภาวะไม่กี่อึดใจก็ตามทันแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ระยะห่างที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ก็ทำให้หานลี่โล่งใจไปบ้าง อีกทั้งยังพอมีเวลาให้เริ่มทบทวนว่าผู้หญิงที่อยู่ด้านหลังเป็นมาอย่างไรกันแน่
ขณะเดียวกัน ในตำหนักศิลาที่อยู่ด้านหลัง
สตรีชุดชาววังสีฟ้านั่งอยู่บนเก้าอี้ศิลากลางตำหนัก กำลังใช้สายตาอันเย็นชาจ้องมองไปยังทิศที่ไล่ตามอยู่ไม่กะพริบตา
“หึ เจ้ามนุษย์ผู้นี้ เมื่อก่อนยังดำรงชีวิตแบบมดปลวกตัวเล็กๆ ในโลกระดับล่างอยู่เลย ไม่เจอกันแค่พันกว่าปีก็เข้าสู่ระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว ทั้งนี่ยังเป็นวิชาแปลงกายที่น่าตื่นตาตื่นใจเช่นนี้อีก เห็นทีดูแคลนเกินไปไม่ได้เสียแล้ว แต่ถ้าคิดว่าอิทธิฤทธิ์เล็กน้อยแบบนี้จะสามารถรอดพ้นจากสายตาของข้าได้จริงๆ ล่ะก็ ฝันเฟื่องจนเกินไป”
สตรีมีสีหน้าเคร่งขรึมขณะพึมพำกับตัวเอง ก่อนแผดเสียงดัง
“เจ้าสองคนเริ่มเคลื่อนย้ายเถอะ นานขนาดนี้ เพียงพอที่จะให้พวกเจ้ากำหนดพิกัดคนผู้นี้แล้ว”
“รับทราบ ใต้เท้าหยวนซา! เราสองคนจะเริ่มเคลื่อนย้ายส่งตัวทันที แต่พิกัดอาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง อยากให้ใต้เท้าระมัดระวังยิ่งขึ้น”
เสียงหึ่งๆ พลันดังมาจากเพดานตำหนักศิลา หลังจากแผ่นหินที่อยู่ตรงนั้นบิดตัวกลับ ก็กลายเป็นใบหน้ายักษ์อันหยาบกระด้างทันที
“คลาดเคลื่อนเล็กน้อย นับประสาอะไร เพียงพอที่จะให้ข้าสกัดเจ้าเด็กนั่นไว้แล้ว รีบเคลื่อนย้ายเร็ว!”
นางไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ออกคำสั่งอย่างเด็ดขาดกลับไป
“ขอรับ!”
ครั้งนี้ใบหน้ายักษ์ไม่พูดจาพร่ำเพรื่ออีก ขานรับทันที
ถัดมา ตำหนักศิลาซึ่งเคลื่อนที่ได้เร็วมากอยู่แต่เดิม พลันหยุดชะงักกลางอากาศ
ตามด้วยเสียงท่องคาถาด้วยสำเนียงแปลกๆ สองสำเนียง ระหว่างนี้ พอแสงวิญญาณไหลเวียนไปทั่วพื้นผิวตำหนักศิลา อักขระยันต์ห้าสีที่แน่นหนาก็โผล่ขึ้น
อักขระยันต์เหล่านี้ลึกลับและล้ำลึกยิ่ง พอมีเสียงท่องคาถาดังกังวานประสานมา ก็พลันสลัดหลุดจากตำหนักศิลา กระจายออกไปทุกทิศทุกทาง ขณะทยอยกันไหลออก รอบด้านได้กลายเป็นเขตอาคมยันต์ห้าสีขนาดมหึมาในพริบตา
และตำหนักศิลาซึ่งตั้งอยู่กลางเขตอาคมพอดี เปล่งแสงสว่างวาบและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในเวลาเดียวกัน หานลี่ที่กำลังบินร่อน พลันสัมผัสได้ถึงความผันผวนของที่ว่างซึ่งอยู่ไกลออกไป จึงตกใจและหันมองโดยปริยาย
เพียงไม่ไกลกันนัก เขตอาคมยันต์ขนาดมหึมากำลังปรากฏขึ้นอย่างไร้สุ้มเสียง ท่ามกลางลำแสงห้าสีที่วาบจากด้านใน คล้ายมีวัตถุยักษ์หนึ่งชิ้นปรากฏเป็นเงาจางๆ
“แย่แล้ว!”
หานลี่เองก็เชี่ยวชาญวิชาเขตอาคมกับการเคลื่อนย้ายส่งตัว ไหนเลยจะดูไม่ออกว่าเป็นเขตอาคมยันต์เคลื่อนย้ายส่งตัวขนาดมหึมาที่ยากพบพานหลังหนึ่ง
ภายใต้เสียงหวีดที่ยาวนาน ปีกขนาดใหญ่ทั้งสี่ก็ชะงักงันและหยุดเรืองแสงเช่นเดียวกัน แต่ไอดำตรงหว่างคิ้วกลุ่มหนึ่งวาบขึ้น ขณะคราบโลหิตแตกออก ดวงตาสีดำในแนวตั้งพลันปรากฏ
ซึ่งก็คือ เนตรอาคมสูญสลายที่หานลี่ฝึกฝนในร่างกายไม่รู้กี่ปีมาแล้ว ในที่สุดก็ใช้ร่างวิหคยักษ์บังคับมันออกมา นี่ก็คือสิ่งที่ตอนนี้หานลี่ทำได้ในระดับผสานอินทรีย์ ถ้าเปลี่ยนเป็นเมื่อก่อน เรื่องแบบนี้เขาไม่มีทางทำได้อย่างแน่นอน
เนตรอาคมสูญสลายบนศีรษะของวิหคยักษ์แค่ค่อยๆ กลอกลูกตาอย่างน่าพิศวง พลันพ่นเส้นสีดำเส้นหนึ่งออกมา
เส้นสีดำเส้นนี้บางดุจเส้นผม แต่พอสั่นไหว กลับกลายเป็นลำแสงสีดำสนิท หนาเท่าชามข้าว ขณะวาบขึ้นก็หายวับเข้าไปในที่ว่างอย่างไร้ร่องรอย
เสียง ‘ปัง’ ดังขึ้น!
ลำแสงสีดำพลันปรากฏขึ้นบริเวณใกล้ๆ กับเขตอาคมยันต์ และจู่โจมลงบนเขตอาคมยันต์อย่างแรง เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว
ยามนี้ ปรากฏแสงสีดำเจิดจ้า ลำแสงห้าสีก็หมุนวนไม่หยุด แสงทั้งสองถักทอเป็นหนึ่งเดียว ฝังเขตอาคมยันต์ทั้งหมดลงไปในนั้น
หลังจากทำการจู่โจม เนตรอาคมบนหว่างคิ้วของวิหคยักษ์พลันหายไป ขณะเดียวกันปีกทั้งสี่ก็กางออกแล้วพุ่งไปข้างหน้าอีกครั้ง โดยไม่ทิ้งเจตนาในการจู่โจมเอาไว้แม้แต่น้อย
เห็นชัดว่าหานลี่แน่ชัดกับการหนี การจู่โจมของเนตรอาคมสูญสลายไม่มีทางทำร้ายฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแน่นอน จึงต้องรีบหนีออกมา
ความจริงย่อมต้องเป็นเช่นนี้!
เมื่อรอยแตกเปล่งแสงวิญญาณขยายขนาดใหญ่ขึ้น ที่ว่างใจกลางเขตอาคมยันต์ขนาดมหึมาย่อมบิดเบี้ยวและเลือนราง ตำหนักศิลาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างขลุกขลักอยู่บ้าง
ทว่าประโยชน์จากความโกลาหลของที่ว่างก็คือ ตำหนักศิลาไม่มีทางไล่ตามวิหคยักษ์ไปในทันที ได้แต่ประคองแสงสีขาวหนึ่งชั้นไว้ ทำให้โยกคลอนไม่หยุดตามแรงสั่นสะเทือน
“เนตรอาคมสูญสลาย!”
สตรีที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ในตำหนักศิลาเห็นเหตุการณ์กับตา จึงเปล่งเสียงออกมาทีละคำ สีหน้าเปลี่ยนเป็นดูไม่ได้อยู่บ้าง
นางเห็นหานลี่แปลงเป็นวิหคยักษ์กับตา แต่หลังจากขยับไม่กี่ที ก็กลายเป็นจุดดำจุดหนึ่งหนีออกไปอีก
“ตามมันไปอีกเร็ว!” นางเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น พลางออกคำสั่งน้ำเสียงดุดัน
เสียงแหลมๆ สะท้อนไปมาในตำหนักใหญ่ไม่หยุด แสดงถึงอารมณ์โกรธที่ควบคุมไม่อยู่ของเจ้านาย
“เรียนใต้เท้า ผลกระทบจากพลังแห่งที่ว่าง ทำให้เราสองคนต้องปรับเปลี่ยนบางอย่าง ถึงจะสามารถกระตุ้นพลังยุทธ์ได้อีกครั้ง!”
ใบหน้าศิลาขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนเพดานตำหนักใหญ่อีก พร้อมเสียงพูดด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย
“หึ รอจนพวกเจ้าปรับพลังภายในเสร็จ มนุษย์น้อยนั่นก็หนีไปจนไม่เห็นเงาแล้ว ข้าจะช่วยพวกเจ้าอีกแรง!” นางแค่นเสียงเย็นชาออกมา
จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองข้างจับที่เท้าแขนมันวาวของเก้าอี้ศิลาไว้ ขณะเดียวกัน ผิวหนังก็มีไอมารสีดำพวยพุ่งออกมาเป็นชั้นๆ ก่อนพุ่งเข้าสู่ที่เท้าแขนอย่างรวดเร็วราวกับมีไหวพริบ
“ขอบคุณใต้เท้าหยวนซาที่ช่วยเหลือ อีกประเดี๋ยวเราก็ออกตัวได้แล้ว”
ใบหน้าศิลาพูดพลางแสดงสีหน้ายินดีปรีดา
และหลังจากนั้นราวหนึ่งอึดใจ พื้นผิวของตำหนักศิลาก็มีแสงสีขาวไหลเวียน ก่อนกะพริบวาบพุ่งออกไปอีกครั้ง
แม้การเคลื่อนย้ายส่งตัวของตำหนักศิลาในครั้งนี้ไม่สามารถสกัดหานลี่ไว้ได้ แต่ระยะทางที่อยู่ห่างจากหานลี่ก็สั้นลงไม่น้อยจริงๆ นางจึงไล่ตามต่ออย่างไม่ย่อท้อ
หานลี่ก็ย่อมต้องหนีอย่างละเหี่ยใจไม่หยุดหย่อน
เช่นนี้ ทุกครั้งที่หานลี่ทิ้งห่างออกไปไกลหน่อย นางก็ต้องใช้พลังในการเคลื่อนย้ายส่งตัวของตำหนักศิลาวาบหนึ่ง เพื่อให้ระยะทางใกล้กันมากขึ้น
สตรีนางนี้ได้รับความปราชัยในครั้งแรกของการเคลื่อนย้ายส่งตัว พิกัดปลายทางจึงมิได้อยู่ใกล้หานลี่มากนัก ดังนั้นแม้หานลี่มีเนตรอาคมสูญสลายก็ไม่สามารถสร้างความเสียหายใดๆ ให้กับการเคลื่อนย้ายส่งตัว
หานลี่จึงกลัดกลุ้มใจยิ่ง
แม้เขามีเขตอาคมอัสนีที่ใช้เคลื่อนย้ายส่งตัวได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่สามารถควบคุมพิกัดปลายทางได้ โดยถ้าปรากฏตัวใกล้เกิน อาจถูกไล่ล่า แต่ถ้าปรากฏตัวไกลเกิน ก็ต้องร่ายอาคมนาน ซึ่งไม่ทันการแน่
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้สามารถเคลื่อนย้ายได้ไกลกว่าหมื่นลี้ในคราวเดียวจริงๆ คิดดูแล้วก็ยังไม่มีทางสลัดหลุดจากการกำหนดพิกัดด้วยพลังจิต ซึ่งใช้เวลาไม่นานก็ไล่ตามทันอีก
ดูจากท่าทีของสตรีที่อยู่ด้านหลัง นางคล้ายสลัดหลุดได้ยากกว่าสามร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเซวี่ยกวงในครั้งนั้นเสียอีก
เมื่อทั้งสองฝ่ายเป็นเช่นนี้ ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งไล่ ก็เพียงพอที่จะไล่ตามกันได้นานครึ่งค่อนวัน
เนื่องจากเส้นทางที่หานลี่เลือกรกร้างว่างเปล่า จึงไม่เจอมารตนอื่นๆ ยื่นมือเข้าแทรกระหว่างทาง
แต่พอเห็นท่าทีการไล่ล่าที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งสามารถบีบกันไปจนสุดขอบโลก หานลี่ก็ค่อยๆ เคร่งขรึมลง ต้องเริ่มครุ่นคิดถึงแผนการอื่นๆ ในการสลัดหลุดแล้ว
เขาย่อมไม่รู้ว่า ในตำหนักศิลาที่อยู่ด้านหลังร้อยกว่าลี้นั้น สตรีชุดชาววังสีฟ้าได้หยิบกระจกโบราณสีดำบานหนึ่งออกมา แล้วพูดคุยอันใดกับมารตนหนึ่งในกระจกอย่างไร้อารมณ์