คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1945 ศัตรูตัวฉกาจร่วมมือกัน
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1945 ศัตรูตัวฉกาจร่วมมือกัน
“หยวนซา ทำไมถึงเป็นเจ้าไปได้! เจ้าส่งร่างแยกเข้าไปในโลกวิญญาณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ถ้าข้าจำไม่ผิด การไปจุติของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ในครั้งนี้เหมือนไม่มีชื่อเจ้ารวมอยู่ด้วย ต่อไปก็ยิ่งไม่มีโอกาสที่จะให้ร่างจริงไปจุติ”
มารในกระจกโบราณกลับเป็นชายหนุ่มหน้าใสในชุดยาวสีแดงโลหิตคนหนึ่ง แต่หน้าตาคล้ายไม่น่าดูนัก ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเซวี่ยกวง ผู้บัญชาการทัพใหญ่มารแห่งเมืองเทียนหยวนท่านนั้น
“เซวี่ยกวง ข้าแค่แปลงร่างมาจุติในโลกใบนี้เพื่อช่วยเหลือลิ่วจี๋นิดหน่อย มิได้บัญชาการทัพใหญ่ และมิได้คิดว่าจะให้ร่างจริงมาจุติ ย่อมไม่นับว่าละเมิดข้อตกลงกับทุกคนในตอนแรก เจ้าจะเอาอันใดมากล่าวโทษข้า”
สตรีชุดชาววังตอบอย่างเฉยชา
“หึ จะอธิบายยังไงก็แค่ข้ออ้างเท่านั้น ไม่พูดเรื่องนี้กับเจ้าแล้ว ในเมื่อเจ้าแปลงร่างมาช่วยลิ่วจี๋ แล้วเหตุใดจึงมาปรากฏตัวในพื้นที่รับผิดชอบของข้าเล่า ไม่ว่าด้วยอารมณ์หรือเหตุผลก็ควรมีคำอธิบายให้ข้าหน่อย อย่าบอกนะว่า ของวิเศษที่ใช้เหนี่ยวนำขณะข้ารบอยู่บนเรือเกิดความผิดพลาด”
เซวี่ยกวงรู้สึกโกรธ แต่กับสตรีนางนี้ เห็นชัดว่าเขามีความเกรงกลัวอยู่บ้าง จึงได้แต่แค่นเสียงเย็นชาออกมาและถามกลับไป
“ก็ไม่ถึงกับผิดพลาดหรอก ตอนนี้ข้าอยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของเจ้าจริง และกำลังล่าสังหารมนุษย์บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งอยู่ แต่เป็นการทำตามคำสั่งของลิ่วจี๋ อีกอย่าง เรื่องนี้เป็นประโยชน์ต่อกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ทุกเผ่า เจ้าไม่จำเป็นต้องยุ่มย่ามให้มากจนเกินไป” สตรีตอบอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“ล่าสังหารมนุษย์บำเพ็ญเพียร? อาศัยอิทธิฤทธิ์เคลื่อนย้ายส่งตัวของมารศิลาผู้ยิ่งใหญ่สองตนที่เจ้ามีอยู่ในมือ นอกจากระดับมหายานแล้ว มนุษย์หน้าไหนจะหนีการล่าสังหารของเจ้าพ้น ในเมื่อเรื่องของมนุษย์ผู้นี้มีผลต่อกองทัพเผ่าศักดิ์สิทธิ์ทุกเผ่า ข้าก็นิ่งดูดายไม่ได้เหมือนกัน ข้าจะรีบส่งร่างแยกอื่นๆ ไปสมทบกับเจ้า ช่วยเจ้าอีกแรง”
ชายหนุ่มชุดสีโลหิตกะพริบตา ก่อนเอ่ยอย่างมีลับลมคมใน
“พูดเช่นนี้ เจ้ายังคงไม่ไว้ใจข้าสินะ ร่างแยกอื่นๆ ข้ากลับไม่ค่อยได้ยินใครพูดถึง เซวี่ยกวง เจ้าทำการแปลงกายยืมร่างสามผู้ยิ่งใหญ่มาจุติในโลกวิญญาณเช่นนี้ ไม่กลัวว่าร่างเดิมในโลกศักดิ์สิทธิ์จะมีปัญหาหรือ อีกอย่าง ตอนนี้เพิ่งจะส่งคนมา ไม่รู้สึกว่าสายเกินไปหน่อยหรือ! รอให้ร่างแยกของเจ้ารุดมาถึง ข้าก็เผด็จศึกไปนานแล้ว”สตรีหรี่ตาสวย ยิ้มเย็นชาก่อนพูด
“เรื่องของข้า หยวนซา เจ้าอย่ายื่นมือเข้ามายุ่ง ส่วนร่างแยกอื่นๆ พวกเขาน่าจะอยู่ไม่ไกลจากเจ้าแล้ว ราวครึ่งวันก็ไปสมทบกับเจ้าได้ ข้าเพิ่งยืมถาดจักรวาลมาจากมังกรพิษ ใช้ช่วยเจ้าอีกแรงได้พอดี” ชายหนุ่มชุดสีโลหิตพูดเสียงเบา
“อันใดนะ ถาดจักรวาล! มังกรพิษให้เจ้ายืมของวิเศษแบบนี้ด้วยรึ เขาหวงแหนมันยิ่งชีพมาตลอดนี่”
สตรีหน้าเปลี่ยนสีทันที แสดงท่าทางตกอกตกใจออกมาในที่สุด
“หึๆ แค่มีค่าชดเชยเพียงพอ มังกรพิษมีหรือจะไม่ยอมให้ยืม ว่าแต่มนุษย์บำเพ็ญเพียรที่เจ้าล่าสังหารอยู่นี่เป็นใครมาจากไหน ถึงหนีรอดจากเงื้อมมือเจ้าไปได้ ดูไปแล้วเป็นมนุษย์ที่ดำรงอยู่ในระดับที่สำคัญมากอยู่! เจ้ารีบติดต่อกับร่างแยกข้า ข้าจะให้พวกเขาอ้อมไปซุ่มอยู่ข้างหน้า แล้วออกมาขวางโดยที่เขาทันไม่คาดคิด”
ชายหนุ่มชุดสีโลหิตพลันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“เจ้าจะลงมือก็ได้ แต่คนผู้นี้เคยล่วงเกินข้ามามากในโลกระดับล่าง หลังจากจับกุมเขาได้ ต้องมอบเขาให้ข้าจัดการ หาไม่แล้ว ข้ายอมจัดการเรื่องนี้เพียงลำพัง แม้ต้องเสียเวลามากหน่อยก็ตาม”
พอได้ยิน สตรีก็ประหลาดใจ แต่หลังจากครุ่นคิดสักพัก ค่อยพูดอย่างสงบนิ่ง
“เคยล่วงเกินเจ้าในโลกระดับล่าง? น่าสนใจจริงๆ! ข้าเหมือนเคยได้ยินมา หยวนซา ตอนเจ้าอยู่ในโลกระดับล่าง วิญญาณส่วนหนึ่งเคยถูกคนระดับล่างกำจัดมาก่อน ไม่น่าใช่มนุษย์บำเพ็ญเพียรที่ล่าสังหารในตอนนี้ล่ะสิ ฮ่าๆ คำพูดนี้ ช่างเหมาะเจาะอะไรเช่นนี้!”
หลังจากชายหนุ่มชุดสีโลหิตอึ้งไปครู่หนึ่ง ก็แสดงท่าทีเย้ยหยันออกมา
“ถ้าเจ้าจงใจมาเย้ยหยันข้า ก็ไม่ต้องพูดอันใดอีก”
หน้าสวยของสตรีเคร่งขรึมลง ก่อนยกมือขาวเนียนขึ้น แสงสีดำกะพริบ กำลังจะยุติการติดต่อกับกระจกโบราณ
“ช้าก่อน ข้ารับปากคำขอเจ้า แต่พอเรื่องนี้จบลง เจ้าต้องช่วยข้าจัดการเรื่องหนึ่ง และต้องออกจากพื้นที่รับผิดชอบของข้าทันที” ชายหนุ่มชุดสีโลหิตพลันโพล่งเสียงต่ำ
“ช่วยเจ้าเรื่องใด” สตรีแปลกใจเล็กน้อย ผ่อนการร่ายเวทในมือลง
“ง่ายมาก ช่วยข้ารับมือมนุษย์บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่ง” ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลใจ
“เจ้ามิใช่มีร่างแยกของสามผู้ยิ่งใหญ่มาจุติหรอกหรือ เหตุใดยังต้องการความช่วยเหลือจากข้าอีก! เจ้าคิดจะทำอันใด มิใช่คิดให้ร่างแยกของข้าไปต่อกรกับมนุษย์ที่ดำรงอยู่ในระดับมหายานหรอกนะ!”
ในใจของสตรีชุดชาววังสีฟ้าเย็นยะเยือก ก่อนถามอย่างตื่นตระหนก
“หึหึ ไปต่อกรกับมนุษย์ที่ดำรงอยู่ในระดับมหายาน เจ้าคิดมากไปจริงๆ ต่อให้เจ้าคิดรนหาที่ ข้าก็ยังรู้สึกเสียดายร่างแยกเหล่านี้อยู่ดี วางใจเถอะ ที่เจ้าจะต่อกรด้วยเป็นแค่มนุษย์ที่ดำรงอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ เพียงแต่คนผู้นี้มีของวิเศษติดตัวอยู่มาก ร่างแยกผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้นของข้า แม้ยืมกายมาจุติแต่มิได้พกของวิเศษติดไม้ติดมือมา จึงยังทำอันใดคนผู้นี้ไม่ได้ ถ้ามีสหายช่วยเหลือ ก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว”
ชายหนุ่มชุดสีโลหิตพูดพลางยิ้มน้อยๆ
“แค่นักบำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์คนหนึ่ง งั้นก็ไม่มีปัญหา เช่นนี้เป็นอันตกลง เจ้าบอกวิธีติดต่อร่างแยกเหล่านั้นมาสิ”
ได้ยินเช่นนี้ สตรีชุดฟ้าก็เบาใจลง จึงถามอย่างไม่ลังเลใจใดๆ อีก
ชายหนุ่มชุดสีโลหิตย่อมบอกอย่างเต็มปากเต็มคำ จากนั้นก็ใช้นิ้วจิ้มไปที่กระจก อักขระยันต์สีเงินชุดหนึ่งพุ่งออกจากกระจก…
ขณะเดียวกัน หานลี่ก็กำลังบินร่อนไปข้างหน้า โดยไม่รู้ว่าศัตรูมารสองตนบังเอิญร่วมมือกันแล้ว
เขาบินร่อนพลางครุ่นคิดอย่างจริงจัง กลับยังคิดแผนสลัดหลุดไม่ออกในช่วงระยะเวลาอันสั้น
นี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด
เมื่อไม่นานมานี้ เขาเพิ่งลงมือเต็มที่กับเหล่าร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเซวี่ยกวงไป ไม่ว่าจะเป็นยันต์ตาข่ายอาคมหรือสมบัติวิเศษต่างๆ ล้วนถูกใช้งานอย่างหลากหลายทุกรูปแบบ จึงรู้สึกได้ว่าของวิเศษที่มีอยู่ไม่เพียงพอแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น แม้เขาสัมผัสได้ถึงอันตรายของมารสาวที่อยู่ด้านหลัง แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะยอมแพ้อย่างจริงจัง ส่วนอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างไรนั้น เขายังมืดแปดด้าน ทำให้รับมือลำบากอยู่
หานลี่ตรึกตรองอยู่ครึ่งค่อนวัน ยังคงตัดสินใจว่า ต้องชัดเจนให้ได้ก่อนว่าสตรีที่อยู่ด้านหลังมีพลังตื้นลึกหนาบางแค่ไหน แล้วค่อยพิจารณาเรื่องอื่นๆ
ที่สุดแล้ว ก็มีเพียงรู้เขารู้เรา ถึงมั่นใจในชัยชนะ!
พอตัดสินใจเสร็จสรรพ วิหคยักษ์ที่หานลี่แปลงกายอยู่ ก็ปล่อยขนวิหคนับไม่ถ้วนออกจากร่าง กลายเป็นยันต์หลายแผ่นกับธงอาคม และจานอาคม แล้วจึงหันหลัง เป่าพรวดเดียว วางกับดักค่ายกลใหญ่เล็กแตกต่างกันไว้หลายแบบ จากนั้นก็ใจจดใจจ่อกับการหนีไปให้ไกลต่อ
ผลก็คือ หลังจากนั้นไม่นาน หานลี่คลับคล้ายได้ยินเสียงระเบิดดังต่อเนื่องจากด้านหลัง กับดักค่ายกลคาถาเหล่านั้นกับพลังจิตที่มีอยู่ได้สูญเสียการติดต่อไป
หานลี่พลันใจหายวาบ!
จากความเร็วที่ฝ่ายตรงข้ามทำลายกับดักที่วางเอาไว้ อิทธิฤทธิ์ย่อมร้ายกาจกว่าที่เขาคาดเดาหลายขุม และห่างไกลเกินกว่าจะเทียบกับหัวหน้ามารธรรมดา แบบไม่ได้ด้อยไปกว่าร่างแยกสามร่างของเซวี่ยกวงเลย
อีกทั้งพลังปราณของฝ่ายตรงข้ามก็เหมือนคุ้นๆ ทำให้ใจเขาขนลุกนิดๆ คล้ายนึกถึงการมาของศัตรูตัวฉกาจที่เกรงกลัวมานาน
หรือฝ่ายตรงข้ามจะเป็นร่างแยกของท่านนั้นจริงๆ
ถ้าเป็นเช่นนี้ จากความแค้นอันใหญ่หลวงในโลกมนุษย์ที่ตนทำลายวิญญาณส่วนหนึ่งของฝ่ายตรงข้ามในตอนนั้น การที่ฝ่ายตรงข้ามไล่ล่าตนอย่างไม่ลดละก็ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
จากความคิดเมื่อครู่ ในที่สุดหานลี่ก็นึกขึ้นได้ว่า พลังปราณของสตรีด้านหลังกับวิญญาณส่วนหนึ่งของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์หยวนซาที่ถูกสะกดไว้ในโลกมนุษย์ตอนนั้นคล้ายกันอยู่บ้าง ในความประหลาดใจมีบางส่วนที่ว้าวุ่นใจขึ้นมา
แต่ในเมื่อรู้แล้วว่าอิทธิฤทธิ์ของฝ่ายตรงข้ามไม่ธรรมดา ซ้ำยังอาจเป็นศัตรูมารตัวฉกาจของตนอีก เขาก็ยิ่งไม่สามารถเปลี่ยนความคิดไปเป็นหยุดบินแล้วเข้าต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม จึงได้แต่กระตุ้นและโคจรพลังภายใน พลางหนีลูกเดียวตลอดทาง
เขาคิดไว้แล้วว่า ถึงแม้ตำหนักศิลาหลังนั้นเคลื่อนย้ายส่งตัวได้ แต่ก็กินพลังกว่าการเคลื่อนที่ปกติมากมาย ถ้ายืดเวลาไปเรื่อยๆ ฝ่ายที่ทนไม่ไหวก่อน เป็นไปได้สูงที่จะเป็นฝ่ายตรงข้าม
ดังนี้ใจของหานลี่จึงสงบลง แต่ก็เตรียมพร้อมที่จะแลกหมัดกับฝ่ายตรงข้ามชนิดไม่เสียดายแม้ต้องสูญเสียพลังปราณไป
โดยหลังจากนั้น เขาก็จะไม่ลงมือทดสอบอันใดอีก ได้แต่ร่ายอาคมบางอย่างออกมา แล้วหยิบหินวิญญาณชั้นดีมาไว้ในมือ เริ่มดูดซับพลังวิญญาณกับฟื้นฟูด้วยฤทธิ์ยา
ส่วนตำหนักศิลานั่น หลังจากทำการเคลื่อนย้ายส่งตัวไม่หยุดหย่อนเป็นระยะๆ ก็ยังคงตามอยู่ด้านหลังของเขาไม่ลดละ
ทั้งสองฝ่ายไล่ตามกันบนท้องฟ้าสูงหมื่นจั้ง ประหนึ่งดาวตกไล่ตามดวงจันทร์ จนผ่านไปอีกครึ่งค่อนวัน!
พวกเขาเหาะข้ามพื้นที่รกร้างกับทะเลทรายสีเหลืองเข้ม จนถึงหนองน้ำที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้เตี้ยๆ ท้องฟ้าแจ่มใสเป็นพิเศษ นอกจากเมฆขาวที่ลอยเอื่อยๆ สองสามก้อนกับแสงแดดที่แผดจ้าอยู่ด้านบนแล้ว ก็ไม่มีอันใดปรากฏในสายตาอีก
หานลี่ที่แปลงกายเป็นวิหคยักษ์อยู่ด้านหน้า รู้สึกได้ว่า ความถี่ในการเคลื่อนย้ายส่งตัวของตำหนักศิลาที่อยู่ด้านหลังค่อยๆ ลดน้อยลง จึงอดไม่ได้ที่จะดีใจขึ้นมา
และในตอนนี้เอง พลังจิตของเขาพลันได้ยินเสียงที่ค่อนข้างอ่อนแรงเสียงหนึ่ง
“นายท่านระวัง ข้างหน้าคล้ายมีพลังปราณแบบศัตรู!”
เสียงไม่ดัง แต่มีความใส คล้ายเสียงเด็กผู้ชาย
พอหานลี่ได้ยิน กลับตกใจ แต่ปีกทั้งสี่ก็ยังไม่หยุดเรืองแสง รีบถามกลับทันที
“ใครน่ะ หรือว่าเป็น…”
“นายท่านจำข้าไม่ได้แล้วหรือ ข้าคือมิคาทนไง เพิ่งตื่นขึ้น ประเดี๋ยวจะหลับลึกอีกรอบ แต่ข้างหน้ามีศัตรูอยู่จริงๆ ข้าสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงจิตสังหารเปี่ยมความชั่วร้ายที่พวกเขามีต่อนายท่าน”
เด็กชายคล้ายกระวนกระวายใจยิ่ง หลังจากเร่งรีบพูดอีกสองสามประโยค ก็หาวไปครั้งหนึ่ง แล้วไม่มีสุ้มเสียงใดๆ ดังมาอีก
“อสูรมิคาทน? จิตสังหารของศัตรู?” หานลี่ประหลาดใจยิ่ง
ตอนนั้น หลังจากอสูรมิคาทนกลืนกินแก่นปีศาจซึ่งเป็นความหวังของอสูรมืดเข้าไป แม้เขากำลังทำการเลื่อนระดับและได้สติอยู่ระยะหนึ่ง แต่พอเข้าสู่ขั้นผสานอินทรีย์ เขาก็เข้าสู่การหลับลึกอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
การหลับลึกในครั้งนี้ มิได้มีสาเหตุมาจากยาปีศาจอสูรมืดนั่น แต่คล้ายกับว่ อสูรตัวนี้เดิมทีได้บำเพ็ญเพียรมาถึงจุดคอขวดใหญ่มากจุดหนึ่ง จึงเริ่มสะสมพลังด้วยการหลับใหลตามสัญชาตญาณ เพื่อทำการบรรลุอีกครั้ง!
ตอนนี้มันพลันบังเอิญตื่นขึ้นในเวลาเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถพูดภาษาคนได้ ย่อมทำให้เขาประหลาดใจยิ่ง
แต่จิตสังหารแบบศัตรูที่อสูรตัวนี้พูดถึงคืออะไรอีก เหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงไม่พบลางบอกเหตุแม้แต่น้อย
พอความคิดเปลี่ยนอย่างรวดเร็วเช่นนี้ หานลี่ที่แปลงเป็นวิหคยักษ์ พลันกวาดตามองไปข้างหน้าอย่างฉับไวราวกระแสไฟ พลางส่งพลังจิตขนาดใหญ่ออกไปรอบๆ ราวกระแสน้ำ
แต่พื้นที่บริเวณใกล้เคียงล้วนว่างเปล่า ไม่มีพื้นที่น่าสงสัยแต่อย่างใด หานลี่ครุ่นคิดอย่างอดไม่ได้
ขณะเดียวกัน ในเครื่องรางของขลังลึกลับอันหนึ่ง
เงาสีโลหิตสามเงายืนเคียงไหล่กัน จ้องมองกำแพงแก้วอันสูงใหญ่ที่ลอยอยู่ด้านหน้า
บนพื้นผิวสีขาวของกำแพงแก้วอันสูงใหญ่ พลันสะท้อนภาพวิหคยักษ์สีเงิน มีประกายไฟล้อมรอบตลอดทั้งตัว!
บนหลังของวิหคยักษ์มีสี่ปีก มันกำลังมองซ้ายมองขวา สำรวจอะไรต่อมิอะไรรอบบริเวณ ม่านตาสีทองอ่อนเต็มไปด้วยท่าทีสงสัย
“นึกไม่ถึงจริงๆ ว่า มนุษย์บำเพ็ญเพียรที่หยวนซาไล่ล่าอยู่ ก็คือคนผู้นี้ หึหึ ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน แต่พอเลิกตามหากลับเจอง่ายๆ ซะงั้น!”
เงาโลหิตที่อยู่ตรงกลางพลันเปล่งเสียงหัวเราะอย่างน่าหวาดกลัวออกมา เสียงซึ่งเปี่ยมไปด้วยความโกรธที่เก็บกดอยู่!