คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1953 เผชิญความทุรกันดาร
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1953 เผชิญความทุรกันดาร
เสียงดัง ‘ปัง’!
ไอมารที่เดิมทีปะทุออกจากโลงหยกดำอย่างแรง หลังจากเสียงดังลั่นก็ม้วนตัวถอยหลังไหลกลับเข้าไปในโลงหยกดำ
พริบตาเดียวไอดำที่ปกคลุมไปทั่วทั้งตำหนักใหญ่ไม่เหลือแม้แต่น้อย
ส่วนพื้นผิวสลักลวดลายของหยกก็สว่างจ้าขึ้นมา กะพริบแสงสีขาวแยงตา คู่กับตัวโลงหยกดำมะเมื่อม ภายใต้การผสมผสานกันของสีขาวและสีดำ ให้ความรู้สึกพิลึกใกล้เคียงกับสภาวะหายใจไม่ออกอย่างหนึ่ง
แต่การกะพริบของแสงวิญญาณชนิดนี้ ใช้เวลาไม่กี่อึดใจ ก็พลันมอดแสง เปลี่ยนเป็นมืดสลัว
ทว่าในเวลานี้ คลับคล้ายมีเสียงดังหึ่งๆ ออกจากโลงหยก อักษรโบราณสีเงินหลายร้อยตัวพุ่งออกมาจากด้านหลัง บินวนอยู่กลางอากาศหนึ่งรอบ ก่อนรวมตัวกันกลายเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ส่องประกายเงินแวววาวหกร่าง
เงาร่างเหล่านี้ บ้างก็สูงใหญ่เป็นพิเศษสวมชุดเกราะทั้งตัว บ้างก็สูงเพรียวมีเขาคู่งอกอยู่บนศีรษะ แต่ละร่างล้วนเป็นสัตว์ประหลาดรูปร่างมนุษย์
เงาร่างสีเงินเหล่านี้ ปรากฏในเวลาสั้นๆ เพียงชั่วขณะเช่นกัน พอกะพริบก็กลายเป็นจุดแสงสีเงินหายไปในอากาศ
ถัดมา เกิดเสียงครางดังในโลงหยก มือของร่างที่ถูกชุดเกราะห่อหุ้มอยู่ทั้งตัวพลันยกขึ้น จากนั้นร่างเพรียวบางในชุดเกราะทหารสีดำก็ค่อยๆ ลุกขึ้นจากโลงหยก!
ร่างนี้ไม่เพียงถูกเกราะรบสีดำแบบโบราณที่เรียบง่ายห่อหุ้มไปทั้งตัว ใบหน้ายังปกปิดด้วยหน้ากากเกราะสีเขียวแบบมีเขี้ยวหนึ่งชิ้น เผยให้เห็นเพียงดวงตาสีฟ้าสองดวงที่ใสดุจน้ำ
“พี่ลิ่วจี๋ กายหยาบของท่านไม่มีปัญหานะ สามารถส่งพลังจิตออกจากร่างเดิมของท่านได้กี่ส่วน”
พอหยวนซาเห็นทหารหญิงชุดเกราะยืนขึ้น ก็ถามอย่างเป็นห่วงทันที
“แม้โลกใบนี้มีข้อจำกัดอยู่บ้าง แต่พลังราวสองส่วนจากร่างเดิมก็เพียงพอที่จะจัดการกับคู่ต่อสู้ทั้งหมดที่เหลือแล้ว” ทหารหญิงชุดเกราะยืดอกขึ้น หัวเราะเบาๆ ก่อนตอบ
“ถ้าสองส่วน เพียงพอที่จะกำราบมนุษย์จริงๆ ท่านพี่ก็ตื่นมาได้จังหวะพอดี ตอนนี้น้องกำลังเผชิญกับปัญหาบางอย่างที่ต้องการความช่วยเหลือจากท่านนิดหน่อย” ได้ยินเช่นนี้สีหน้าของหยวนซาก็ผ่อนคลายลง
“ปัญหา? ปัญหาอันใด เอ๊ะ คล้ายมิได้มีเจ้าเพียงคนเดียว ในถาดจักรวาลข้างๆ มีท่านที่อยู่ในเผ่าศักดิ์สิทธิ์ของเราท่านนั้นอยู่ หรือตาเฒ่ามังกรพิษก็มาจุติในโลกวิญญาณแล้ว”
พอทหารหญิงชุดเกราะกวาดตามองด้านนอก ก็พบถาดหยกยักษ์อยู่ข้างๆ ตำหนักศิลาทันที จึงถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“ไม่ใช่มังกรพิษ เป็นเซวี่ยกวงกับร่างแยกสองสามร่างกำลังจัดการของวิเศษชิ้นนี้อยู่ และตอนนี้ข้ากับเขาก็กำลังร่วมมือกันล่าสังหารมนุษย์บำเพ็ญเพียรผู้หนึ่ง ซึ่งบนร่างเขากลับมีทั้งป้อมผนึกมาร หม้อคำพูดสีม่วง ไอพลังหุ้นตุ้น และของล้ำค่าอีกมากมาย!” หยวนซาพูดโดยไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
“ป้อมผนึกมาร ไอหุ้นตุ้น? มีความหมายอยู่บ้าง ข้าชักสนใจแล้ว เจ้าเล่ารายละเอียดทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบให้ข้าฟังหน่อยสิ!”
สตรีชุดเกราะกะพริบตาวาว แสดงท่าทางตกตะลึงออกมา แต่เสียงกลับยังคงสงบนิ่งมาก
“เรื่องก็คือ เดิมทีข้าได้รับการไหว้วานจากร่างแปลงอีกร่างของท่านพี่ให้มาหยุดยั้งการกระทำอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ไม่เป็นผลดีต่อเผ่าศักดิ์สิทธิ์ แต่แล้วในพื้นที่ปฏิบัติภารกิจ กลับพบ…” เมื่อได้ยินเช่นนี้ หยวนซาก็พยักหน้าแล้วค่อยๆ เริ่มเล่าออกมา
“ก็เพราะเหตุนี้ พวกเราจึงได้แต่หมดพลังไปกับเจ้ามนุษย์นั่นเรื่อยๆ ส่วนเซวี่ยกวงก็เห็นชัดว่าเชื่อถือไม่ค่อยได้ รอจนไล่ทันมนุษย์บำเพ็ญเพียรนั่นจริงๆ เชื่อได้กว่าครึ่งว่าระหว่างข้ากับเขาต้องเกิดเรื่องอันใดบางอย่างขึ้นอีก”
ใช้เวลาดื่มชาหนึ่งถ้วย สตรีผู้นี้ก็เล่าเรื่องที่พบเจอมาคร่าวๆ จบไปรอบหนึ่ง แล้วจึงยิ้มขมขื่นถอนหายใจยาวๆ ออกมา
“ฟังเจ้าพูดเช่นนี้ เห็นทีเซวี่ยกวงน่าจะมีแผนสำรองอีกแผน หาไม่แล้วไฉนจึงกล้าคิดเช่นนี้กับเจ้า จากพลังจิตที่เขาใช้ยืมกายมาโลกวิญญาณแบบร่างแยก ถ้าเทียบกับเจ้าที่ใช้ร่างแยกตรงๆ มาจุติในโลกใบนี้ เจ้าย่อมอ่อนแอกว่าไม่ต่ำกว่าหนึ่งขั้น แต่เจ้าไม่ต้องห่วง เมื่อข้าฟื้นขึ้นมาแล้ว ย่อมไม่นิ่งดูดาย ไอหุ้นตุ้นมีประโยชน์ต่อการดำรงอยู่ของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เรามากเช่นกัน ถ้าตกอยู่ในมือเซวี่ยกวงก็น่าเสียดายไปหน่อย อีกอย่างตอนร่างแยกของข้ามาจุติ ก็พกผลึกมารมาไม่น้อย พอที่จะให้เจ้าใช้ฟื้นฟูพลังแล้ว”
หลังจากสาวชุดเกราะฟังจบก็พูดขึ้นเรียบๆ
“ช่างดีจริงๆ ถ้ามีพี่คอยช่วยเหลือ ข้าก็ไม่ต้องพะวงหลังแล้ว” หยวนซาก็ดูดีใจมากเช่นกัน
…..
หนึ่งเดือนต่อมา ด้านหน้าของหานลี่ปรากฏหมอกขมุกขมัวสีเทาผืนหนึ่งปกคลุมเทือกเขาขนาดใหญ่ไว้
หมอกไม่เพียงหนาผิดปกติ ยังพุ่งสู่บริเวณก้อนเมฆเก้าเมฆา คล้ายกำลังเชื่อมต่อกับท้องฟ้าให้เป็นสีเดียวกันแบบไม่มีที่สิ้นสุด
ขณะนั้น หานลี่กำลังนั่งสมาธิหลับตาอยู่ในรถเหาะรูปสามเหลี่ยมสีเขียวคันหนึ่ง มือทั้งสองข้างกำศิลาวิญญาณชั้นหนึ่งข้างละก้อนไว้ กำลังโคจรพลังเงียบๆ
พอเห็นสายรุ้งสีเขียวที่แปลงร่างเป็นรถเหาะเข้าใกล้เทือกเขามากขึ้นเรื่อยๆ หานลี่คล้ายสัมผัสถึงอะไรบางอย่าง จึงเลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
“ที่สุดก็ถึงแล้ว นี่คือปลายฟ้าทางใต้ในตำนานสินะ ไม่เสียทีที่เป็นยอดค่ายกลคาถาในรูปแบบเขตต้องห้ามที่ปกป้องมนุษยชาติมานานหลายปี ถ้าไม่ใช่เพราะสองโลกผสานกัน ทำให้พลังของเขตต้องห้ามลดลงล่ะก็ เกรงว่าไม่ง่ายจริงๆ ที่จะผ่านพื้นที่ตรงนี้ไปได้” หานลี่พึมพำเบาๆ ออกมา แล้วจึงหลับตาลงอย่างใจเย็นอีกครั้ง
แต่รถเหาะที่เขานั่งอยู่กลับมิได้หยุดลงแต่อย่างใด ภายใต้การกะพริบแสงสองสามครั้ง ก็หายเข้าไปในไอหมอกอย่างไม่ลังเลใจแม้แต่น้อย
ครึ่งวันต่อมา ตำหนักศิลากับถาดหยกยักษ์ก็ห้อตะบึงมาถึงที่นี่เช่นกัน
พอเห็นสถานการณ์ ผู้กุมบังเหียนสองพาหนะวิเศษอย่างหยวนซากับเซวี่ยกวงต่างปรากฏตัวขึ้น หลังจากหารือกันไม่กี่ประโยค ก็กระตุ้นพาหนะวิเศษหายเข้าไปในไอหมอกเช่นเดียวกัน
สำหรับพวกเขาที่ได้ทำการบีบหานลี่มาจนถึงขั้นนี้แล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยไปเป็นอันขาด ทั้งๆ ที่รู้ว่าแดนทุรกันดารค่อนข้างอันตราย ก็ได้แต่ตามหลังเข้าไป
…..
สามเดือนต่อมา ร่างของหานลี่ก็ปรากฏอยู่เหนือหนองน้ำแห่งหนึ่ง ภายใต้การดีดนิ้วเกิดไอกระบี่สีเขียวนับไม่ถ้วนบินฉวัดเฉวียนไปมา กักสิงโตสีม่วงตัวใหญ่ไว้ในตาข่ายสายฟ้าสีทองก่อนฟันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในพริบตา ฝนโลหิตกลุ่มหนึ่งซัดสาดลงจากฟากฟ้า
เขาคว้าจับกลางอากาศด้วยมือข้างเดียว แสงสีม่วงกลุ่มหนึ่งเปล่งออกจากฝนโลหิต กะพริบหนึ่งที ก็ร่วงลงบนมือเขา
กลับเป็นยาปีศาจผลึกขนาดเท่าไข่ไก่หนึ่งใบ!
“ใช้กลอุบายไปมากมาย ในที่สุดก็แก้ปัญหาสิงโตตาม่วงตัวนี้ในขั้นปลายของการฝึกได้ มียาอสูรปีศาจเหล่านี้ ก็น่าจะปรุง “ยาควบคุมวิญญาณ” ออกมาได้จำนวนหนึ่ง ถ้ามียาชนิดนี้ พลังภายในก็น่าจะยืนหยัดได้อีกชั่วระยะหนึ่ง”
หานลี่ถอนหายใจหนึ่งเฮือก หน้าซีดอยู่บ้าง พึมพำกับตัวเองสองประโยค แต่มุมปากกลับปรากฏรอยยิ้มน้อยๆ
แม้บนร่างเขามียาวิเศษที่ใช้ฟื้นฟูพลังไม่น้อย แต่หลังจากใช้ไม่หยุดมาเกือบปี ก็เริ่มมีไม่เพียงพอแล้ว ถ้าอาศัยมือศิลาวิญญาณฟื้นฟูพลังเพียงอย่างเดียว ย่อมไม่มีทางประคองตัวให้หนีรอดต่อไปได้
หานลี่จึงตัดสินใจเสี่ยง หาที่อยู่ของอสูรโบราณชั้นสูงสองสามแห่งจนเจอ แล้วใช้วิธีการขั้นเด็ดขาดจู่โจมสังหารพวกมันตรงๆ จนได้ยาปีศาจจำนวนหนึ่งมา ใช้ยาปีศาจเป็นวัตถุดิบแล้วเติมยาวิญญาณอื่นๆ ผสมลงไป กลับสามารถปรุงยาวิเศษที่ใช้ฟื้นฟูพลังได้จำนวนหนึ่งในระยะเวลาสั้นๆ
แม้เป็นเพราะใช้ความร้อนและระยะเวลาในการปรุงไม่เพียงพอ ทำให้สิ้นเปลืองสรรพคุณของยาปีศาจในยาวิเศษเหล่านี้โดยใช่เหตุ แต่หานลี่ก็ไม่ใส่ใจอะไรมาก
แต่การทำเช่นนี้ ก็ทำให้จิตใจของหานลี่สงบลงไม่น้อย
ขอเพียงล่าสังหารอสูรโบราณทันเวลา ได้วัตถุดิบในการปรุงยาวิเศษเพียงพอ เขาก็บอกตัวเองได้ว่าน่าจะยืนหยัดได้ค่อนข้างนานกว่าศัตรูไล่ล่าที่อยู่ด้านหลัง
หนึ่งวันต่อมา สามร่างแยกของเซวี่ยกวงและหยวนซาก็ปรากฏตัวขึ้นแถวหนองน้ำ ขณะมองดูซากอสูรโบราณที่กลายเป็นเศษเนื้อกองหนึ่ง สีหน้าของคนทั้งสี่ล้วนดูไม่ได้ขึ้นมา
เห็นชัดว่า พวกเขาคลับคล้ายเดาได้ถึงเจตนาที่หานลี่กระทำเช่นนี้
แม้ตอนนี้พวกเขาคิดเวทมนตร์ที่จะรับมือไม่ออก แต่ท่ามกลางสภาวะขี่หลังเสือแล้วลงยาก จึงได้แต่กัดฟันไล่ตามต่อไป
ดีที่พวกเขาทั้งสองล้วนมีผลึกมารอยู่กับตัวไม่น้อย จึงไม่ต้องกังวลเรื่องขาดพลังไปชั่วขณะ
เช่นนี้ตลอดทาง หานลี่จึงล่าสังหารอสูรโบราณจำนวนหนึ่งไปพลาง ปรุงยาวิเศษฟื้นฟูพลังจำนวนหนึ่งไปพลาง ค่อยๆ นำพาศัตรูไล่ล่าที่อยู่ด้านหลังเข้าสู่ส่วนลึกของแดนทุรกันดาร
บางครั้งต้องเผชิญกับช่วงเวลาไม่ได้ยาปีศาจอสูรโบราณ ตกอยู่ในสภาพปรุงยาวิเศษไม่ได้ หานลี่ก็ตัดสินใจง่ายๆ กลืนกินสมุนไรพวิญญาณที่เก็บได้จากแดนกว้างเย็นในแดนเซียนตรงๆ ไปเลย
ยาวิญญาณเหล่านี้แม้มีฤทธิ์แตกต่างกัน แต่ทุกตัวล้วนประกอบไปด้วยไอวิญญาณที่บริสุทธิ์ยิ่ง การกินสดๆ แม้เสียสรรพคุณยาไปมาก แต่ก็สามารถเสริมพลังได้ทันเวลา
เพียงแต่การทำเช่นนี้ ย่อมทำให้ร่างกายของหานลี่อัดแน่นไปด้วยฤทธิ์ยาร้อยแปด ซึ่งเป็นอันตรายอย่างแน่นอน หากอยู่ในยามปกติเขาแค่เสียเวลานิดหน่อย ใช้พลังขับฤทธิ์ยาเหล่านี้ออกมาหรือแปรธาตุไปก็ไม่เป็นปัญหาแล้ว
แต่จากสภาพที่ต้องรีบหนีให้รอดตลอดทางในตอนนี้ ในระยะเวลาอันสั้นย่อมไม่มีปัญหา แต่ถ้ายังกินยาวิญญาณสดๆ ต่อเนื่องนานวันเข้า ไม่ช้าก็เร็วจะกลายเป็นความหายนะอย่างใหญ่หลวงของเขา
จุดนี้หานลี่ชัดเจนดี แต่เพื่อชีวิตน้อยๆ นี้ จึงได้แต่ยืนหยัดต่อไปอย่างไม่มีทางเลือก
เช่นนี้เขาและศัตรู ทางหนึ่งหนี อีกทางหนึ่งไล่ จึงผ่านไปนานครึ่งปีโดยไม่รู้ตัว
วันนี้ ขณะหานลี่กำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนรถเหาะ ด้านหน้ามีสตรีชุดกระโปรงขาวท่าทางอาจหาญยืนร่ายคาถาด้วยมือข้างเดียว ร่างเปล่งประกายเจิดจรัส ขับเคลื่อนพาหนะเหาะแทนหานลี่
สตรีผู้นี้ก็คือหุ่นเชิดกายสิทธิ์
แม้หุ่นเชิดกายสิทธิ์ตัวนี้มีพลังยุทธ์ห่างไกลจากหานลี่มาก และขับเคลื่อนของวิเศษที่ใช้ในการเหาะได้อย่างเชื่องช้า แต่เมื่อหานลี่ต้องโคจรพลัง ก็ยังดีกว่าหยุดอยู่กับที่นิ่งๆ รอให้ศัตรูไล่ล่าด้านหลังตามมาทัน
แบบนี้ทำให้หานลี่ได้พักหายใจเป็นระยะ
มิเช่นนั้นการเหาะระยะทางไกลเช่นนี้ แม้มียาวิเศษกับศิลาวิญญาณเสริมพลัง ก็ไม่มีทางยืนหยัดได้จนถึงบัดนี้
ทว่าด้วยเหตุนี้ สีหน้าของหานลี่จึงดูแย่กว่าเมื่อครึ่งปีก่อนมากอย่างเห็นได้ชัด พลังปราณในร่างก็คล้ายกลายเป็นมีบ้างไม่มีบ้าง
จู่ๆ หานลี่ก็หน้าเปลี่ยนสี พลันลืมตาทั้งสองข้างขึ้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน เกิดเสียงฟ้าผ่าในที่ว่างซึ่งอยู่ห่างจากหานลี่ไม่กี่ลี้ ประกายไฟสีเงินนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้น บรรจบและประสานกัน ก่อตัวเป็นสายฟ้าสีเงินขนาดใหญ่เปล่งประกายวิบวับ
แล้วใจกลางสายฟ้าก็ส่งเสียงคำรามร้อง ร่างที่สูงใหญ่แข็งแรงร่างหนึ่ง ซวนเซวาบออกมา