คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1955 เปิดเผย
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1955 เปิดเผย
“สหายจะเปลี่ยนใจหรือไม่ เหตุใดต้องหลบหลีกบุปผาวิญญาณดอกหนึ่งเนิ่นนานหลายเดือน ต้องเข้าใจว่าดอกถานฮวาสวรรค์ดอกนี้ไม่มีประโยชน์อันใดกับเจ้า ขอแค่ส่งสิ่งนั้นมาข้าจะไว้ชีวิตเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร?” หญิงสาวสวมกระโปรงสีขาวยู่ปาก เอ่ยสิ่งที่ทำให้เหลยอวิ๋นจื่อหน้าเขียวคล้ำออกมา
“หึ ดอกถานฮวาสวรรค์เป็นของล้ำค่าเพียงไหน ต่อให้ยามนี้จะไม่มีประโยชน์ต่อข้า แต่ก็ต้องได้ใช้สักวัน อยากให้ผู้แซ่เหลยมอบให้ผู้อื่นอย่างเปล่าประโยชน์ ก็ยกโทษให้ข้าด้วย!” เหลยอวิ๋นจื่อแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ปฏิเสธอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
“ดูแล้วเจ้าคงมั่นใจในพลังอัสนีหลีกหนีของตนอยู่หลายส่วน” หญิงสาวไม่ได้โกรธเกรี้ยว กลับมีท่าทีราบเรียบ
“หึๆ หากนายท่านมีปัญญาจับข้าจริงๆ ผู้แซ่เหลยจะหนีมาได้สองสามเดือนเช่นนี้หรือ” เหลยอวิ๋นจื่อหัวเราะอย่างเย็นชา ดูเหมือนว่าจะโยนความหวาดกลัวที่มีต่อหญิงสาวผู้นี้ทิ้งไปแล้ว
“บังอาจ คาดไม่ถึงว่าจะกล้าพูดเช่นนี้กับใต้เท้าเป่าซู่!” ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำหน้าตาอัปลักษณ์พลันร้องตะโกนใส่เหลยอวิ๋นจื่อ ใบหน้ามีสีหน้าโหดเหี้ยม
“สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ! เจ้าเชื่อหรือไม่ หากสู้กันตามลำพัง สามเค่อข้าก็คร่าชีวิตเจ้าได้แล้ว!” เหลยอวิ๋นจื่อมีสีหน้าเคร่งขรึม น้ำเสียงเย็นชาและเยาะเย้ย
ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ได้ยิน ชั่วขณะก็โกรธจนควันออกหู ปากร้องคำรามต่ำๆ ออกมา กำปั้นทั้งสองโจมตีออกไป แต่ในยามนั้นเอง หญิงสาวสวมชุดคลุมสีขาวกลับโบกมือ แล้วร้องห้ามเขาเอาไว้
“เฮยเอ้อร์ หยุดนะ! เจ้าเพิ่งจะแปลงกายได้ไม่นาน ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสหายผู้นี้
“ใต้เท้าเป่าซู่ เขา…” แม้ว่าชายร่างใหญ่จะเชื่อฟังโดยลดกำปั้นลงมา แต่ก็ยังคงเผยท่าทีไม่ยินยอม
“อันใด เจ้ามีความเห็นกับคำพูดข้าหรือ?” หญิงสาวที่ถูกเรียกว่า ‘เป่าซู่’ เลิกคิ้วแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“มิกล้า เมื่อครู่ข้าน้อยเสียมารยาทไปหน่อย” เฮยเอ้อร์พลันตกตะลึง อธิบายด้วยความร้อนใจ
เป่าซู่กวาดสายตาไปบนใบหน้าของชายร่างใหญ่สองสามครา หลังจากหยุดชะงัก ถึงได้เอ่ยอย่างราบเรียบว่า “ครั้งนี้ยกโทษให้”
เฮยเอ้อร์รู้สึกผ่อนคลายลง ปากย่อมเอ่ยขอบคุณออกมาอย่างต่อเนื่อง
หานลี่มองทุกอย่างอยู่ด้านข้าง ภายใต้สีหน้าเคร่งขรึม ดวงตาทั้งสองข้างกลับมองไปยังชายร่างใหญ่สวมชุดสีดำด้วยแววตาที่เปล่งประกาย
ชายร่างใหญ่สวมชุดคลุมสีดำผู้นี้เขาเพิ่งเคยพบเป็นครั้งแรก แต่กลิ่นอายน่าสะอิดสะเอียนที่แผ่ออกมาของอีกฝ่าย คาดไม่ถึงว่าจะให้ความรู้สึกเหมือนเคยรู้จัก ดูเหมือนว่าเคยสัมผัสจากที่ใดสักแห่งจากที่ไกลๆ
เขาย่อมรู้สึกฉงนเล็กน้อย
ทว่ายามนี้ไม่ใช่เวลามาขบคิดเรื่องนี้ จะหนีออกมากับเหลยอวิ๋นจื่ออย่างไรถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญ
ส่วนเรื่องนี้เขาที่อยู่ในเขตอาคมอัสนี กลับไม่ได้กังวลใจมากนัก
จากอิทธิฤทธิ์ของเหลยอวิ๋นจื่อ ขอแค่เตรียมการก่อน อยากพาเขาส่งตัวไปก็เป็นเรื่องที่แค่ใช้ความคิดเท่านั้น แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานจริงๆ ก็น่าจะขัดขวางไว้ไม่ได้
มิเช่นนั้นเหลยอวิ๋นจื่อคงไม่มีความมั่นใจจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีพลังยุทธ์ลึกล้ำยากจะคาดเดาได้
ยามที่หานลี่กำลังขบคิดนั้น หญิงสาวที่อยู่บนบุปผายักษ์ฝั่งตรงข้ามกลับเอ่ยปากกับเหลยอวิ๋นจื่ออีกครั้ง
“เคล็ดวิชาเขตอาคมอัสนีเช่นนี้ เป็นสิ่งที่สหายเหลยสร้างขึ้นด้วยตนเองสินะ ช่างลึกลับนัก แต่มีเพียงผู้ที่มีร่างเบญจอัสนีอย่างเจ้าถึงจะกระตุ้นมันได้ ที่สหายปฏิเสธข้าเมื่อครู่ ก็เพราะจะอาศัยอิทธิฤทธิ์นี้สินะ”
“ใช่ แล้วอย่างไร!” เหลยอวิ๋นจื่อตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ในใจพลันรู้สึกประหลาดใจว่าอีกฝ่ายถามเช่นนี้มีจุดประสงค์ใด
“ความจริงแล้วเคล็ดวิชาเขตอาคมอัสนีส่งตัวของเจ้าใช้การผสานกันของพลังห้วงเวลาและพลังอัสนีถึงได้ส่งตัวไปสองสามหมื่นลี้ได้ แต่การนำพลังทั้งสองมาหลอมรวมกัน ไหนเลยจะเป็นเรื่องที่ง่ายดาย เจ้าเองก็กระจกเงาของเคล็ดวิชาลับชนิดหนึ่ง ถึงได้บังเอิญค้นคว้าได้” เป่าซู่เอ่ยอย่างราบเรียบ
เหลยอวิ๋นจื่อหน้าเปลี่ยนสี แต่นอกจากจะมองหญิงสาวด้วยความเย็นชาแล้ว ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดอีก
ส่วนหญิงสาวกระโปรงสีขาวก็หัวเราะน้อยๆ ออกมาแล้วเอ่ยขึ้น
“บังเอิญมาก ข้าฝึกฝนพลังอัสนีและพลังของห้วงเวลาพอดี และศึกษาพลังหลักเกณฑ์ของทั้งสองชนิดมา”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” เหลยอวิ๋นจื่อหน้าเปลี่ยนสี ในที่สุดก็ทนไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น
“สหายน่าจะสัมผัสได้ ระยะห่างที่ข้าไล่ตามเจ้าทันมันยิ่งสั้นขึ้นเรื่อยๆ ไม่แน่ว่า ไม่แน่ว่าอีกสองสามครั้ง ก็จะเรียนรู้พลังหลักเกณฑ์ของเขตอาคมอัสนีนี้ได้ แล้วอิทธิฤทธิ์นี้ก็ไร้ประโยชน์สำหรับข้า เจ้าเองก็จะถูกข้าลงผนึก นอกเสียจากว่าจะส่งตัวออกไปมากกว่าสิบล้านลี้ มิเช่นนั้นการถูกจับก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในอีกไม่ช้าก็เร็ว ที่ข้าพูดเมื่อครู่แค่ไม่อยากเสียเวลาเท่านั้น และนับว่าเป็นการให้โอกาสสหายครั้งสุดท้าย มิเช่นนั้นสมบัติในมือของข้า ก็ขาดจิตวิญญาณหลักของระดับผสานอินทรีย์อยู่สองสามดวงพอดี หากเจ้าปฏิเสธโอกาสในยามนี้ จากนี้หลังจากถูกข้าจับเป็น ย่อมต้องกลายเป็นหนึ่งในจิตวิญญาณหลักของสมบัติชิ้นนี้” หญิงสาวแววตาเปล่งประกาย พลางเอ่ยอย่างละเอียดด้วยเสียงแผ่วเบา
ส่วนเหลยอวิ๋นจื่อที่ได้ยินคำนี้ ใบหน้าก็อดที่จะซีดขาวไปอีกครั้งไม่ได้ สีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส
หญิงสาวกระโปรงสีขาวไม่ได้มีเจตนาเร่งเร้า กลับกลอกตาไปมา ในที่สุดก็ตกอยู่บนเรือนร่างของหานลี่
สายตาของหญิงสาวสดใสราวกับสายธาร แต่หานลี่กลับแค่รู้สึกเรือนกายเย็นเยียบ คาดไม่ถึงว่าจะมีความรู้สึกถูกอีกฝ่ายมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง
นั่นเป็นผลมาจากที่จิตสัมผัสของอีกฝ่ายแข็งแกร่งว่าตน
หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง โคจรคาถาเทพขับเคลื่อนและเคล็ดวิชาหลอมจิตพร้อมกันในร่างอย่างไม่ต้องขบคิด พลังจิตสัมผัสแผ่ออกไปตามจุดต่างๆ ทั่วเรือนร่าง
ความรู้สึกที่ถูกผู้อื่นมองอย่างทะลุปรุโปร่ง ถึงได้พอจะถูกกำจัดไปได้
แต่ชั่วครู่หานลี่ก็รู้สึกเพียงว่าแผ่นหลังเย็นเยียบ ในใจพลันรู้สึกตกตะลึง
เขามั่นใจว่าจิตสัมผัสน่าจะแข็งแกร่งไม่ต่างจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานมากนัก แต่คาดไม่ถึงว่าสายตาของหญิงสาวผู้นี้จะน่ากลัวนัก ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายเป็นสิ่งมีชีวิตระดับยอดสุดของระดับมหายานขั้นกลางหรอกนะ
ครู่ต่อมาเรื่องที่ทำให้หานลี่ตกตะลึงยิ่งกว่าเดิมก็ปรากฏขึ้น
หลังจากที่หญิงสาวกลอกตาไปมาบนเรือนร่างของเขา แววตาก็ฉายแววแปลกประหลาด และเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ที่มารสีทองสังหารลูกน้องของข้า และผู้ที่ชิงใบมีดสมประสงค์สวรรค์ทมิฬไปก็คือเจ้า สหายเอาสมบัติของข้าไปใช้ตั้งหลายปี ควรจะคืนให้ข้าได้แล้วกระมัง”
“ท่านอาวุโสหมายความว่าอย่างไร ข้าน้อยไม่ค่อยเข้าใจ ดูเหมือนว่าข้าจะเคยพบกับท่านอาวุโสเป็นครั้งแรก” หานลี่พลันรู้สึกตกตะลึง คาดเดาอันใดได้รางๆ แต่ใบหน้าก็ฝืนยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“ดูแล้วสหายคงไม่คิดจะมอบให้ ช่างเถิด ข้าจะเอามาเองก็แล้วกัน” หญิงสาวเอ่ยด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก มือหนึ่งกวักไปทางหานลี่
ชั่วขณะนั้นแขนเสื้อของหานลี่พลันมีเสียงอึกทึกดังขึ้น ลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งออกมา นั่นก็คือใบมีดชำรุดสวรรค์ทมิฬเล่มนั้น!
เดิมสมบัติชิ้นนี้นอนสงบนิ่งอยู่ในร่างของหานลี่ แต่หลังจากที่ถูกหญิงสาวเรียกอย่างส่งๆ คาดไม่ถึงว่าจะร้อนฉ่าและตัดการเชื่อมโยงกับจิตสัมผัสของหานลี่ พลางพุ่งไปหาหญิงสาวสวมกระโปรงสีขาว
หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี แทบจะขยับแขนตามจิตสำนึก ชั่วขณะนั้นฝ่ามือข้างหนึ่งก็กลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีเขียวตะปบออกไป
แต่ใบมีดสีทองแค่กะพริบวาบกลางอากาศ ก็กลายเป็นผลึกลำแสงสายหนึ่งสลายหายไป
มือใหญ่สีเขียวตะปบออกไปกลางอากาศ
ยามนี้หญิงสาวสวมกระโปรงสีขาวใช้สองนิ้วหนีบเอาไว้ หว่างนิ้วมีลำแสงสีทองสว่างวาบ มีดสั้นสีทองยาวสองสามชุ่นปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ ถูกคีบไว้ระหว่างนิ้วอย่างพอดิบพอดี
หานลี่หน้าเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้
ยามนี้เขาเองก็นึกถึงประวัติความเป็นมาของชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นได้!
อีกฝ่ายคือกลิ่นอายอสูรมารที่แข็งแกร่งที่เขาสัมผัสได้จากไกลๆ ในเทือกเขามารสีทองในตอนแรก แต่แค่ยามนั้นที่เผชิญหน้ากับเขาเป็นแค่จิตสัมผัสที่กวาดผ่านไปอย่างลวกๆ เท่านั้น จึงไม่ได้สนใจมากนัก ดังนั้นความทรงจำถึงได้รางเลือนมาก
เช่นนั้นที่หญิงสาวผู้นี้พูดก็ไม่ผิด ถึงอย่างไรเสียใบมีดชำรุดเล่มนี้ก็มาจากวานรมารระดับผสานอินทรีย์ตัวนั้นที่อยู่ในชีพจรภูเขา
และหญิงสาวผู้นี้ก็น่าจะเป็นบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารที่ซ่อนตัวอยู่ในเทือกเขามารสีทอง
แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกเจ็บปวดที่ต้องสูญเสียสมบัติไป แต่ความคิดก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว และพอจะเดาประวัติความเป็นมาของหญิงสาวและลูกน้องของนางได้เจ็ดแปดส่วน
เขาร้องว่าแย่แล้วในใจ ทำได้เพียงเพิ่มความระมัดระวังตัวมากขึ้นเท่านั้น
“เป็นใบมีดสมประสงค์ไม่ผิด สมบัติชิ้นนี้ติดตามข้ามานาน แม้แต่ข้าเองก็จำไม่ได้ว่านานเท่าไหร่แล้ว ต่อให้เจ้ากลบกลิ่นอายเอาไว้ จะปิดบังหูตาของข้าได้อย่างไร เฮยเอ้อร์ เจ้ายังไม่มีสมบัติประจำตัว ใบมีดสมประสงค์นี้ก็มอบให้เจ้าก็แล้วกัน” หญิงสาวลูบใบมีดชำรุดสองครั้งด้วยสีหน้าแปลกประหลาด คาดไม่ถึงว่าจะโยนสมบัติชิ้นนั้นให้ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์อย่างคาดไม่ถึง
“ขอบพระคุณใต้เท้าเป่าซู่ที่มอบรางวัลให้!” เฮยเอ้อร์พลันรับสมบัติชิ้นนั้นมาด้วยความตกตะลึง แล้วถึงได้เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น ชั่วขณะนั้นพลันคารวะขอบคุณหญิงสาวด้วยความตกตะลึงระคนดีใจยกใหญ่
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนั้นจะกลัดกลุ้มแค่ไหน แค่คิดก็รู้แล้ว แต่จากอิทธิฤทธิ์ของหญิงสาวผู้นี้ก็ทำได้เพียงถลึงตามองเท่านั้น
จากนี้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาไปหน่อย หญิงสาวไม่ได้เอ่ยซักถามอันใดหานลี่อีก กลับเลื่อนสายตาไปเอ่ยถามเหลยอวิ๋นจื่ออย่างราบเรียบอีกครั้ง
“เจ้าขบคิดเสร็จหรือยัง? ว่าจะทำเพื่อสมุนไพรวิญญาณที่ไร้ประโยชน์ต้นหนึ่งหรือไม่ เตรียมตัวกลับตัวไม่ได้ตลอดไปเดี๋ยวนี้!”
เหลยอวิ๋นจื่อได้ยินร่างกายพลันสั่นเทาเล็กน้อย สีหน้าเคร่งขรึมค่อยๆ หายไป และถอนหายใจออกมา
“ท่านอาวุโสพูดถูก แต่หากคำนี้พูดตั้งแต่ครึ่งวันก่อน ผู้แซ่เหลยคงจะคล้อยตาม แต่ยามนี้หรือ…”
สิ้นเสียงของเหลยอวิ๋นจื่อ ฉับพลันนั้นก็กระพือปีกที่แผ่นหลัง สองมือร่ายอาคมพร้อมกัน
เสียงอึกทึกดังขึ้น!
ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนดีดออกมาจากร่างของเขา ร่างกายของเขาพลิ้วไหว แล้ววลายหายไปจากที่เดิมพร้อมกับสายฟ้าที่ห่อหุ้มร่าง
ครู่ต่อมาด้านข้างของหานลี่ก็มีสายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบ เขตอาคมอัสนียักษ์ขนาดสองสามจั้งก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้น ด้านในมีเงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นรางๆ
นั่นก็คือเหลนอวิ๋นจื่อ
“ไป” เขาร้องตะโกนด้วยเสียงแผ่วเบา
ส่วนหานลี่นั้นชั่วพริบตาที่เขตอาคมอัสนีปรากฏตัวก็กระโจนเข้าไปอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด
ชายร่างใหญ่หน้าตาอัปลักษณ์ที่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ร้องตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ ขวานยักษ์สีดำเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือ และใช้สองมือกุมเอาไว้พลางสับลงมาที่เขตอาคมอัสนีอย่างแรง
เสียง “สวบ” ดังขึ้น!
ขวานลำแสงหนาๆ สายหนึ่งกลายเป็นลำแสงสีดำสายหนึ่งสับลงมา ทุกแห่งที่กวาดผ่านไป บรรยากาศพลันสั่นเทา ราวกับว่าจะถูกฉีกขาดก็ไม่ปาน!