คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1952 โลงศพสีดำ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1952 โลงศพสีดำ
“ต่อให้สหายรู้ ก็ไม่มีทางทำเช่นเดียวกันได้หรอก” หยวนซาพูดเรียบๆ
“หึหึ สหายหยวนซาไม่พูด จะรู้ได้อย่างไรว่าผู้แซ่เซวี่ยทำไม่ได้” ร่างแยกของเซวี่ยกวงหาวก่อนพูด
“จู่ๆ อยากรู้เช่นนี้ ข้าบอกความจริงให้ก็ได้ ยังจำตอนที่ข้าขออยู่รับมือร่างแปลงของหมอนั่นคนเดียวได้ใช่ไหม” หยวนซากะพริบตาก่อนถามกลับ
“ย่อมจำได้ สหายอยู่ที่นั่นนานหลายเดือนทีเดียว หลังจากกลับมาก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ต่อหน้าผู้แซ่เซวี่ยเลย หรือว่าวิธีการของเจ้าเกี่ยวข้องกับร่างแปลงของหมอนั่น เจ้าจับกุมร่างแปลงหมอนั่นไว้หรือ” สีหน้าของร่างแยกตรงกลางพลันเปลี่ยน
“แม้สหายเซวี่ยกวงไม่ได้พูดถูกต้องทั้งหมด แต่ก็เดาได้พอสมควร ร่างแปลงนั่นเป็นร่างทารกตนหนึ่งที่แยกออกมาจากร่างของหมอนั่นจริงๆ แม้หมอนั่นบำเพ็ญเพียรได้แค่ระดับหลอมสุญตาตอนปลาย แต่กลับฝึกพลังจิตป้องกันตัวไว้หลายแบบ แม้ข้าใช้เวลาไล่ล่าต่อเนื่องยาวนานเช่นนี้ แต่ในที่สุดก็ทำให้เขาเปิดเผยร่างทารกออกมาเอง โดยหนีไปด้วยการแบ่งร่างเป็นวิญญาณนับไม่ถ้วน ข้าจับได้ทันแต่วิญญาณแบ่งหนึ่งตนเท่านั้น”
สีหน้าของหยวนซาพลันเครียดขึ้นมา
“อันใดนะ ร่างแบ่งทารกระดับหลอมสุญตายังหนีรอดจากเงื้อมมือของสหายหยวนซาไปได้!”
พอได้ยิน ร่างแยกร่างหนึ่งของเซวี่ยกวงก็อดไม่ได้ที่จะพูดเสียงหลงออกมา
ส่วนอีกสองร่างหันมาสบตากัน แสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมาเช่นเดียวกัน
“เหอะ เจ้ามนุษย์นี่น่าจะฝึกศาสตร์ลับประเภทแยกทารกแบ่งวิญญาณ บวกกับบนร่างยังมียันต์ที่คาดไม่ถึงหลายชนิด ข้าไม่ทันระวัง ถึงปล่อยให้มันหนีไปสำเร็จ จากพลังจิตของปราณก่อกำเนิดตนนี้ ขอเพียงหาสถานที่หนึ่งให้วิญญาณพิการกว่าครึ่งมารวมตัวกันใหม่ ก็ใช่ว่าจะฟื้นฟูให้เป็นดังเดิมไม่ได้ แต่ถ้าไม่ใช่เพราะข้ารีบมารวมตัวกับสหายเซวี่ย ยอมเสียเวลาอีกหน่อย ต้องทำลายวิญญาณพิการเหล่านั้นให้สูญสิ้นได้แน่ แต่ที่ข้าละทิ้งการล่าสังหารพวกมันไป ที่สำคัญสุดยังคงเป็นเพราะจับวิญญาณหนึ่งตนของร่างแบ่งทารกได้ ในมหายุทธ์พลังปราณมารที่ข้าฝึก มีพลังชนิดหนึ่งที่พึ่งพารำลึกวิญญาณ สามารถสัมผัสเบาะแสพลังจิตของร่างเดิมได้โดยตรง ข้าจึงแปรธาตุวิญญาณพิการหนึ่งตนของเจ้ามนุษย์นั่นมาไว้ในร่างตัวเอง จึงสามารถสัมผัสทางไกลถึงตำแหน่งที่เจ้ามนุษย์นั่นอยู่ได้คร่าวๆ ในมือข้าไม่มีวิญญาณพิการตัวที่สอง สหายจึงไม่มีทางทำแบบเดียวกับข้าได้ แต่สัมผัสชนิดนี้รู้แค่ตำแหน่งคร่าวๆ มีความคลาดเคลื่อนมาก ไม่เช่นนั้นเราคงไม่ถูกเจ้ามนุษย์นั่นจูงจมูกมาตลอดจนถึงตอนนี้หรอก”
หยวนซาพูดออกมาตรงๆ รวดเดียวหมด
“ต้องการวิญญาณแบ่งหนึ่งตนของหมอนั่น! พูดเช่นนี้ แม้ผู้แซ่เซวี่ยเป็นศาสตร์ลับทำนองนี้ก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี ถ้ารู้เช่นนี้แต่แรก ตอนนั้นข้าน่าจะอยู่ต่อหลายวันหน่อย จับร่างแบ่งทารกนั่นให้ได้เป็นพอ” เมื่อได้ยินเช่นนี้ ร่างแยกตรงกลางของเซวี่ยกวงก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางเสียใจออกมา!
“ถ้าเจ้าทำเช่นนี้จริง อาจทำให้หมอนั่นฉวยโอกาสหนีไปไกลได้ ขนาดร่างแบ่งทารกกระจ้อยร่อยยังหลุดลื่นออกจากมือ ร่างเดิมคงยากพัวพันน่าดู” หยวนซากลับส่ายศีรษะก่อนแสดงความเห็นที่ต่างออกไป
“เหอะ ต่อให้หมอนั่นเจ้าเล่ห์แค่ไหน หลังจากถูกเราสองไล่ล่าแบบนี้ ไม่ว่าจะทั้งพลังยุทธ์หรือพลังจิต ก็น่าจะเข้าขั้นอ่อนล้าแล้ว เมื่อไม่มีกำลังสำรองก็เล่นลวดลายอันใดไม่ออกแล้ว”
เซวี่ยกวงพยักหน้า แค่นเสียงเย็นชาก่อนพูด
“พูดเช่นเดียวกันเลย สหายเหมือนเคยพูดแล้วเมื่อสองเดือนก่อน และตอนนี้เจ้ามนุษย์นั่นก็ยังคงกระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าเรา กลับเป็นเราสองที่แทบจะยืนหยัดไม่ไหวอยู่รอมร่อ”
หลังจากมุมปากของหยวนซากระตุก ก็พูดเย้ยหยันตัวเองบ้าง
“นั่นเป็นเพราะผู้แซ่เซวี่ยนึกไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามจะพกยาวิเศษที่ใช้ฟื้นฟูพลังติดตัวมามากถึงเพียงนี้ ตอนนี้เราไม่มีทางรู้ตำแหน่งที่แม่นยำของเขา จึงได้แต่ลากยาวกับฝ่ายตรงข้ามไปแบบนี้ ขอเพียงพลังของเขาหมดลง ก็เป็นปลาในแหได้เช่นกัน”
พอได้ยิน ร่างแยกตรงกลางของเซวี่ยกวงก็แสดงสีหน้ากระอักกระอ่วนออกมา
“คำพูดนี้มีเหตุผล เขาในตอนนี้แม้หลบหนีได้ไม่ช้า แต่เมื่อเทียบกับตอนแรก กลับต่างกันราวฟ้ากับดิน เห็นทีพลังยุทธ์ถูกใช้ไปเกือบหมดจริงๆ” หยวนซาพยักหน้าอย่างไม่สบอารมณ์
“ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาด ผู้แซ่เซวี่ยจึงอยากเชิญสหายหยวนมาที่ใจกลางถาดจักรวาล ถ้าเราร่วมมือกันกระตุ้นของวิเศษหนึ่งชิ้น ความเร็วไม่มีทางช้าลง แต่กลับประหยัดพลังภายในได้มากโข”
ร่างแยกของเซวี่ยกวงพูดอย่างค่อนข้างมีความหวัง
“ไปใจกลางถาดจักรวาล? เรื่องนี้ไม่ต้องพูดแล้ว ข้าไม่มีทางเสี่ยงเป็นอันขาด ตำหนักศิลาเดิมทีคือร่างแปลงของสองผู้เฒ่ามารศิลาผู้ยิ่งใหญ่ พลังที่ข้าเสียไปกับการกระตุ้นตำหนักวิเศษ เมื่อเทียบกับคนทั่วไปถือว่าประหยัดมากแล้ว” หยวนซาพูดอย่างใจเย็น
“เมื่อสหายหยวนซาไม่เชื่อใจข้า งั้นเรื่องนี้ก็แล้วกันไป ข้ายังมีลูกน้องจำนวนหนึ่งที่พามาด้วย สามารถกระตุ้นถาดจักรวาลแทนข้าได้ชั่วคราวเช่นกัน”
สามร่างแยกของเซวี่ยกวงสบตากัน หนึ่งในนั้นพูดพลางยิ้มขมขื่นเล็กน้อย
“เรื่องเหล่านั้นก็ตกลงตามนั้น แม้ท่าทางหมอนั่นดูยืนหยัดได้ไม่นาน แต่เราก็ยังต้องเตรียมการเพิ่มเติมไว้ล่วงหน้า เผื่อเขายืนหยัดได้นานกว่าเราจริงๆ หรือพอใกล้หมดพลัง เขาเกิดตัดสินใจแลกหมัดกับเราโดยไม่สนใจใดๆ เราจะได้ไม่อับจนหนทาง หรือปล่อยให้เขากระทำการสำเร็จโดยที่เราไม่ทันคาดคิด”
หลังจากหยวนซาพยักหน้า ดวงตาก็ทอประกายเย็นวาบก่อนพูด
“อันนี้ขอให้สหายหยวนวางใจ ครั้งนี้ที่ข้าไล่ตามมาย่อมเตรียมวิธีการอื่นๆ ไว้แล้ว จะไม่ปล่อยให้เจ้ามนุษย์นั่นมีโอกาสพลิกกระดานแม้แต่น้อยเป็นอันขาด” ร่างแยกตรงกลางของเซวี่ยกวงยิ้มอย่างมีเลศนัย พลางพูดอย่างเปี่ยมความมั่นใจ
“สหายเซวี่ยพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว จากนี้ไปเพื่อเป็นการประหยัดพลังยุทธ์ ข้าจะไม่ติดต่อกับสหายถ้าไม่มีความจำเป็นใดๆ” พอหยวนซาพูดเรียบๆ จบประโยคก็สะบัดแขนเสื้อ กำแพงแก้วสว่างวาบ แล้วร่างของนางก็หายวับไป
ชั่วขณะนั้น ใจกลางถาดจักรวาลพลันเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ
“พวกเจ้าคิดอย่างไรกับคำพูดเมื่อครู่ของหยวนซา”
พอเห็นสถานการณ์ รอยยิ้มบนใบหน้าร่างแยกตรงกลางของเซวี่ยกวงพลันจางหาย หลังจากครุ่นคิดสักพัก ค่อยถามขึ้น
คนที่เขาถาม ย่อมเป็นร่างแยกอีกสองร่างที่อยู่ข้างกาย
ทั้งสามแม้มาจากที่เดียวกัน แต่หลังจากผ่านการแบ่งแยกด้วยศาสตร์ลับเฉพาะ อารมณ์ส่วนใหญ่กลับเหมือนกัน แต่บางครั้งก็เป็นคนสามคนที่ไม่เหมือนกันเลย
“นี่ยังต้องให้พูดอีกหรือ หยวนซาย่อมไม่พูดความจริงทั้งหมด การใช้ประโยชน์จากวิญญาณพิการสัมผัสถึงตำแหน่งปราณก่อกำเนิดของร่างเดิม วิชามารทั่วไปย่อมมีบันทึกถึงวิธีการใช้พลังจิตแบบนี้ แต่ก็ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่มีพลังบำเพ็ญเพียรเหนือกว่าคู่ต่อสู้ถึงจะทำได้ มิฉะนั้นเพียงคู่ต่อสู้พบสิ่งผิดปกติ ก็จะใช้วิธีพิเศษ ปิดผนึกสัมผัสปราณก่อกำเนิดหลักทันที วิธีนี้ก็ล้มเหลวแล้ว” ร่างแยกร่างหนึ่งพูดพลางขมวดคิ้ว
“ไม่เพียงเท่านี้ นางยังตกลงคืนป้อมผนึกมารกับหม้อคำพูดสีม่วงอย่างง่ายดาย เกรงว่ามีความคิดอื่นอีกน่ะสิ หึหึ ของวิเศษสองอย่างนี้ แม้ไม่ใช่สมบัติแห่งสวรรค์ทมิฬ แต่ก็เป็นของของสวรรค์ทมิฬ นางจะปล่อยมือง่ายๆ ได้อย่างไรกัน ถ้านางพยายามแย่งหนึ่งในของวิเศษกับเราแต่แรก อาจดูมีความจริงใจอยู่บ้าง”
ร่างแยกอีกร่างก็หัวเราะอย่างเย็นชาก่อนพูด
“เรื่องนี้เรารู้กันในใจก็พอ ก่อนไปถึงตรงนั้นยังคงต้องจับเจ้ามนุษย์นั่นให้ได้ก่อน นี่คือเรื่องแรก อีกเรื่องก็คือ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปเราสามคนต้องเริ่มผลัดกันดูดซับพลังจากผลึกมารแท้เหล่านั้นที่เอามาด้วย แม้หยวนซาไม่ยอมหลงกลมาที่ใจกลางถาดจักรวาล ก็ไม่มีทางคาดคิดได้ว่าตอนที่ผู้นำกองทัพท่านนั้นมาจุติในโลกใบนี้จะนำผลึกมารแท้มามากมายขนาดนี้ ภายใต้การผลัดกันเติมเต็มพลังมารจากผลึกมารจำนวนนี้ ต่อให้ต้องเสียพลังไปอีกปี ก็ยังยืนหยัดต่อไปได้ ผ่านไปนานวันเข้าตอนที่ความแข็งแกร่งของเราทิ้งห่างจากหยวนซา ควรจะจัดการกับของวิเศษบนร่างของหนุ่มแซ่หานอย่างไร ก็ย่อมขึ้นอยู่กับเราแล้ว”
ร่างแยกตรงกลางของเซวี่ยกวงพูดพร้อมสีหน้าเคร่งขรึม
พอได้ยินเช่นนี้ อีกสองร่างแยกก็แสดงท่าทีดีใจออกมา
…..
ขณะเดียวกัน กลางหอคอยศิลาขนาดใหญ่ สตรีในชุดชาววังนั่งเงียบๆ อยู่บนม้านั่งศิลา กำลังครุ่นคิดอันใดอย่างใจเย็น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในตำหนักศิลาพลันมีเสียงทอดถอนใจดังมา เสียงไพเราะเสนาะหู แต่กลับเป็นเสียงที่แปลกแยก ด้วยเป็นเสียงของสตรีอีกคนหนึ่ง
“ลิ่วจี๋ ในที่สุดเจ้าก็ตื่นขึ้นแล้ว!”
สตรีชาววังผู้มีใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์อยู่แต่เดิมตะลึงงัน ก่อนแสดงความปีติยินดีขึ้นมา
“อืม ดีที่น้องหยวนซานึกถึงการหยิบยืมกายหยาบ ถึงทำให้ร่างแบ่งจิตส่วนนี้ของข้าหลบหลีกจากหูตาของเจ้าพวกนั้นมาจุติยังโลกวิญญาณใบนี้ได้” สตรีแปลกหน้าหัวเราะเบาๆ คล้ายค่อนข้างดีใจเช่นกัน
“แต่ตอนที่ข้าทะลุเข้ามาในโลกนี้ จู่ๆ ร่างแบ่งจิตของท่านพี่ก็เข้าสู่สภาวะหลับลึก ไม่ฟื้นตื่นรวดเดียวติดต่อกันหลายปี ทำให้น้องกังวลใจยิ่ง” หยวนซาเป่าปากอย่างโล่งอกก่อนเอ่ยตอบ
“ร่างแยกนี้ของเจ้า กายหยาบแม้นับว่าแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถรองรับจิตดั้งเดิมที่ทรงพลังสองดวงพร้อมกันได้ ข้าจึงได้แต่ปิดผนึกจิตดั้งเดิมกับสัมผัสทั้งหกชั่วคราว จะได้ไม่สร้างความเสียหายต่อกายหยาบของเจ้า จริงสิ ที่นี่คือที่ไหน เหตุใดพลังยุทธ์ของเจ้าถึงได้เสียหายอย่างหนักเช่นนี้ หรือพบเจอปัญหาอันใดมา”
สตรีแปลกหน้าอธิบายให้ฟังสองประโยค แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนากะทันหัน
“เรื่องของน้องอีกสักครู่ค่อยเล่าความจริงให้ฟัง ตอนนี้ท่านพี่นำจิตดั้งเดิมคืนสู่กายหยาบก่อนดีกว่า ร่างแปลงนี้แม้มีพลังน้อยที่สุดในร่างแปลงทั้งหกของท่าน แต่ก็มากกว่าร่างแปลงของข้าชนิดเทียบกันไม่ติด”
หยวนซาพูดพลางสั่นข้อมือข้างหนึ่ง แสงสีดำกลุ่มหนึ่งพลันพุ่งออกจากแขนเสื้อ บินวนรอบหนึ่งก็ปรากฏรูปเดิมหยุดอยู่บนพื้นตำหนักศิลา
กลับเป็นโลงศพหยกสีดำมะเมื่อมยาวราวหนึ่งจั้งโลงหนึ่ง สลักลายลึกลับเป็นชั้นๆ เปล่งไอมารสีดำสนิทออกมา
บนตัวโลงหยกสีดำ ติดยันต์ต้องห้ามสีทองและสีเงินสิบกว่าใบ ปิดผนึกไว้อย่างแน่นหนา
“ก็ดี ในเมื่อข้าตื่นแล้ว ก็ไม่ง่ายที่จะอยู่ในร่างเจ้าเป็นเวลานานได้อีก” สตรีแปลกหน้าพูดอย่างไม่ยี่หระ
จากนั้นก็เห็นไอดำชั้นหนึ่งลอยออกมาจากใบหน้าหยวนซา หว่างคิ้วมีแสงสีเขียวหมุนไม่หยุด แสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาจากในนั้น กะพริบวาบ ก่อนกลายเป็นคนจิ๋วสีเขียวสูงหลายนิ้วคนหนึ่ง ยืนอยู่บนโลงศพหยกสีดำ
คนจิ๋วสีเขียวถูกแสงสีเขียวหุ้มห่อไว้ชั้นหนึ่ง จึงดูเลือนรางยิ่งเมื่อมองจากระยะไกล ไม่เห็นใบหน้าแม้แต่น้อย
ขณะนั้น หยวนซาได้ร่ายอาคมไว้แล้ว จึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้นชี้ไปที่โลงหยกสีดำอย่างใจจดใจจ่อ
เสียงดัง ‘ปุ’ ยันต์สีทองและสีเงินที่ติดอยู่บนโลงหยกสีดำเกิดเผาไหม้ กลายเป็นควันสีเขียวลอยหายไปในพริบตา
แล้วฝาโลงก็ปลิวขึ้น ไอมารเข้มข้นปะทุออกจากโลงหยกทันที เกือบอึดใจเดียวก็ปกคลุมไปทั่วเกือบทั้งตำหนัก
พอคนจิ๋วสีเขียวเห็นดังนี้ ร่างก็โงนเงนเล็กน้อย กลายเป็นแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งเข้าไปในโลงศพ แล้วสว่างวาบ หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย