คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1948 ถอดรูป
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1948 ถอดรูป
พอร่าง “หานลี่” เหล่านี้สั่นไหว ก็พุ่งออกไปทุกทิศทุกทางทันที
“เหอะ กลลวงเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ยังกล้าเอาออกมาอวดต่อหน้าข้า!” ร่างแยกของเซวี่ยกวงร่างหนึ่งเคร่งขรึมลง พลางแค่นเสียงเย็นชาออกมา
จากนั้นก็เห็นเขาทำมือข้างเดียวร่ายคาถา ด้านหลังวาบแสงสีเทา เงามารขนาดใหญ่สีดำขุ่นปรากฏขึ้นทันที
บนศีรษะเงามารมีเขาสองเขา ด้านหลังมีหนวดขนาดใหญ่จำนวนหนึ่งโบกแรงๆ ไปมา หลังจากส่งเสียงคำรามต่ำที่ทำให้คนตื่นตกใจ กลางอกก็มีแสงโลหิตสว่างวาบ ดวงตาแนวตั้งขนาดใหญ่ปรากฏ
ดวงตาดวงนี้กินเนื้อที่ไม่ถึงครึ่งของหน้าอก ม่านตาสีเขียวจางๆ ทำให้ขนลุกขนพองในแวบแรกที่เห็น!
ร่างแยกของเซวี่ยกวงแผดเสียงดังก้อง!
ทันใด แสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งออกจากดวงตายักษ์ หายวับเข้าไปในกำแพงแก้ว
ถัดมา ร่างแยกของเซวี่ยกวงค่อยหลับตา แสงสีเขียวบนใบหน้ากะพริบไม่หยุด
“ร่างจริงสอง ร่างหลอกหก น่าจะมีร่างหนึ่งเป็นร่างแปลง ซึ่งร่างจริงได้เปลี่ยนเส้นทาง และหนีออกไปในสองทิศทางแล้ว” ผ่านไปครู่หนึ่ง ร่างแยกค่อยพูดอย่างมั่นใจ
“เห็นทีเขาสัมผัสได้ถึงเจตนาของเราแล้ว จึงคิดหนีอย่างหลบๆ ซ่อนๆ เพิ่มความเร็วถาดจักรวาล อย่าให้เจ้ามนุษย์นี่หนีไปได้!” ร่างแยกอีกร่างพูดอย่างเฉียบขาด
“อันนี้แน่นอน แต่…”
ร่างแยกอีกร่างของเซวี่ยกวงพยักหน้า ขณะคิดพูดอันใด กำแพงแก้วพลันเปล่งแสงวิญญาณ เปลี่ยนเป็นภาพหยวนซานั่งอยู่บนเก้าอี้ศิลา
“ร่างจริงทั้งสองร่าง เราแยกกันรับผิดชอบคนละร่าง และพอเจอร่างเดิม ต้องรีบติดต่ออีกฝ่าย!” ใบหน้าของสตรีไร้ซึ่งอารมณ์ พอติดต่อร่างแยกทั้งสามได้ ก็พูดอย่างไม่เกรงใจ
“ได้ ทำตามที่สหายพูด!” ร่างแยกเทพของเซวี่ยกวงย่อมรับปากทันใด
หยวนซาพยักหน้าหงึกๆ ก่อนโบกแขนเสื้อ กำแพงแก้วพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวขุ่น
แทบจะในเวลาเดียวกัน ตำหนักศิลาก็ส่งเสียงดังหึ่งๆ อักขระยันต์นับไม่ถ้วนไหลออกจากตรงกลางอย่างรวดเร็ว ชั่วเวลาอึดใจหนึ่ง ด้านล่างก็สร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งตัวขนาดใหญ่ขึ้นมาหลังหนึ่ง
ตำหนักศิลาอยู่ใจกลางค่ายกล เพียงค่อยๆ หมุน ก็หายวับไปกับตา
“เราก็ไปกันเถอะ!” ร่างแยกร่างหนึ่งของเซวี่ยกวงพูดขึ้นเรียบๆ
ภายใต้การทำมือร่ายมนตร์ของทั้งสาม แสงโลหิตบนร่างสว่างขึ้น!
ถัดมา ถาดหยกยักษ์พลันเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า ส่งเสียงแหลมเล็กแหวกอากาศ เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า
อีกด้าน “หานลี่” หลายคน บ้างก็ร่อนออก บ้างก็ดีดตัวออก บึ่งไปจากที่ว่างเดิมหมดเกลี้ยงในพริบตา
ไกลออกจากที่นี่ไม่เกินหลายแสนลี้ ยอดฝีมือมารพันตนขึ้นไปกำลังซุ่มอยู่อย่างเงียบๆ แต่สักพัก หลังจากได้รับคำสั่ง ก็เคลื่อนไหวดุจผึ้งแตกรัง
พวกเขาแบ่งกำลังออกเป็นสองกลุ่ม แยกกันไล่ล่าสองทิศทาง
ส่วนที่อยู่เดิมของหานลี่ ไม่ว่าจะเป็นมารเหล่านี้ หรือหยวนซากับเซวี่ยกวง ย่อมไม่สนใจที่จะเข้าไปดูแม้แต่น้อย
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ที่ว่างด้านล่างซึ่ง “หานลี่” หลายคนพุ่งตัวแยกย้ายกันออกไปนั้น ด้านหลังก้อนหินสีเขียวซึ่งตั้งตระหง่านอยู่บนพื้นอย่างไม่เตะตาก้อนหนึ่ง พอหมอกแสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งสว่างวาบ ร่างคนสีเงินร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นอย่างน่าพิศวง
เป็น “หานลี่” คนหนึ่งอีกแล้ว
“หานลี่” คนนี้ พลังปราณทั่วร่างไม่รั่วไหล ชั่วขณะที่ปรากฏ ดวงตาทั้งสองข้างปิดสนิท ด้วยกำลังส่งพลังจิตออกไป กวาดตามองบริเวณใกล้เคียงในรัศมีหลายพันลี้ หลังจากแน่ใจว่าไม่มีหัวหน้ามารตนไหนดำรงอยู่ ใบหน้าค่อยปรากฏแววยินดีออกมา
เขาพลิกฝ่ามืออย่างไม่รีรอ กลางมือพลันมีของบอบบางเช่นเดียวกันเพิ่มมาอีกหนึ่ง มันดีดตัวเข้าร่างเขา แล้วกลิ้งไปกับพื้น ก่อนกลายเป็นหมาป่าสีเทาตัวใหญ่ที่ไม่เตะตาตัวหนึ่ง จากนั้นก็ยืดแขนยืดขา กลายเป็นแสงสีเทาจางๆ พุ่งไปข้างหน้า
ดูจากทิศที่มันไป กลับเหมือนเดิมไม่มีผิด ยังคงมุ่งสู่เมืองเทียนหยวน
…..
หนึ่งมื้อผ่านไป ท้องฟ้าบนป่าทึบแห่งหนึ่ง “หานลี่” คนหนึ่ง กำลังกลายร่างเป็นสายรุ้งสีเขียวแหวกอากาศผ่านไป
ห่างจากเขาไม่เกินหลายลี้ ตำหนักศิลาหลังหนึ่งกำลังไล่บี้มาติดๆ อย่างไม่สนใจใดๆ
ขณะนี้ ข้างหน้าพลันปรากฏยอดเขาขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง สูงราวหมื่นจั้ง ด้านบนปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีเขียว ทิวทัศน์สวยงามยิ่ง!
“หานลี่” ที่อยู่ข้างหน้า พอเห็นภูเขาลูกนี้ ดวงตาก็ทอประกาย พุ่งเข้าใส่ตรงๆ ไม่หลบหนี
หลังจากกระพริบแสงไม่กี่ครั้ง ก็หายลงไปในไหล่เขาอย่างแปลกประหลาด
ท่ามกลางเสียงดังหวีดหวิว ตำหนักศิลาสั่นไหวหนึ่งครั้ง ก่อนปรากฏขึ้นบนยอดเขาลูกใหญ่ หลังจากหมุนช้าๆ อยู่บนนั้น อักขระยันต์แต่ละสีจึงโผล่ออกมา พริบตาเดียวก็รวมตัวกันเป็นค่ายกลแสงห้าสีขนาดใหญ่หลังหนึ่ง
พอค่ายกลแสงเป็นรูปเป็นร่าง ค่อยเปล่งเสียงดังหึ่งๆ สายรุ้งห้าสีที่อยู่ตรงกลางพลันนิ่ง ก่อนกลายร่างเป็นดวงแสงยักษ์ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายสิบจั้ง
หลังจากได้ยินเสียงแค่นหัวเราะเย็นชาดังมาจากตำหนักศิลา ดวงแสงยักษ์พลันวาบ สลัดหลุดจากค่ายกลแสง พร้อมพลังเสียงอันน่าตื่นตระหนก ตกลงใส่ยอดเขาสูงสุด
เห็นเพียงแสงวิญญาณห้าสีกะพริบถี่ๆ!
พริบตาที่ดวงแสงสัมผัสกับยอดเขา ก็หายเข้าไปในภูเขาอย่างไร้สุ้มเสียง เหลือเพียงถ้ำดำมืดขนาดใหญ่
ถ้ำหนึ่งบนพื้น
ถ้ำนี้ไม่เพียงใหญ่อย่างไร้ที่เปรียบ ขนาดกว้างกว่าร้อยจั้ง ขอบถ้ำที่ไหม้เกรียมแวววาวผิดปกติ และมีพลังปราณที่ถูกแผดเผาโชยออกมา
ทว่าหลังจากหายใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนดังมาจากใจกลางภูเขา!
ท่ามกลางแผ่นดินไหว ลำแสงหนาทึบจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากพื้นผิวบนยอดเขา เจาะยอดเขาทั้งหมดเป็นรูพรุนในพริบตา
หลังจากยอดเขาสั่นสะเทือนเสียงดังกึกก้องติดต่อกันก็พังทลายลง กรวดหินดินทรายนับไม่ถ้วนทยอยกลิ้งไปรอบๆ บริเวณดุจคลื่นยักษ์ ก่อตัวเป็นซากปรักหักพังที่คละคลุ้งไปด้วยฝุ่นสีเทา
ใจกลางซากปรักหักพัง กลับมีหลุมขนาดใหญ่กว้างสิบกว่าหมู่ ลึกหลายสิบจั้งหลุมหนึ่ง
และพื้นที่ว่างเปล่าใจกลางหลุม ดูเหมือนเป็นที่ที่ของทุกชิ้นตกลงไปล้วนกลายเป็นไอระเหยหายไป
ขณะนั้น ค่ายกลแสงกลางอากาศก็กะพริบ พ่นลำแสงหนาๆ หลายร้อยลำออกมาในคราวเดียว ก่อนพากันหายเข้าไปในพื้นผิวทุกส่วนของซากปรักหักพัง
แต่นอกจากเสียงที่ดังมาจากพื้นดินอย่างแผ่วเบาแล้ว ก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ อีก
ในตอนนี้เอง ตำหนักศิลาถึงค่อยๆ ลดเพดานบินกลางอากาศลงมาอยู่ในระดับต่ำ ห่างจากซากปรักหักพังแค่ไม่กี่ร้อยจั้ง ก่อนหยุดชะงักอีกครั้ง
แสงสีขาววาบขึ้นในที่ว่างเหนือตำหนักศิลา หยวนซาปรากฏตัวตรงนั้น พร้อมสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ ดวงตาที่ลุกวาวกวาดมองรอบๆ ซากปรักหักพังไม่หยุด
“เจ้าหมนุษย์นั่นหลบเข้าไปในภูเขา ไม่น่าเล็ดลอดออกจากขอบเขตการจู่โจมเมื่อครู่ได้! แต่ตอนนี้กลับสลายไปอย่างง่ายดาย เห็นทีร่างที่ข้าไล่ตามอยู่นี้ เป็นเพียงร่างแยกเท่านั้น แต่ต่อให้เป็นร่างแยก ก็น่าจะมีเศษซากหลงเหลืออยู่บ้างถึงจะถูก หรือบังเอิญจู่โจมถูกใจกลางจึงไม่เหลือกระทั่งซากศพแม้แต่น้อย” หยวนซามองดูสักพัก แล้วจึงขมวดคิ้วบ่นพึมพำกับตัวเอง
จากนั้นสตรีก็หันกลับมาขบคิดสักพัก ค่อยยกนิ้วหยกนิ้วหนึ่งขึ้นแตะเบาๆ ตรงหว่างคิ้ว พลางหลับตาทั้งสองข้างลง!
เจตจำนงรอบด้านพลันผันผวน พลังจิตขนาดมหึมาโผล่ออก แล้วม้วนวนหายไปในทุกทิศทุกทาง
พลังจิตทำการตรวจตราอย่างละเอียดเป็นพิเศษ แทบจะพลิกหาทุกตารางนิ้วของซากปรักหักพังด้วยซ้ำ
ทว่าสตรียังคงไม่พบแม้แต่น้อย!
“ดูท่าข้าค่อนข้างกังวลแล้ว!” หยวนซาลืมตา ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งก่อนเอ่ย
และในตอนนี้เอง ร่างของนางพลันเกิดความแปรปรวนอย่างผิดปกติ
สตรีหน้าเปลี่ยนสี แขนเสื้อสั่น แสงสีดำกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งออก พอสว่างวาบ ก็กลายเป็นกระจกโบราณบานหนึ่ง
กระจกโบราณหมุนอยู่บนศีรษะของสตรีหนึ่งรอบ แล้วจึงมาลอยอยู่ตรงหน้าอย่างสำรวม
ผ่านไปครู่หนึ่ง บานกระจกก็สว่างวาบ ใบหน้าของชายหนุ่มชุดสีโลหิตปรากฏ
“สหายหยวนซา เจ้าไม่ต้องไล่ตามหมอนั่นที่อยู่ตรงนั้นแล้ว เป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนว่านั่นคือร่างแยกเท่านั้น ส่วนร่างที่ข้าตามอยู่นี่ ไม่เพียงสังหารกำลังพลที่ข้าส่งไปสกัดกั้นกว่าครึ่ง ยังทะลุทะลวงด่านปิดล้อมสามด่านในคราวเดียวด้วย ร้ายกาจขนาดนี้ น่าจะเป็นร่างจริงจึงจะถูก! ดีที่เขาในตอนนี้ถูกข้าขังไว้ ณ ที่แห่งหนึ่งของถาดจักรวาล แต่เจ้ามนุษย์ไม่รู้ใช้วิชาอำพรางกายแบบไหน ข้าถึงหาไม่พบในระยะเวลาอันสั้น อีกอย่างพวกข้าสามร่างต้องร่วมมือกันควบคุมของวิเศษด้วยการปิดล้อมรอบบริเวณ จึงออกไปตามหาเองไม่ได้ ต้องรบกวนสหายหยวนซามาช่วยที่นี่อีกแรงแล้ว” ร่างแยกของเซวี่ยกวงพูดอย่างเคร่งเครียด
“ของเจ้าเป็นร่างจริงหรือ อืม ดูๆ ไปก็ไม่น่าจะผิด ร่างที่ข้าตามอยู่ จัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่เหมือนร่างเดิมจริงๆ! ข้าไปสมทบเดี๋ยวนี้ล่ะ อย่าปล่อยให้หนุ่มแซ่หานคนนี้หนีออกมาได้ทีเดียวเชียว”
พอสตรีได้ยินก็ไม่สงสัยใดๆ อีก รีบตอบกลับสั้นๆ อย่างเย็นชา แล้วเก็บกระจกโบราณขึ้น กลายร่างเป็นสายรุ้งสีขาวพุ่งไปยังที่สูงทันที
หลังจากกะพริบแสงไม่กี่ครั้ง หยวนซาก็กลับสู่ตำหนักศิลาใหม่ พอร่ายมนตร์ ก็จากไปพร้อมเสียงดังหึ่งๆ
ยามนั้น ซากปรักหักพังนั่น นอกจากเสียงสายลมพัดมาเบาๆ ก็ไม่ได้ยินเสียงหายใจใดๆ อีก
ผ่านไปสองชั่วยาม มุมหนึ่งของซากปรักหักพัง พื้นผิวของเศษไม้เนื้อหยาบชิ้นใหญ่ที่ดูธรรมดาๆ ชิ้นหนึ่ง พลันมีแสงสีเขียวไหลอยู่รอบๆ เลือนรางเล็กน้อย ครู่เดียวภาพมายาก็กลายเป็นชายหนุ่มผิวสีเขียวคนหนึ่ง
หน้าตาของชายหนุ่มคนนี้เหมือนหานลี่ไม่มีผิด ร่างเปล่งแสงวิญญาณไม้อันบริสุทธิ์ออกมา
ซึ่งก็คือกายวิญญาณของหานลี่!
พอกายวิญญาณคืนสู่รูปมนุษย์ ก็รีบใช้มือข้างหนึ่งตีศีรษะ แสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งลอยออกมา คลับคล้ายห่อหุ้มเด็กหญิงผิวขาวตัวเล็กๆ คนหนึ่งไว้ภายใน
เด็กหญิงหน้าซีดเล็กน้อย นั่งขัดสมาธิอยู่เหนือกายวิญญาณ ทำมือข้างเดียวร่ายคาถา ไม่ขยับเขยื้อน
ผ่านไปพักหนึ่ง หลังจากเด็กหญิงหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าก็มีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
“นายท่านคิดไม่ผิดจริงๆ ที่ใช้ประโยชน์จากไม้และหญ้าของกายวิญญาณ ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้และหินภูเขาในรูปแบบดั้งเดิม เป็นเล่ห์ที่ลวงฝ่ายตรงข้ามได้จริงๆ ตอนนี้เมื่อภารกิจเสร็จสิ้น ก็ต้องหาที่ซ่อนตัวก่อนตามแผนเดิมที่วางเอาไว้ แล้วค่อยร่ายมนตร์สมทบกับนายท่านทีหลัง ขอให้นายท่านรอดพ้นจากภัยพิบัติในครั้งนี้ด้วย“
เด็กหญิงเหลือบมองหลุมยักษ์ที่อยู่ไม่ไกลอย่างขวัญหนีดีฝ่อ ก่อนพึมพำกับตัวเองอย่างเศร้าๆ อยู่บ้าง
จากนั้นร่างของนางก็สั่นไหว กลายเป็นแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งหายเข้าไปในกายวิญญาณอีกครั้ง
ต่อมา กายวิญญาณพลันลืมตาขึ้น หลังจากสีหน้าอันไร้ซึ่งอารมณ์มั่นใจในทิศทาง ก็รีบบิดตัวทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า มุ่งไปยังทิศทางที่เล็งเอาไว้
อีกด้าน ยอดฝีมือมารร้อยตนขึ้นไปอยู่รวมกันในถาดหยกยักษ์ถาดหนึ่ง ซึ่งลอยอยู่เหนือหุบเขาลูกหนึ่ง กำลังมองลงมาด้านล่างพร้อมสีหน้าเคร่งเครียด