คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1950 ไล่ตามทารก
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1950 ไล่ตามทารก
หนังตาของหยวนซากระตุก ดวงตาที่ปิดสนิทอยู่แต่เดิมลืมขึ้นอีกครั้ง แสงสีเขียวในดวงตากะพริบ ดูเย็นชาผิดปกติ
“เฮอะ เจ้าแน่ใจหรือว่าครั้งนี้จะไม่ผิดอีก ข้าพยายามมามากมายขนาดนี้ กำลังจะสำเร็จอยู่รอมร่อ ต่อให้ร่างที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ร่างเดิม ถ้าจับกุมได้ ข้าก็ใช้ประโยชน์ได้มากอยู่ ถ้าพวกเจ้ารู้สึกว่ารอไม่ได้ ก็ล่วงหน้าไปก่อน พอข้าจับกุมร่างที่อยู่ตรงหน้าได้ ค่อยตามไปสมทบกับพวกเจ้า” สตรีพูดอย่างเยือกเย็น
“เมื่อสหายหยวนซาพูดเช่นนี้ ข้าก็ได้แต่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ร่างแปลงจิ๊บจ๊อยร่างหนึ่ง จากอิทธิฤทธิ์ของสหายย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นร่างเดิมก็จะรับมือยากหน่อย เราต้องร่วมมือกันถึงจะเอาอยู่ หวังว่าทางที่ดีจะไม่มีความคิดเป็นอื่น”
พอชายหนุ่มชุดสีโลหิตได้ยิน ก็แปลกใจอยู่บ้าง หลังจากแสดงแววตาคลางแคลงใจ ก็พูดแนวตักเตือนไปสองประโยค
“เจ้าวางใจ! เรื่องสองแรงแข็งขันใยข้าจะไม่รู้ ที่ข้าอยากได้ร่างแปลงนี้ย่อมมีการใช้งานที่สำคัญอื่นๆ บางทีอีกไม่นานเจ้าก็จะรู้เอง” หยวนซายิ้มเย็นชา ก่อนตอบอย่างไม่แยแสแม้แต่น้อย
พอได้ยินสตรีพูดเช่นนี้ แม้ชายหนุ่มชุดสีโลหิตตะลึงงันไปบ้าง แต่จะคัดค้านอันใดอีกก็ไม่สู้จะดี จึงได้แต่พูดเรียบๆ
“ข้าจะทิ้งกำลังพลไว้ครึ่งหนึ่ง ให้คอยฟังคำสั่งเคลื่อนพลของสหาย แม้ไม่ถือว่ามาก แต่ดูไปแล้วก็พอจะช่วยได้เล็กๆ น้อยๆ ถ้าต้องการ”
“ขอบคุณมากๆ!” หยวนซาพยักหน้าพร้อมสีหน้าที่อ่อนโยนลง
จากนั้น ร่างของชายหนุ่มชุดสีโลหิตก็เรืองแสง กลายเป็นแสงโลหิตสายหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนฟ้า
หลังจากกะพริบแสงสองสามที แสงโลหิตก็หายเข้าไปในถาดหยกอย่างไร้ร่องรอย
ผ่านไปสักพัก ม่านแสงสีโลหิตที่ถาดหยกเปล่งออกก็กะพริบ แล้วหายวับไป
ที่แปลกก็คือ ยอดฝีมือมารที่อยู่ใกล้ๆ กับถาดหยก ก็พลอยน้อยลงครึ่งหนึ่ง
ต่อมา หลังจากถาดหยกสั่นไหว ก็กลายเป็นแสงสีขาวกลุ่มหนึ่ง แหวกอากาศจากไป
มารที่เหลืออยู่ร้อยกว่าตน ภายใต้การนำของมารระดับหลอมสุญตาขั้นปลายผู้มีรูปร่างสูงใหญ่ตนหนึ่ง ทยอยกันมาปักหลักอยู่นอกบริเวณที่หยวนซาอยู่
หลังจากหัวหน้ามารก้าวไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว ก็ทำความเคารพตามมารยาทก่อนเอ่ยถาม
“ใต้เท้าหยวนซา! ใต้เท้าเซวี่ยกวงจากไปแล้ว ใต้เท้ามีเรื่องอันใดจะสั่งให้พวกเราไปทำ”
แม้มารตนนี้เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเซวี่ยกวง แต่พอเผชิญหน้ากับหยวนซาก็ยังมีท่าทีเคารพนบนอบยิ่ง!
“ไม่ต้อง พวกเจ้าเฝ้าดูอยู่รอบๆ ก็พอ” สตรีเหลือบมองมารตนนี้ ก่อนสั่งเรียบๆ
“ขอรับใต้เท้า!” มารตนนี้ย่อมไม่มีความเห็นใดๆ รีบโค้งตัวรับคำสั่ง
มารร้อยกว่าตนก็แยกย้ายกันออกไปอยู่รอบบริเวณ ไม่มีความเคลื่อนไหวที่แตกต่างใดๆ อีก
พอหยวนซาเห็นเช่นนี้ หลังจากกะพริบตา ก็ค่อยๆ หลับตาลง
ส่วนอีกาที่แปลงร่างมาจากเมฆดำ ผ่านไปไม่นานก็สำรวจอีกด้านหนึ่งของหุบเขาเสร็จสิ้น และภายใต้การร่ายคาถาของนางมารตนนี้ พวกมันก็กระพือปีกไปอีกพื้นที่หนึ่งอย่างเกรี้ยวกราด
ครานี้อีกาบินว่อนไปทั่วได้ไม่นานก็เกิดความผิดปกติในที่สุด
ขณะพวกมันกว่าร้อยตัวบินผ่านพุ่มไม้เตี้ยๆ แปลงหนึ่ง พลันบินวนอยู่รอบๆ ไม้พุ่มแปลงนี้ไม่เลิก และปากก็เปล่งเสียงร้องแปลกๆ ออกมา
“หาเจอแล้ว!”
หยวนซาลืมตาทันที ขณะที่ปากก็ส่งเสียงกระซิบเบาๆ อย่างดีใจออกมา แล้วจึงซ่อนเท้าหยก รีบแปลงกายเป็นสายรุ้งสีขาว พุ่งขึ้นฟ้า บึ่งไปยังแปลงพุ่มไม้นั่น
จากความเร็วของนาง ย่อมใช้เวลากะพริบเพียงไม่กี่ครั้งก็บึ่งไปถึง
ขณะเดียวกัน ในพุ่มไม้นั่น ลำแสงสีม่วงแผ่นหนึ่งพลันระเบิดออก ที่ว่างบิดเบี้ยวเล็กน้อย ไอดำบางๆ สายหนึ่งดีดตัวออกจากตรงกลาง แล้วส่งเสียงหอนแปลกๆ แหวกอากาศหนีไป
แต่เห็นชัดว่า ดำเนินการล่าช้าไปบ้าง
หยวนซาที่อยู่ด้านหลังจ้องเหตุการณ์นี้เขม็ง จึงไม่รีรอ พุ่งไปยังที่ว่างเหนือเงาดำเล็กน้อย
ที่แท้อีกาที่บินวนอยู่ใกล้ๆ พลันได้ยินเสียงหนวกหูที่ฟังไม่ได้นี้นี่เอง ทันทีที่กระพือปีก ก็พากันบินโฉบเข้าหาเงาดำดุจแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
ถ้าหนึ่งตัวสองตัว หรือกี่สิบตัวยังไม่นับประสาอะไร แต่ถ้าหลายร้อยตัว พันตัวขึ้นไปโฉบลงมาพร้อมกัน พลังมากเช่นนี้ทำให้ไอดำจำเป็นต้องชะงักการเรืองแสงหนี เผยร่างเดิมออกมา
เป็นปราณก่อกำเนิดที่ดำไปทั้งตัว หน้าตาเหมือนหานลี่ไม่ผิดเพี้ยน แต่มีไอเวทเข้มข้นเปล่งออกตลอดทั้งร่าง
ซึ่งก็คือร่างของหานลี่ครั้นบำเพ็ญเพียรระดับปราณก่อกำเนิดขั้นสอง
การบำเพ็ญเพียรระดับปราณก่อกำเนิดขั้นสองย่อมเทียบไม่ได้กับระดับปราณก่อกำเนิดขั้นสุด แต่ภายใต้โอกาสอันดียิ่งในการใช้ยาวิญญาณไม่หยุดหย่อน ทั้งดื่มและกรอกใส่ร่างกายตอนอยู่ในแดนกว้างเย็น ทำให้บำเพ็ญเพียรถึงระดับหลอมสุญตา มีวิทยายุทธ์ตามวิถีแห่งเวทมนตร์ที่บริสุทธิ์เป็นพิเศษตลอดทั้งร่าง
แม้มันถูกบีบให้หยุด แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับฝูงอีกาที่พุ่งเข้ามากลางอากาศกลับไม่ตื่นตระหนก เพียงตะโกนออกมาดังๆ พลางถูมือทั้งสองข้าง แล้วเหาะขึ้นไป
พอลมดำพัดมา ก็เหาะเป็นไอเวทสีดำสองสาย สายหนึ่งม้วนตัวกลายเป็นอสรพิษประหลาดสีดำสองตัว ส่วนอีกสายพุ่งเข้ากลางฝูงอีกาทันที
อสรพิษประหลาดชูคอเลื้อยเข้าหา ที่ซึ่งมันเลื้อยผ่าน เกิดลมดำเป็นระยะ ฝูงอีกาจึงทยอยกันถูกลมพัดปลิวแหลกสลาย คล้ายแรงจนเกินต้าน
ขณะเห็นอสรพิษดำครอบครองความได้เปรียบ การเคลื่อนไหวมือของปราณก่อกำเนิดขั้นสองก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะหยุดแต่อย่างใด หลังจากวาดท่าเคล็ดวิชาสองสามท่า รูปกายพลันไหลเวียน
ในตอนนี้เอง แสงวิญญาณได้วาบขึ้นกลางอากาศ สายรุ้งสีขาวพุ่งมาถึง กะพริบหนึ่งครั้ง ปรากฏร่างอันบอบบางขึ้น
พอหยวนซาปรากฏตัว ก็ไม่เกรงใจแม้แต่น้อย เกร็งมือหยกข้างหนึ่งพุ่งเข้าจับที่ว่างด้านล่าง
“หึ่งๆ” เสียงดังกึกก้อง!
มือใหญ่สีขาวขุ่นข้างหนึ่งพลันโผล่ขึ้นกลางอากาศ ก่อนกดนิ้วทั้งห้าลงด้านล่าง
จากพลังจิตของสตรี ถ้ามือยักษ์ขนาดนี้กดลงมาจริงๆ ปราณก่อกำเนิดขั้นสองย่อมไม่มีทางหนีออกไปได้ ดีที่ทารกวิญญาณหานลี่เริ่มร่ายเวทรักษาชีวิตไว้แต่แรกแล้ว จึงเห็นเพียงภาพลวงตากลุ่มหนึ่งหมุน ก่อนปริแตกพร้อมเสียงแหลมร้อง แล้วเปลวไฟสีดำสนิทสิบกว่าลูกก็พุ่งออกมา
แต่ละลูกมีขนาดเท่าไข่ไก่ ทว่าพอพุ่งออก ก็กลายเป็นคนดำตัวจิ๋วทันที หลังจากส่งเสียง ‘ซู่ๆ’ ก็ทยอยกันปรากฏตัวห่างออกไปหลายสิบจั้งอย่างน่าอัศจรรย์
“ยังคิดหนี!”
หยวนซาเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น หลังจากส่งเสียงก็เปล่งเสียงท่องคาถาแปลกๆ หนึ่งบทออกมา!
พริบตานั้น มือเปล่าสีขาวก็มีแสงใสๆ ลักษณะแปลกๆ หมุนวน และปริแตกในทันที กลายเป็นรัศมีแสงสีขาวขุ่นขนาดใหญ่
เสียง ‘ซี่ๆ’ ดังขึ้นพร้อมกับแสงใสๆ นับไม่ถ้วนพุ่งออกจากกึ่งกลางรัศมีแสง ปกคลุมพื้นที่ในรัศมีร้อยกว่าจั้ง ครอบคนดำตัวจิ๋วสิบกว่าคนไว้ด้านใน
พอคนดำตัวจิ๋วคิดร่ายมนตร์หนีออกไป แสงใสๆ เหล่านั้นก็พุ่งทะลุผ่านร่างของพวกเขาทันที
เกิดเป็นเสียงดัง ‘ตุบๆ’ กระทบกัน
นอกจากคนดำตัวจิ๋วคนหนึ่งบิดร่างทำให้แสงใสๆ เฉียดผ่านไหล่ไป คนตัวจิ๋วที่เหลือ หลังจากแสงใสๆ ทะลุผ่าน ก็กลายเป็นเปลวไฟสีดำทีละลูก บุบสลายหายไป
ซึ่งแต่ละลูกเป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น!
ส่วนคนดำตัวจิ๋วที่เหลืออยู่ ถึงเป็นปราณก่อกำเนิดขั้นสองผู้แปลงร่าง พอเห็นอาคมถูกทำลาย เขาก็หน้าเปลี่ยนสี พลันอ้าปากพ่นโลหิตพลังปราณหลายสายออกมา ขณะเดียวกันก็วาดท่าร่ายมนตร์ด้วยมือทั้งสองข้าง ในปากพลางงึมงำคาถา
หลังจากโลหิตพลังปราณกระจายไปตามสายลม ก็กลายเป็นเมฆโลหิตเป็นกลุ่มๆ ซึ่งฝังปราณก่อกำเนิดขั้นสองไว้ในนั้น
“เฮอะ ยังคิดเล่นลวดลายอันใดอีก!” หยวนซาหน้าขรึม แค่นเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา แล้วจึงโบกแขนเสื้อข้างหนึ่งใส่เมฆโลหิตแรงๆ
เงาดำของผู้บำเพ็ญเพียรสายแดงเงาหนึ่งพุ่งออกจากแขนเสื้อในพริบตา เพียงขยับทีหนึ่ง ก็ตัดผ่ากลางเมฆโลหิตดุจภาพมายา
ทว่าเกือบขณะเดียวกัน สายรุ้งสีโลหิตสายหนึ่งก็ดีดตัวออกจากเมฆโลหิต เพียงกะพริบ ก็กลายเป็นเส้นโลหิตหนึ่งสายหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ต่อมาเกิดแสงโลหิตวาบที่ปลายฟ้า ทารกวิญญาณพร้อมปีกแสงสีดำบนหลังโผล่ออกมา สั่นไหวหนึ่งครั้ง ค่อยเลือนรางและหายวับไป
“เงาโลหิตหลีกหนี! วิชาหลีกหนีประเภทนี้ไล่ตามลำบากอยู่บ้าง แต่ถ้าคิดหลุดรอดจากเงื้อมมือข้าเช่นนี้ ฝันไปเถอะ” หยวนซาสะดุ้งในตอนแรก เผยความไม่คาดคิดออกมา แต่พอพึมพำไปสองสามประโยค ใบหน้าจึงเย็นชาลง
แล้วนางก็ยื่นมือข้างหนึ่งไปยังที่ห่างไกลเพื่อเรียกคน หลังจากเสาศิลายักษ์สองต้นสั่นไหว ก็ถอนตัวออกจากพื้นดิน พุ่งขึ้นฟ้า สองเสารวมเป็นหนึ่ง กลายร่างเป็นตำหนักศิลาสีเทาขาวอีกครั้ง ก่อนบึ่งไปยังทิศที่หยวนซาพุ่งตัวออกมา
ร่างที่เหาะมาของหยวนซาหายเข้าไปในตำหนักศิลา หลังจากสั่งการลูกน้องมารเรียบร้อย ก็กลายร่างเป็นแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไป
พอยอดฝีมือมารตนอื่นๆ เห็นสถานการณ์ย่อมไล่ตามไปอย่างโกลาหล
พริบตาเดียวที่นี่ก็ว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่สักคน
…..
ส่วนอีกที่หนึ่ง เหนือทะเลสาบห่างจากปราณก่อกำเนิดขั้นสองไม่รู้ไกลเท่าไหร่ ภายใต้การร่ายเคล็ดวิชากระบี่ มังกรสีเขียวตัวใหญ่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของแสงกระบี่นับไม่ถ้วน กำลังแยกเขี้ยวกางกรงเล็บจับมารชั้นสูงคอยาวร่างคล้ายแมลงตนหนึ่งไว้ ก่อนคำรามใส่จนแหลกสลายไป
กระทั่งมารระดับปราณก่อกำเนิดที่ซ่อนอยู่ในตัวมันก็หนีออกไม่ทัน จึงถูกแสงกระบี่ปั่นเป็นผุยผงอยู่ตรงนั้น กลายเป็นควันสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่กลับมามีชีวิตไม่ได้อีก
หานลี่สะบัดแขนเสื้อ มังกรวารีสีเขียวพลันส่งเสียงร้องกังวานใส ก่อนกระจายตัวออกกลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวรวมตัวกันอย่างหนาแน่นอีกครั้ง
พวกมันหมุนวนอยู่รอบหนึ่ง ก็ถูกหานลี่สั่งให้พุ่งกลับมาในคราเดียว
หลังจากเห็นเพียงแสงสีเขียวสว่างวาบบนร่างเขา แสงกระบี่ทั้งหมดก็หายวับไปกับตา
ข้างๆ ศพมารชั้นสูงครึ่งคนครึ่งหนอนที่ถูกฉีกร่าง กลับยังมีซากพิการอื่นๆ อีกสิบกว่าซากแขวนลอยอยู่กลางอากาศ คล้ายเป็นการดำรงอยู่แบบชั้นสูงในหมู่มาร
ส่วนหานลี่ที่เก็บแสงกระบี่ไว้ในร่างทั้งหมด สีหน้ากลับซีดขาวอยู่สักพัก หลังจากรีบโคจรจิตสัมผัสหลายครั้ง สีหน้าค่อยเปลี่ยนเป็นดูดีขึ้น
“เห็นทีพวกเขารู้ตัวแล้ว จึงไม่สามารถไปเส้นทางนี้อีก น่าเสียดาย ถ้าการเคลื่อนไหวของคนเหล่านี้ช้าลงอีกหน่อย ก็อาจมีโอกาสกลับเมืองเทียนหยวนได้จริงๆ ต้องไม่ให้พวกเขาจับทางได้เป็นอันขาด ได้แต่วัดดวงเอา ไปในทิศทางอื่น ดีที่จัดการพวกที่ตามหลังมาจนหมด น่าจะมีโอกาสดีที่จะหนีได้จริงๆ เสียที”
หานลี่ถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนกวาดตามองไปรอบๆ พลางพึมพำเบาๆ
ที่แท้วันนั้น หลังจากหานลี่ใช้ศาสตร์ลับ สร้างภาพลวงตาออกมาแปดร่าง นอกจากให้ฉวี่เอ๋อร์กับปราณก่อกำเนิดขั้นสอง แยกย้ายกันไปปลุกกายวิญญาณกับกายทองที่ปะปนอยู่ในนั้น ล่อศัตรูไล่ล่าออกไป ตนเองก็ใช้ ยันต์ชำระพิสุทธิ์เงียบๆ ทำให้กายหยาบเลือนรางอยู่ที่เดิม
จากการบำเพ็ญเพียรของหานลี่ที่ก้าวหน้าไปมาก ยันต์ชำระพิสุทธิ์แม้ลึกลับแต่ยืนหยัดได้ไม่นาน มิฉะนั้นหยวนซากับเซวี่ยกวงก็ไม่มีความจำเป็นต้องหาทางทำลายยันต์ชนิดนี้ ขอเพียงพวกเขาอยู่ที่เดิมนานขึ้นอีกนิด ก็อาจบีบให้เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง
ดังนั้น ก่อนหน้านี้หานลี่จึงไม่เคยใช้ยันต์ชนิดนี้ระหว่างการหลบหนีเลย