คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1951 หนีให้ไกล
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1951 หนีให้ไกล
แต่พอเขากัดฟัน ส่งร่างวิญญาณกับร่างทองออกไปเสี่ยงพร้อมกัน ย่อมรีบฉวยโอกาสตัดสินใจใช้ยันต์ชนิดนี้ เหล่าร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเซวี่ยกวงก็จับไม่ได้ในทันที ทำให้เขารอดการปิดบังอำพรางไปได้
แน่นอนว่าการกระทำเช่นนี้ เขาไม่เพียงเสี่ยงอันตราย สถานการณ์ของกายวิญญาณกับปราณก่อกำเนิดขั้นสองย่อมเสี่ยงอันตรายยิ่งกว่า
ดีที่กายวิญญาณเป็นร่างแปลงของเห็ดเซียน ส่วนฉวี่เอ๋อร์ผู้ควบคุมกายวิญญาณ ก็เป็นรูปจำแลงของสัตว์วิญญาณแห่งฟ้าดิน ขอเพียงจับจังหวะในการปรากฏตัวและซ่อนตัวได้ ก็น่าจะซ่อนตัวจากหูตาของคู่ต่อสู้ได้
ส่วนปราณก่อกำเนิดขั้นสอง เขาได้ให้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ไปอีกแผ่น และเนื่องจากทารกวิญญาณเคยฝึกวิชาลึกลับชนิดหนึ่งในวิทยายุทธ์วิถีเวทมาก่อน สามารถใช้ไอเวทในร่างสร้างภาพมายาของปีก ด้วยเหตุนี้จึงฝึกวิชาเงาโลหิตหลีกหนีไปด้วย
เมื่อมีสองวิชาเป็นตัวช่วย ย่อมมีความเป็นไปได้ที่ทารกวิญญาณจะสลัดหลุด ซึ่งพอพวกเซวี่ยกวงพบว่าร่างที่ไล่ตามมาไม่ใช่ร่างเดิม ก็น่าจะไม่ไปยุ่มย่ามให้มากความอีก
นี่ก็คือสาเหตุที่เขารีบเปิดเผยตัวตนและเปิดฉากสังหารมารเหล่านี้ ทันทีที่รู้สึกว่ามีโอกาสพอควร!
ชั่วขณะนี้คำนวณดูแล้ว ข่าวเกี่ยวกับร่างเดิมของเขาปรากฏตัวในแต่ละที่น่าจะแพร่ถึงหูพวกเซวี่ยกวงแล้ว ซึ่งเขาย่อมไม่ยอมให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามาพัวพันอีก จึงต้องละทิ้งเมืองเทียนหยวนอย่างแท้จริงและหาสถานที่อื่นหลบหนีไป
ขณะขบคิดในใจเช่นนี้ หานลี่ก็ไม่ลังเลอะไรอีก ร่ายอาคมเรืองแสงหลบหนีทันที โดยหันไปอีกทิศทางหนึ่งบินแหวกอากาศไป
ภายในสองเดือนต่อมา หานลี่ก็เริ่มไปที่ต่างๆ นานา ท่องไปทั่วอย่างเอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้
แรกเริ่ม แน่นอนว่าต้องทำให้เซวี่ยกวงที่ตามอยู่ด้านหลังไม่สามารถตามทัน ทำได้เพียงพึ่งรายงานของเหล่ามารที่พบร่องรอยของหานลี่ในทุกแห่งหน แล้วค่อยรีบกระทำการไล่ล่ากันใหม่
เช่นนี้ ย่อมไม่มีทางดักเส้นทางของหานลี่ได้ รอจนพวกเขารุดเข้าไปใกล้อีก หานลี่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแต่แรกแล้ว
ที่แปลกยิ่งกว่าก็คือสตรีที่สงสัยว่าเป็นหยวนซา กลับมิได้ปรากฏตัวพร้อมกับสามร่างแยกของเซวี่ยกวง ไม่ทราบว่าไปไหนแล้ว
เรื่องแบบนี้ หานลี่ย่อมอยากเห็นมาก ถ้าไม่ใช่เพราะพลังยุทธ์ในร่างมีอยู่ไม่มาก เขาคิดกระทั่งหยิบยืมโอกาสอันดีนี้ สร้างร่างแยกของเซวี่ยกวงขึ้นมาใหม่สักสองสามร่าง
แต่ภายใต้สถานการณ์ตรงหน้า กลับทำได้แค่หลบหนีต่อไปอย่างช่วยไม่ได้
ซึ่งพอสามร่างแยกของเซวี่ยกวงเห็นว่าการไล่ตามในหลายครั้งไม่เป็นผล ก็กัดฟันระดมพลเพิ่มเข้ามาอีก วางกำลังคนของตนเองไว้ในพื้นที่ควบคุมแต่ละแห่งดุจหว่านแห
นอกจากนี้ มารตนนี้ยังใช้ประโยชน์จากค่ายกลเคลื่อนย้ายส่งตัวของแต่ละพื้นที่ซึ่งถูกกองทัพมารควบคุมในการไล่ล่าเบาะแสของหานลี่ชนิดกัดไม่ปล่อย
หานลี่ตกตะลึง แบบนี้ใครจะกล้าผ่อนคลายลง
ทั้งๆ ที่เขาฟื้นฟูพลังวิญญาณได้เล็กน้อยราวสามถึงสี่ส่วน ก็ยังไม่กล้าอยู่ที่เดิมนานแม้พริบตา หนีไปให้ไกลหมื่นลี้ทันที
ขนาดทำเช่นนี้ ก็ยังมีหลายครั้งที่เกือบถูกสามร่างแยกของเซวี่ยกวงสกัดกั้นได้
อาศัยลางสังหรณ์ที่มีบ้างไม่มีบ้าง พอรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมาก็ยอมหยุด แล้วนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังยุทธ์ทันที จึงหนีไปไกลหมื่นลี้ได้อย่างรวดเร็ว รอดพ้นจากหายนะมาได้สองครั้งสองครา
ผ่านไปหลายครั้งเข้า หานลี่ย่อมระมัดระวังมากขึ้น เดิมทีคิดจะไปฐานที่มั่นมนุษย์ ซึ่งมีทั้งเมืองราชันย์ศักดิ์สิทธิ์กับสี่ตระกูลวิญญาณแท้ผู้ยิ่งใหญ่รวมอยู่ในนั้นด้วย ก็เป็นต้องจำยอมละทิ้ง แล้วหนีไปยังที่อื่นที่ไกลออกไป
จำนวนชนเผ่ามารในทิศอื่นๆ ลดลงไปมาก เวลาที่ถูกสามร่างแยกของเซวี่ยกวงใช้ในการไล่ล่าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นยาวนานขึ้น
นี่ทำให้หานลี่ผ่อนคลายลงมากในทันที มีเวลาทำสมาธิและพักผ่อนเพิ่มขึ้นตาม พลังภายในก็ค่อยๆ เติมเต็มขึ้นมา
เสียดายที่ช่วงเวลาดีๆ มีได้ไม่นาน สามเดือนต่อมาในกลุ่มศัตรูไล่ล่าที่ตามหานลี่อยู่ด้านหลัง จู่ๆ ก็มีสตรีที่สงสัยว่าเป็นร่างแปลงของหยวนซาเพิ่มขึ้นมา และพอนางปรากฏตัว กระทั่งสามร่างแยกผู้ยิ่งใหญ่ของเซวี่ยกวงก็ตามหลังนางมาติดๆ ไม่ปล่อย ชนิดไม่ให้โอกาสหอบหายใจแม้แต่น้อย
ทั้งๆ ที่เมื่อครู่เขาเพิ่งนั่งสมาธิพักผ่อนได้ไม่ถึงสองสามชั่วยาม นางมารตนนี้ถึงกับต้องพาสามร่างแยกผู้ยิ่งใหญ่ของเซวี่ยกวงปรากฏตัวออกไล่ลาพร้อมกัน
แต่ดีที่บริเวณนี้มีชนเผ่ามารอาศัยอยู่ไม่มาก หานลี่จึงจากไปได้อย่างใจเย็น
ทว่าในหนึ่งเดือนถัดมา ไม่ว่าหานลี่เปลี่ยนทั้งทิศทางและสถานที่ มารทั้งสี่กลับดุจหนอนในกระดูก ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังแม่นยำทุกครา
ทำให้หานลี่สะดุ้งตกใจ ในที่สุดก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง
มารทั้งสี่คล้ายมีวิธีติดตามตำแหน่งของเขาโดยสังเขป แม้เห็นชัดว่าไม่ค่อยแม่น แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เขาไม่สามารถสลัดหลุดจากการล่าสังหารไปได้
เห็นชัดว่าวิธีสะกดรอยเช่นนี้ มาจากสตรีมารนั่นซึ่งเพิ่งได้มาใหม่ มิเช่นนั้นก่อนหน้านี้ก็ไม่มีทางให้เขาหนีรอดด้วยการใช้เคล็ดวิชาถอดร่างจักจั่นสีทองหรอก
หานลี่รู้สึกใจหายวาบ การร่ายมนตร์กับการวางแผนหลายต่อหลายครั้งล้วนไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ของการถูกฝ่ายตรงข้ามเพ่งเล็งจากระยะไกล ยิ่งทำให้ไม่กล้าหนีไปยังสถานที่ที่มีชนเผ่ามารมากมาย ตรงไหนเป็นที่รกร้างว่างเปล่าก็พุ่งตรงไปตรงนั้น
ด้วยวิธีนี้ แม้เขาไม่มีทางสลัดหลุดพวกเซวี่ยกวงระยะหนึ่ง แต่ก็ทำให้กำลังพลที่มารทั้งสี่ยืมตัวมาช่วย หายากขึ้นเรื่อยๆ
เช่นนี้ ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งหนี ฝ่ายหนึ่งตาม ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ก็ค่อยๆ มาถึงริมชายแดนเผ่ามนุษย์
พื้นที่ชายขอบแห่งนี้ เนื่องจากอยู่ใกล้แดนทุรกันดาร จึงมักมีอสูรโบราณบางตัวฝ่าเขตต้องห้ามเข้ามา ทำให้ไม่มีคนเมืองมาตั้งรกรากที่นี่ และถือว่าเป็นพื้นที่ซึ่งห่างไกลความเจริญที่สุดของมนุษย์
ไม่มีฐานที่มั่นของมนุษย์ ย่อมไม่มีกองทัพมารอื่นๆ มาประจำการที่นี่เช่นกัน
จากความเร็วในการหลบหนีของหานลี่ ตอนนี้มารชั้นสูงตนอื่นๆ ที่ยังสามารถตามติดการไล่ล่าของมารทั้งสี่ ย่อมมีอยู่ไม่มาก แถมเป็นมารที่ถูกเซวี่ยกวงเก็บไว้ในถาดหยกยักษ์นั่นด้วย ถึงตามมาที่นี่ได้
…..
หานลี่ทำหน้าขรึมขณะเป็นสายรุ้งสีเขียวทอดยาวไปข้างหน้า
จากพลังภายในของเขาในตอนนี้ ไม่เหมาะที่จะเอื้อให้เขาแปลงกายแบบวิหคยักษ์ ร่อนไปอย่างรวดเร็วอีกจริงๆ จึงได้แต่เลือกใช้การเรืองแสงธรรมดาเหาะหนีไปข้างหน้า
ยามนี้เป็นเวลากว่าครึ่งปีแล้วที่เขาหลบหนีมา แม้เป็นเพราะทิศทางการหลบหนีของเขาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้มารทั้งสี่ที่อยู่ด้านหลังไม่มีทางตามทัน แต่ถ้าไล่ล่าแบบนี้นานวันเข้า แม้หัวใจของเขาแกร่งดุจเหล็ก ก็รู้สึกล้าอ่อนสุดๆ เหมือนกัน
ทว่ายิ่งอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ หานลี่ก็ยิ่งไม่มีทางเลือดขึ้นหน้า หันกลับไปต่อสู้ชี้เป็นชี้ตายกับฝ่ายตรงข้าม แต่กลับทำให้จิตใจเขาสงบลง ตัดสินใจยืนหยัดเช่นนี้ไปกับมารทั้งสี่ต่อ
เขาไม่เชื่อว่า มารทั้งสี่จะตั้งใจไล่ตามเขาไปเรื่อยๆ จนสุดขอบโลกจริงๆ
จะอย่างไร ที่มารทั้งสี่ไล่ล่าเขาอย่างสุดชีวิตไม่ลดละนั้น น่าจะกินพลังไม่น้อยไปกว่าเขาเลย และไม่มีเวลามากมายในการฟื้นฟูพลังเหมือนกัน
…..
บนท้องฟ้าห่างจากหานลี่สิบล้านลี้
ตำหนักศิลาหลังหนึ่งกับแสงสีขาวสองกลุ่มซึ่งแปลงมาจากถาดยักษ์กำลังเหาะแหวกอากาศ
ส่วนที่ว่างซึ่งถาดหยกยักษ์ลอยอยู่ สามร่างแยกผู้ยิ่งใหญ่ของเซวี่ยกวงยืนเคียงไหล่กันหน้ากำแพงแก้ว กำลังหารือเรื่องบางอย่างกับหยวนซาที่ปรากฏอยู่บนนั้น
“พูดเช่นนี้ สหายยังคงไม่ยินยอมมาที่ถาดจักรวาล สหายน่าจะชัดเจนดีว่าการที่พวกเราต่างคนต่างไล่ตามของล้ำค่าเช่นนี้ กินพลังไม่เบาจริงๆ ข้าเร่งรีบไล่ตามจึงพกยาวิเศษฟื้นฟูพลังมาไม่มาก แม้ก่อนหน้านี้ได้จากลูกน้องมาบ้าง แต่การบินเป็นเวลานานขนาดนี้น้อยคนนักจะทำกัน ขืนไล่ตามไปเรื่อยๆ ก็ได้แต่พึ่งพลังหนุนเล็กๆ น้อยๆ จากร่างเดิมแล้ว ข้าไม่กล้ารับประกันว่าจะยืนหยัดได้นานกว่าเจ้ามนุษย์ที่อยู่ข้างหน้า! และไม่รู้ว่าหมอนั่นพกยาวิเศษที่ใช้ฟื้นฟูพลังมามากน้อยเท่าไร ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นท่าทีหมดแรงของเขาเลย! สหายก็ไม่ได้พกยาวิเศษมามากมายใช่ไหม ถ้าเป็นเช่นนี้พวกเราก็ได้แต่โดยสารพาหนะลำเดียวกันแล้ว จึงจะสามารถผลัดกันโคจรพลังปราณได้” ร่างแยกของเซวี่ยกวงที่อยู่ตรงกลางเตือนสติหยวนซา
“ผลัดกันโคจรพลังปราณ ข้าย่อมไม่ขัดข้อง แต่เหตุใดท่านทั้งสามถึงไม่มาที่ตำหนักศิลาข้า ทำไมถึงยืนยันว่าข้าต้องไปที่ถาดจักรวาลของท่านด้วย” สตรีในชุดฟ้าหรี่ตา ก่อนพูดอย่างไม่หวั่นไหว
“หึ สหายถามทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่า มหายุทธ์แสงโลหิตที่เราสามคนฝึกฝนกับไอศิลาป้องกันตัวที่ชนเผ่ามารศิลามีมาแต่กำเนิดนั้นไม่ถูกกัน ให้เราไปนั่งสมาธิพักผ่อนในตำหนักศิลาของเจ้า ย่อมไม่เห็นผลอันใดมาก สหายหยวนซายังคงมาที่ถาดจักรวาลดีกว่า” ร่างแยกของเซวี่ยกวงสั่นศีรษะ ก่อนปฏิเสธ
“เช่นนั้นรึ! แต่ข้ากลับห่วงว่า ถ้าไปที่ถาดจักรวาลของท่านแล้ว เกิดพวกท่านยักย้ายพลังจักรวาลขึ้นมา ชีวิตน้อยๆ ของข้าคงรักษาไว้ไม่อยู่ มหายุทธ์แสงโลหิตเชี่ยวชาญในการกลืนกินโลหิตพลังปราณของผู้คน เรื่องแบบนี้เซวี่ยกวงของเจ้าก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้” หยวนซายิ้มเย็นชา ก่อนพูดตรงๆ อย่างไม่เกรงใจ
“สหายหยวนซาคิดมากเกินไปแล้ว ข้ากับสหายล้วนเป็นร่างแยกอยู่ที่นี่ ถ้าการทำเช่นนี้ ทำให้ร่างเดิมของเจ้ารู้ จะยอมรามือกับผู้แซ่เซวี่ยหรือ” ร่างแยกของเซวี่ยกวงอีกร่างทอดถอนใจก่อนพูด
“หึหึ นี่ก็เป็นเรื่องที่พูดยาก ต่อให้ที่เจ้าพูดมามีเหตุผลอยู่บ้าง ข้าก็ไม่มีทางเสี่ยงเป็นอันขาด อาจเพราะโลหิตพลังปราณของร่างแปลงข้าไม่อาจทำให้พวกเจ้าหวั่นไหว แต่ถ้าบวกกับไอหุ้นตุ้นและป้อมผนึกมารในมือของเจ้าหนุ่มแซ่หาน เกรงว่ากระทั่งข้าก็หวั่นไหวเล็กๆ อยู่เหมือนกัน” หยวนซายกมุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนพูดประชดประชัน
“ไอหุ้นตุ้นกับป้อมผนึกมารอะไร! ผู้แซ่เซวี่ยไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดอันใดอยู่”
สามร่างแยกของเซวี่ยกวงหน้าเปลี่ยนสีพร้อมกัน หลังจากมองตาซึ่งกันและกัน ร่างแยกตรงกลางก็ส่ายศีรษะปฏิเสธขึ้นมา
“เซวี่ยกวง เจ้าคิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเหล่านี้ไปทำไมกัน สภาพของมนุษย์นั่นตอนเก็บไอหุ้นตุ้นกับป้อมผนึกมารได้ในเพลิงธรณีน้ำพุเหลืองอยู่ในสายตาข้าพอดี ได้ยินมานานแล้วว่าของวิเศษอย่างป้อมผนึกมารเป็นไปได้สูงที่จะอยู่ในมือเจ้า เห็นทีข่าวลือเป็นความจริงอย่างที่ว่า แต่ไม่รู้ว่าเจ้าทำอย่างไรถึงทำให้ของวิเศษเช่นนี้ตกอยู่ในมือของมนุษย์ไปได้ ครั้งนี้เจ้าปล่อยให้สามร่างแยกผู้ยิ่งใหญ่มาจุติพร้อมกันบนโลกมนุษย์ เป็นเพราะไอหุ้นตุ้นสินะ” สตรีพลันเลิกคิ้วทั้งสองข้างขึ้น แล้วยิ้มเย็นชา
“ในเมื่อเจ้าเห็นกับตาแล้ว ผู้แซ่เซวี่ยก็ไม่ปิดบังเจ้า เจ้าคิดทำอย่างไร ไปแจ้งลิ่วจี๋ของพวกเจ้าหรือ” ร่างแยกตรงกลางของเซวี่ยกวงมีสีหน้าเคร่งขรึมลง ก่อนพูดเสียงเย็นชาเช่นกัน
“เมื่อไอหุ้นตุ้นสำคัญกับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของพวกเราเช่นนี้ ข้าจะยอมให้ผู้อื่นมาแบ่งไปบางส่วนได้อย่างไรกัน! เงื่อนไขข้าง่ายมาก ป้อมผนึกมารกับไอหุ้นตุ้นครึ่งหนึ่งให้เจ้าได้ แต่ไอหุ้นตุ้นที่เหลือกับร่างเดิมของมนุษย์นี่และของวิเศษล้ำค่าอื่นๆ บนร่างเขาต้องให้ข้า” หยวนซากระพริบตาวาว แล้วจึงค่อยๆ พูดเงื่อนไขของตนออกมา
“สิ่งที่เจ้าสนใจมีไม่น้อยเลยจริงๆ เงื่อนไขอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง หม้อคำพูดสีม่วงของข้าก็ตกอยู่ในมือของเจ้ามนุษย์นี่ ของวิเศษชิ้นนี้ข้าต้องเก็บกลับคืน” ร่างแยกตรงกลางของเซวี่ยกวงหรี่ม่านตาลง ผ่านไปสักพักค่อยแค่นเสียงตอบอย่างเย็นชา
“หม้อคำพูดสีม่วงก็ถูกเจ้าหนุ่มแซ่หานเก็บไปด้วยรึ เหนือความคาดหมายของข้ามาก เมื่อเป็นเช่นนี้ของวิเศษคืนสู่เจ้าของ ข้าไม่มีความเห็นอะไร” หยวนซาอึ้งเล็กน้อย เผยให้เห็นสีหน้าคาดไม่ถึง
“ดี งั้นตกลงตามนี้ นับว่าเราสองเป็นพันธมิตรกันอย่างเป็นทางการแล้ว ควรจะสะกดรอยหมอนั่นอย่างไร ต้องบอกเล่ามาบ้าง” ร่างแยกอีกร่างของเซวี่ยกวงกลอกตาเล็กน้อย พลันพูดออกมา