คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1947 ทุลักทุเล
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1947 ทุลักทุเล
หานลี่ย่อมสัมผัสได้ว่ามารไล่ล่าที่อยู่ด้านหลังใกล้เข้ามาอีกแล้ว
ร่างแปลงวิหคยักษ์พลันส่งเสียงร้องเบาๆ ดอกไม้สีทองจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวออกทันที
แต่ละดอกสั่นไหวตามแรงลม ก่อนทยอยกันกลายเป็นแมลงปีกแข็งสีทองตัวใหญ่เท่าชามข้าว
แมลงเหล่านี้เป็นแมลงสีทองโตเต็มวัยที่หานลี่เก็บเอาไว้ และปล่อยออกนับพันตัวในคราวเดียว
แม้เงาโลหิตสีทองเหล่านั้น ร่างคล้ายเป็นอมตะ แต่ถ้าถูกแมลงกลืนทองมากมายเช่นนี้ปกคลุมในพริบตาเดียว ย่อมถูกกลืนกินจนว่างเปล่า ไม่เหลือแม้แต่สารตกค้างใดๆ ในไม่กี่อึดใจแล้ว
วิหคยักษ์ที่หานลี่แปลงกายอยู่ส่งเสียงร้องยาวอีกครั้ง แมลงวิญญาณทั้งหมดทยอยกันบินกลับมา!
เสียงดังกึกก้อง!
หลังจากวิหคยักษ์กระพือปีกทั้งสี่ ก็กลายเป็นประกายไฟสีเงิน หายวับไปจากที่เดิม
ได้ยินเสียงฟ้าร้องอย่างต่อเนื่องตรงขอบฟ้า ประกายไฟสีเงินกะพริบอยู่สองสามครั้งตรงที่เดิม แล้วก็ไม่เห็นเบาะแสใดๆ อีก
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ถาดหยกกับตำหนักศิลาก็มาถึงพร้อมเสียงดังหวีดหวิว หลังจากชะงักงันไปชั่วขณะ จึงหยุดลงพร้อมกันในบริเวณที่ว่างใกล้ๆ กัน
แสงสว่างวาบ เงาสองเงาปรากฏเหนือศีรษะคนทั้งสอง
เงาหนึ่งรูปร่างผอมเพรียว อีกเงาหนึ่งร่างเปล่งแสงโลหิตรางๆ
ซึ่งก็คือร่างแยกของหยวนซากับเซวี่ยกวง!
แม้ทั้งสองกวาดตามองไปรอบๆ แต่สีหน้าท่าทางกลับแตกต่างกัน
สตรีชุดชาววังสีฟ้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ แต่ระหว่างกลอกตาสวย มีความขุ่นเคืองแฝงอยู่
ส่วนชายหนุ่มชุดสีโลหิตกลับหน้าเขียวซีด หว่างคิ้วเต็มไปด้วยอารมณ์โกรธ
“เจ้ามนุษย์นี่นี่จัดการยากจริงๆ ขนาดระดับผู้อารักขาแก้วแสงโลหิตของข้าก็ยังสกัดไว้ไม่ได้สักครา เห็นที เขาตัดสินใจใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าและข้าแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วจริงๆ” เซวี่ยกวงพูดอย่างจงเกลียดจงชัง
“เหอะ ผู้อารักขาของเจ้ามิใช่เป็นที่รู้จักในนามร่างอมตะหรอกหรือ ในเมื่อถูกแมลงวิญญาณตัวเล็กตัวน้อยจำนวนหนึ่งทำลายไป เจ้าก็ไร้ซึ่งประโยชน์อย่างเลี่ยงไม่ได้แล้ว!” หยวนซากลับแค่นเสียงเย็นชา ก่อนพูด
“หยวนซา เจ้าหยุดพูดจาทิ่มแทงได้แล้ว ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าดูความเป็นมาเป็นไปของแมลงวิญญาณเหล่านี้ไม่ออก! ต่อให้ผู้อารักขาของข้าฝึกวิชาโลหิตมารมา ก็ไม่มีทางต้านการกลืนกินของแมลงโบราณที่ดุร้ายได้” เซวี่ยกวงตอบอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าย่อมดูออก ถ้าแมลงกลืนทองเหล่านี้มีเป็นแสนเป็นล้านตัว ข้ายังเกรงกลัวอยู่บ้าง แต่เมื่อมีแมลงกลืนทองเพียงน้อยนิดแค่นี้ จะทำอันใดเจ้ากับข้าได้จริงๆ อย่างมากถึงตอนนั้นก็ใช้ของวิเศษจำพวกหินไม้ขังมันไว้ก็สิ้นเรื่อง” สตรีพูดเสียงเบา
“ของวิเศษจำพวกหินไม้ ข้ามีติดตัวอยู่สองสามชิ้น แต่เจ้าแน่ใจหรือว่า ในตัวเจ้ามนุษย์มีแมลงวิญญาณแค่นี้ ถ้าเขามีแมลงวิญญาณแสนกว่าตัวที่ปลุกเสกได้ล่ะ ข้าอาจรับมือไม่ไหว อีกอย่าง ไม่รู้ว่าเจ้ามนุษย์มีไม้ตายอีกมากเท่าไหร่ที่ยังไม่สำแดงออกมา เราบีบเขามากขนาดนี้ เป็นไปได้ที่จะตกอยู่ในสภาพพ่ายแพ้และบาดเจ็บกันทั้งสองฝ่าย!” มุมปากของเซวี่ยกวงกระตุกเล็กน้อย ก่อนพูด
“แมลงกลืนทองแสนกว่าตัว! เจ้ายังกล้าคิดเช่นนี้จริงๆ ดีล่ะ ต่อให้เจ้าหนุ่มแซ่หานพกแมลงวิญญาณไว้กับตัวมากเท่านี้จริงๆ เจ้าคิดว่าเขามีพลังปลุกเสกที่แกร่งขนาดนี้เชียวหรือ ปลุกแมลงกลืนทองแสนกว่าตัว ถ้าร่างเดิมของเจ้ากับข้าอยู่ที่นี่ ก็ทำให้พลังจิตของเขาสูญเปล่าได้ทันที วางใจเถอะ แมลงวิญญาณเมื่อครู่น่าจะเป็นที่สุดของเจ้ามนุษย์แล้ว ถ้าสามารถปลุกเสกให้รับมือศัตรูได้ง่ายๆ จริงๆ ใยถึงไม่ใช้จัดการเราแต่แรกเล่า ยังต้องรอให้ถึงตอนนี้อีก จริงอยู่เจ้ามนุษย์มีอิทธิฤทธิ์ไม่เบา เราต้องระมัดระวังให้มากหน่อย เซวี่ยกวง เจ้าคงไม่ตัดสินใจละทิ้งไปเสียแต่ตอนนี้หรอกนะ ถ้าเป็นเช่นนี้จริง ข้าไล่ตามไปคนเดียวก็ได้ เจ้าแค่ระดมลูกน้องไปปิดเส้นทางหนีกลับฐานที่มั่นในโลกมนุษย์ของคนผู้นี้ ปิดผนึกให้หมดก็พอ” สตรีเบ้ปาก แล้วจึงยิ้มเย็นชาก่อนพูด
“ข้าก็พูดไปเช่นนั้นเอง ในเมื่อสหายมีความมั่นใจเช่นนี้ ข้าย่อมต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่จนถึงที่สุด” ชายหนุ่มชุดสีโลหิตหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แต่ก็รีบหาวก่อนพูด
บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้เคยเสียของวิเศษชิ้นสำคัญให้หานลี่ไปสองชิ้นติดต่อกัน จะยอมละทิ้งไม่ไล่ตามจริงๆ ได้อย่างไรกัน
“แต่เจ้าก็รู้ว่า แม้ข้าบัญชาการทัพใหญ่เผ่าศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่นี้ แต่ก็ไม่สามารถใช้กำลังทหารทั้งหมดมาล้อมจับเจ้ามนุษย์ได้ มิฉะนั้นหากผิดพลาดขึ้นมาจริงๆ ข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายให้ผู้อื่นฟังอย่างไร” เซวี่ยกวงกลอกตาไปมา แล้วพูดขึ้นทันที
“นี่เจ้าอยากจะพูดอันใดก็พูดมาตามตรงเถอะ ไม่ต้องอ้อมค้อม” สตรีเลิกคิ้ว แล้วพูดอย่างอดรนทนไม่ไหว
“หึๆ ไม่มีอันใด ในเมื่อไม่มีทางจับมนุษย์บำเพ็ญเพียรผู้นี้ได้ในเวลาอันสั้น เราก็ได้แต่ต้องวางแผนระยะยาวบ้างแล้ว เหตุใดสหายถึงไม่ขอให้ลิ่วจี๋ส่งยอดฝีมือจำนวนหนึ่งมาล่ะ แบบนี้ถึงเจ้ามนุษย์มีปีกก็ยากบินหนี อาศัยมิตรภาพของเจ้ากับลิ่วจี๋ เรื่องเล็กๆ แค่นี้ไม่น่าจะเป็นปัญหานี่” เซวี่ยกวงจ้องหน้าสตรี พลางค่อยๆ พูด
“ส่งคนของลิ่วจี๋มา? อือ นี่เป็นวิธีที่ไม่เลวทีเดียว ดี ข้ารับปากเจ้าก็ได้ แต่ในระหว่างนี้ คนของเจ้าต้องพัวพันเจ้ามนุษย์นี่ให้ดีๆ อย่าให้เขามีเวลาหายใจแม้แต่น้อย ยิ่งอย่าปล่อยให้เขาฉวยโอกาสหลุดรอดไปได้” สตรีกะพริบตาปริบๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดอย่างไร ถึงได้ตกปากรับคำไป
“สหายหยวนซาวางใจ ข้าย่อมระดมกำลังไปปิดกั้นเส้นทางทั้งหมดที่มุ่งสู่เมืองเทียนหยวนกับพื้นที่ใหญ่ๆ สองสามแห่งของมนุษย์ ไม่ให้เขาไปสมทบกับคนอื่นๆ จนสุดท้ายกลายเป็นวิหคตื่นคันธนู” เซวี่ยกวงรับรองอย่างหน้าชื่นตาบาน
“อืม เช่นนี้ดีที่สุด ก่อนที่คนของลิ่วจี๋จะมาถึง เจ้ากับข้าก็เฝ้าตามอยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลแบบนี้ไปเรื่อยๆ รอจนเจ้ามนุษย์อ่อนระโหยโรยแรง เราค่อยไล่ตามไปลงมือ น่าจะจับกุมเขาได้สบายๆ!” สตรีพูดเสียงเย็นชา
“อันนี้แน่นอน! ความจริงจากอิทธิฤทธิ์ของเรา ถ้าใจแข็งยอมเสียพลังปราณไปบ้าง จะไม่มีทางทำอะไรเจ้ามนุษย์จริงๆ ได้อย่างไรกัน” เซวี่ยกวงพูดพร้อมรอยยิ้ม
“เอาล่ะ เราขยับตัวกันเถอะ เจ้ามนุษย์นี่หนีได้ไวจริงๆ ขืนยังไม่ไปกันอีก อาจหนีออกจากขอบเขตการรับรู้ของเราไปจริงๆ” หยวนซาโพล่งขึ้นพลางชะเง้อมองไปยังพื้นที่ห่างไกล
“อันนี้แน่นอน แต่ก่อนไป ข้าต้องระดมกำลังพลอีกเจ็ดระลอกไปรออยู่ตรงนั้น น่าจะกินพลังเขาได้อีกหลายเที่ยว” เซวี่ยกวงพยักหน้าเล็กน้อย พูดพลางหลุดสีหน้าแปลกๆ ออกมา
พอหยวนซาได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่พูดอันใดอีก ร่างอรชรพลิ้วไหว แปลงเป็นแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งไปที่ตำหนักศิลา
ส่วนเซวี่ยกวงทำมือข้างเดียวร่ายคาถา เสียงดัง ‘ปัง’ แปลงเป็นไอดำกลุ่มหนึ่ง หายเข้าไปในถาดหยก
ถัดมา แสงวิญญาณของตำหนักศิลากับถาดหยกขนาดใหญ่หมุนวนอยู่สักพัก ค่อยพุ่งจากไปพร้อมเสียงดังหวีดหวิว
ทิศที่ทั้งสองมุ่งหน้าไป คือทิศที่หานลี่หนีไปก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน หานลี่ซึ่งกลายร่างเป็นวิหคยักษ์อยู่ไกลออกมาหมื่นลี้ กำลังบินหนีอย่างรวดเร็วปานลมกรดสายฟ้า พลางรู้สึกมืดมนใจยิ่ง!
สองเดือนที่ผ่านมา เขาถูกพวกมารล่าสังหารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเขาในตอนนี้เหตุใดจะไม่เข้าใจความคิดอ่านของสองคู่ปรับที่อยู่ด้านหลังเล่า
ในระยะเวลาอันสั้นนี้ ตลอดทางมาเขาทั้งฆ่าทั้งขับไล่ศัตรูไปอย่างน้อยๆ ก็สามถึงสี่สิบระลอกได้
ซึ่งมารเหล่านี้ บ้างก็เป็นเพียงมารหรืออสูรมารชั้นต่ำที่มารวมตัวกันสะเปะสะปะ แต่บ้างก็เป็นมารในกองทัพที่มีพลังอันยอดเยี่ยม กระทั่งมีสองครั้งที่ศัตรูผู้เข้าร่วมจู่โจมเป็นระดับหัวหน้ามาร
ยามปกติ แม้มารเหล่านี้มีจำนวนไม่น้อย ก็ไม่มีทางอยู่ในสายตาเขา
แต่การตกอยู่ภายใต้การเฝ้าดูตลอดเวลาของสองคู่ปรับมารตัวฉกาจที่อยู่ด้านหลัง เขาจะกล้าพัวพันแบบค่อยเป็นค่อยไปกับศัตรูเหล่านี้ได้อย่างไรกัน ทำได้เพียงใช้วิธีแบบสายฟ้าฟาด จัดการมารทั้งหมดในคราวเดียว
ซึ่งผลลัพธ์ของการกระทำเช่นนี้ ย่อมบั่นทอนพลังจิตและพลังยุทธ์ของหานลี่ไปตลอดทางไม่หยุด
ถ้าไม่ใช่เพราะในร่างเขามียาวิเศษมากมายที่ใช้บำรุงพลังวิญญาณบางส่วนล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีทางยันไว้ได้แต่แรกแล้ว
แต่ถึงเป็นเช่นนี้ สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าหานลี่ก็แย่สุดๆ
ภายใต้การใช้พลังยุทธ์ทั้งร่างต่อสู้ติดต่อกันอย่างดุเดือด เมื่อเทียบกับผู้ที่มีพลังไม่ถึงครึ่งของระดับสูงสุดแล้ว หลังจากจำเป็นต้องปลุกเสกแมลงกลืนทองนับพันตัว พลังจิตก็เหลือเพียงไม่ถึงครึ่ง
นี่ทำให้หานลี่จิตตกลงเรื่อยๆ
ยังดีที่สองคู่ปรับที่อยู่ด้านหลังคล้ายตื่นตะลึงกับไม้แข็งที่เขาใช้ติดต่อกัน จึงไม่กล้าลงมือเองไปพักหนึ่ง ได้แต่ระดมลูกน้องให้ทำการสกัดกั้นฝ่ายตรงข้าม
ดังนั้น เขาจึงยังไม่เป็นไรชั่วคราว
ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ เห็นชัดว่าไม่สามารถลากยาวจนเกินไป ขืนรอให้พวกนี้พบว่าเขาแข็งแกร่งเพียงภายนอก หรือระดมสรรพกำลังมหาศาลมาล้อมเขาไว้ ชีวิตน้อยๆ นี้ก็ไม่มีทางรักษาไว้แล้ว
ซึ่งหานลี่ย่อมไม่นิ่งดูดาย รอให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น จึงแทบจะใช้วิธีการทุกรูปแบบ สลัดหลุดศัตรูไล่ล่าที่อยู่ด้านหลังตลอดทาง
แต่ไม่ว่าเซวี่ยกวง หรือสตรีที่สงสัยว่าเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของหยวนซา ที่กำลังสะกดรอยตามมาและปิดบังพลังจิตไว้ ล้วนอยู่เหนือกว่าเขา มิได้อยู่ต่ำกว่าเขาเลย
ถึงเขาใช้สมองเต็มที่แล้ว อย่างมากก็สลัดทั้งสองออกได้เพียงครึ่งวัน สุดท้ายก็ตามทันอีก
นี่ทำให้หานลี่แอบโอดครวญ
ถ้าด้านหลังที่ไล่ตามมามีเพียงคู่ปรับคนใดคนหนึ่ง ยังอาจใช้ความประมาทของฝ่ายตรงข้าม ร่ายอาคมสลัดร่าง แต่ภายใต้การร่วมมือสนับสนุนซึ่งกันและกันของทั้งสอง ความคิดเช่นนี้เป็นแค่ฝันกลางวันแล้ว
และเมื่อเขาเข้าใกล้เมืองเทียนหยวน อุปสรรคที่พบก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ไม่ดี เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว! ชัดเจนว่าฝ่ายตรงข้ามจับจุดอ่อนที่คิดกลับเมืองเทียนหยวนได้ ยังไม่รู้ว่าข้างหน้าวางกำลังพลสกัดกั้นไว้มากน้อยแค่ไหน ขืนเป็นแบบนี้ต่อ ยังไม่ทันมุ่งสู่สถานที่ใกล้กับเมืองเทียนหยวน พลังยุทธ์คงหมดและถูกฆ่าตายเสียก่อน ต้องเปลี่ยนเส้นทางในการหนีถึงจะถูก!”
หานลี่โคจรพลังยุทธ์ที่เหลืออยู่ในร่าง พยายามฟื้นฟูจากยาวิเศษที่เพิ่งกินลงไป พลางขบคิดอย่างวิตกกังวล
“แม้เส้นทางอื่นๆ มีคนสกัดกั้นเหมือนกัน แต่น่าจะมีกำลังคนน้อยกว่ามาก ทว่าก็ไม่สามารถเปิดเผยจุดประสงค์ขั้นต่อไปของตนออกมาอย่างโจ่งแจ้งได้ ต้องวางค่ายกลเขาวงกตขนาดใหญ่ไว้ให้ผู้ที่อยู่ด้านหลัง แล้วสลัดหลุดฝ่ายตรงข้ามชั่วคราว ถึงจะมีโอกาสได้พักหายใจหายคอบ้าง”
ภายใต้ความคิดที่เปลี่ยน หานลี่ต้องคิดหนักอีกรอบ
หลังจากตัดสินใจดังนี้ หานลี่ก็ครุ่นคิดวิธีการที่เป็นรูปธรรมทันที
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะถูกบีบจนตรอก หรือชาญฉลาดจริงๆ ไม่นานแสงวิญญาณในหัวสมองของหานลี่ก็เกิดความคิดบางอย่างขึ้น
…..
ในถาดหยกที่อยู่ด้านหลัง สามร่างแยกของเซวี่ยกวงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่หน้ากำแพงแก้วบานใหม่เอี่ยมอ่อง
สองในสามร่างหลับตาอยู่ คล้ายกำลังทำสมาธิ ส่วนอีกร่างกำลังจ้องมองกำแพงแก้วไม่กะพริบตา
ร่างที่สามพลันหน้าเปลี่ยนสี พลางเปล่งเสียงดัง ‘อี๋’ เบาๆ ออกจากปาก
เสียงเข้าหูอีกสองร่าง ทำให้ทั้งสองหน้าเปลี่ยนสี ก่อนลืมตาขึ้นพร้อมกัน
ภาพในกำแพงแก้วที่เห็นมีเพียง ร่างแปลงวิหคยักษ์แต่เดิมของหานลี่พลันสั่นไหว คืนกลับสู่ร่างมนุษย์ และพอหยุดเรืองแสง ก็ทำสองมือร่ายคาถา รางเลือนเล็กน้อย แล้วกลายเป็นร่างที่เหมือนกันเจ็ดแปดร่างทันที