คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1958 เป็นอิสระ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1958 เป็นอิสระ
เป่าฮวาเห็นสถานการณ์นี้กลับแค่ใช้มือหนึ่งร่ายอาคมประหลาดๆ อย่างราบเรียบ
หลังจากเสียงอึกทึกดังขึ้น ดอกไม้ยักษ์สีชมพูใต้ร่างของมนุษย์หินยักษ์ก็หมุนคว้างอย่างรวดเร็ว พ่นเสาลำแสงสีสันแวววาวสองสายออกมาอย่างต่อเนื่อง
เสาลำแสงทั้งสองสายเหนียวหนืดและโปร่งใส ราวกับเป็นของจริงก็ไม่ปาน และยิ่งไปกว่านั้นความเร็วยังราวกับศิลาเพลิงสายฟ้า แค่กะพริบวาบก็โจมตีไปตรงหน้าของมนุษย์ยักษ์
มนุษย์ยักษ์หินสองตัวพลันตกตะลึง แม้ว่าร่างกายจะขยับและคิดหนี แต่กลับสายไปแล้ว
เสาลำแสงสองสายแทบจะไม่สนใจลำแสงวิญญาณที่ห่อหุ้มร่างของทั้งสองคน เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในร่างอันใหญ่ยักษ์ของทั้งสอง
ทั้งสองแค่ร้องคำรามต่ำๆ ด้วยความตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว เรือนร่างเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบ ดอกไม้ผลิกลีบออกมาราวกับผลึกวารี แทบจะปกคลุมไปทั่วทุกระเบียบนิ้ว
คาดไม่ถึงว่ามนุษย์ยักษ์สองคนจะถูกน้ำแข็งแวววาวชั้นหนึ่งแช่แข็งเอาไว้ แต่ไม่อาจกระดิกกระเดี้ยตัวได้เลยสักนิด
มองมนุษย์หินยักษ์ร่างแวววาวสองตน เป่าฮวาแค่ยกมือขึ้นกวักเรียกโดยไม่ส่งเสียงอันใด
ชั่วขณะนั้นผิวของมนุษย์ยักษ์พลันเปล่งแสงสีขาวสว่างวาบขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว ชั่วครู่ก็กลายเป็นขนาดเท่ากำปั้น ถูกหญิงสาวผู้นี้เก็บเข้าไปในแขนเสื้อได้อย่างง่ายดาย
“ยินดีกับนายท่าน ที่สังหารศัตรูที่แข็งแกร่งได้!”
ยามนี้เฮยเอ้อร์ที่อยู่ด้านข้างถึงได้สติกลับคืนมา พลางรีบก้าวเข้ามาเอ่ยขึ้น
“พวกเขาสามคนเป็นแค่ร่างแยกของเซวี่ยกวงเท่านั้น จะนับว่าเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งอันใดได้ กลับเป็นร่างแยกของลิ่วจี๋ที่เป็นผู้ช่วยของเขา ถูกธนูอาทิตย์คล้อยของข้ายิงเข้า ภายในร้อยปีเศษก็อย่าคิดจะฟื้นฟูพลังปราณกลับมาเป็นเหมือนเดิม” เป่าฮวาเอ่ยอย่างราบเรียบ
“เช่นนั้นใต้เท้าต้องตามไปสังหารพวกนางหรือไม่ ยามนี้เป็นโอกาสงามๆ ที่หาได้ยาก!” เฮยเอ้อร์แนะนำอย่างระมัดระวัง
“ไม่ต้องหรอก ในเมื่อลิ่วจิ๋วยอมเสียปราณแท้เพื่อให้หนีออกจากอานุภาพของอาทิตย์ลวงตาของข้า จะต้องสำแดงอิทธิฤทธิ์อื่นหนีออกไปมากกว่าหมื่นลี้แล้ว ต่อให้ข้าไล่ตามไปเต็มอัตรา โอกาสที่จะไล่ตามทันก็มีไม่สูงนัก ยามนี้ดอกถานฮวาสวรรค์นั้นสำคัญกว่า มิเช่นนั้นหากปล่อยให้ดอกไม้หนีพ้นไปต่อหน้าต่อตา วันข้างหน้าคงต้องเสียแรงมากกว่านี้ ไปกันเถิด!” เป่าฮวาครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วตัดสินใจเอ่ยขึ้น
“ขอรับ บริวารจะฟังคำสั่งของใต้เท้า!” ชายร่างใหญ่ตอบรับอย่างนอบน้อม
จากนั้นดอกไม้ยักษ์ใต้ร่างของเป่าฮวาก็หมุนวนเล็กน้อย ปล่อยรัศมีลำแสงสีชมพูออกมาม้วนร่างของทั้งสองอีกครั้ง และเปล่งแสงสว่างวาบพลางหายวับไป
ยามนั้นที่เดิมที่ยังคงครึกครื้นพลันเงียบสงบ ไม่มีเงาร่างของผู้ใดอีก
……
ภายในหุบเขาลึกลับที่อยู่ห่างออกไปตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้ ลำแสงสีเงินใหญ่หนึ่งเล็กหนึ่งของเขตอาคมอัสนีเปล่งแสงสว่างวาบ ส่งเสียงเพรียกต่ำๆ แล้วปรากฏขึ้น
เขตอาคมอัสนีทั้งสองซ้อนกันอยู่ทั้งด้านในและนอก ส่วนใจกลางของเขตอาคม มีเงาร่างคนสองสายลอยอยู่
คนหนึ่งสวมชุดคลุมสีเขียวแผ่นหลังมีปีกแวววาวสายฟ้ากะพริบวาบๆ อีกคนหนึ่งเรือนกายมีอสรพิษเริงระบำอยู่ สองมือต่างกุมจานอาคมสีเงินเอาไว้
นั่นคือหานลี่และเหลยอวิ๋นจื่อ!
“สหายหาน เจ้าเตรียมตัวให้ดี! เขตอาคมอัสนีสองชั้นนี้ ผู้แซ่เหลยมั่นใจว่าได้ศึกษามาอย่างละเอียดแล้ว ตามหลักการแล้วน่าจะไม่มีปัญหา แต่ถึงอย่างไรเสียก็ไม่เคยดำเนินการตามจริง หากมีความผิดพลาดอันใด สหายก็ทำได้แค่ยอมรับว่าโชคร้ายเท่านั้น” จานหยกบนมือทั้งสองของเหลยอวิ๋นจื่อเปล่งแสงสีขาวเจิดจ้า ประจุไฟฟ้าบนเรือนร่างเริงระบำ กลับหัวเราะร่าแล้วเอ่ยกับหานลี่ ท่าทางตื่นเต้นดีใจมาก
“หึๆ หากเป็นเช่นนั้นจริง ผู้แซ่หานย่อมมั่นใจ ทว่าพี่เหลยกล้าส่งตัวมาพร้อมกับผู้แซ่หาน เกรงว่าอย่างน้อยก็คงมีความมั่นใจแปดเก้าส่วนสินะ ในเมื่อพี่เหลยมั่นใจว่าไม่เป็นไร ผู้แซ่หานจะหวาดกลัวอันใด และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครู่ข้าน้อยเองก็เพิ่งศึกษาเคล็ดวิชาลับเขตอาคมสองชั้นไปเล็กน้อย และรู้สึกว่าไม่มีปัญหาอันใด” หานลี่ที่อยู่ด้านข้างหัวเราะน้อยๆ ขณะเอ่ย
“หึ เด็กน้อยอย่างเจ้าพูดเหมือนวางใจผู้แซ่เหลยมาก แต่ความจริงแล้วก็มีบุคลิกไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว[1]เหมือนกับเมื่อสองสามร้อยปีก่อนไม่ผิดเพี้ยน เอาล่ะ เดาว่าเจ้าสองคนนั้นคงใกล้ไล่ตามมาทันแล้ว พวกเราไปกันเถิด” เหลยอวิ๋นจื่อกลอกตาขณะเอ่ยพึมพำ จานอาคมแสงเจิดจ้าทั้งสองในมือบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วแยกกันจมหายไปในเขตอาคมอัสนีทั้งสอง
จากนั้นสองมือของเขาก็ร่ายอาคมอย่างรวดเร็ว ปากพลันบริกรรมคาถา
เสียงฟ้าร้องดังสนั่นขึ้นสองครั้ง เขตอาคมอัสนีทั้งสองถูกกระตุ้น ประจุไฟฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนดีดออกมาจากเขตอาคม แล้วระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ยามนั้นสายฟ้าสีเงินปกคลุมไปทั่วทั้งเขตอาคมอัสนี
ท่ามกลางเสียงดังสนั่นเหลยอวิ๋นจื่อพลันร้องตะโกน ประจุไฟฟ้าหนาๆ ราวกับถังน้ำสองสามสายทะลักออกมาจากใจกลางเขตอาคมอัสนี และกลืนเขาและหานลี่เข้าไปพร้อมกัน
ทั้งสองหายวับไปจากเขตอาคมอัสนี
……
หลังจากผ่านไปหนึ่งเค่อระลอกคลื่นก็ปรากฏขึ้นใกล้ๆ ลำแสงสีชมพูเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมา พลิ้วไหวอีกครั้งแล้วกลายเป็นดอกไม้สีชมพูขนาดยักษ์
กลีบดอกบานออก ในดอกไม้มีเงาร่างเป่าฮวาและเฮยเอ้อร์ปรากฏขึ้น
แม้ว่าเขตอาคมอัสนีจะสลายหายไปนานแล้ว แต่สายตาของหญิงสาวเป่าฮวาผู้นี้ยังคงกวาดตามองกลางอากาศที่เป็นตำแหน่งของเขตอาคมอัสนีเดิมแล้วหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
“เหตุใดระลอกคลื่นถึงไม่เหมือนกับก่อนหน้า แม้แต่ข้าก็ไม่อาจหาตำแหน่งที่จะถูกส่งตัวไปได้!” หญิงสาวเอ่ยพึมพำ แววตาคู่งามฉายแววประหลาดใจเป็นครั้งแรก
“เป็นไปไม่ได้! ใต้เท้าเป่าฮวาไม่ได้เรียนรู้พลังหลักเกณฑ์ของเขตอาคมอัสนีมาครึ่งหนึ่งแล้วหรือ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้?” เฮยเอ้อร์พลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยความตื่นตกใจ
“ไม่ใช่แค่นี้ และยิ่งไปกว่านั้นข้าสัมผัสได้ว่าผนึกที่เชื่อมโยงไว้ก็ถูกตัดขาดออกไปแล้ว เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ไม่คนผู้นั้นตกใจจนขวัญกระเจิงไปแล้ว เขาก็น่าจะหนีออกไปมากกว่าสิบล้านลี้แล้ว” หญิงสาวสั่นศีรษะขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินหญิงสาวกล่าวเช่นนี้ เฮยเอ้อร์ย่อมอดที่จะตาเบิกโพลงไม่ได้ ยามนั้นกลับไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“ดูจากระลอกคลื่นที่หลงเหลืออยู่ กว่าครึ่งคงเป็นอย่างหลัง ดูแล้วข้าคงดูถูกเจ้าสองคนนั้นเกินไป มีวิธีส่งตัวระยะไกลจริงๆ ด้วย ช่างเถิด แม้ว่าดอกถานฮวาสวรรค์จะมีประโยชน์สำหรับข้า แต่ก็ไม่ถึงกับต้องสูญเสียปราณแท้เพื่อเสี่ยงทาย พวกเราไปที่เผ่ามนุษย์ก่อนเถิด! สมุนไพรที่รักษาอาการป่วยของข้าได้ น่าจะอยู่ที่นั่น มีเพียงไปถึงที่นั่น เข้าใกล้มันหน่อยค่อยทำนายอีกครั้ง ถึงจะมีข่าวคราวที่ละเอียดกว่านี้!” เป่าฮวาแววตาเปล่งประกายสองครา ไม่ได้เผยสีหน้าโกรธเกรี้ยวออกมา กลับเอ่ยอย่างราบเรียบ
เมื่อเห็นท่าทางราบเรียบของหญิงสาว เฮยเอ้อร์ก็ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ย่อมไม่กล้าออกความเห็นเลยสักนิด ทันใดนั้นก็พยักหน้าอย่างซื่อสัตย์
เป่าฮวาพยักหน้า แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ถึงความแปลกประหลาด คิ้วงามขมวดมุ่นเล็กน้อย มองไปยังจุดหนึ่งเป็นครึ่งแรก แววตาคู่งามหรี่ลงเล็กน้อย
แต่หลังจากที่หญิงสาวผู้นี้ครุ่นคิดอยู่นาน ก็ยังคงสั่นศีรษะ กำจัดความไม่สบายใจทิ้งไป และย่ำเท้าลงไปบนดอกไม้ยักษ์ใต้ฝ่าเท้าลัน
ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ดอกไม้ยักษ์รองทั้งสองเอาไว้แล้วพุ่งไปยังเผ่ามนุษย์
……
นอกรัศมีสิบล้านลี้ เหนือทะเลสาบยักษ์ที่ไร้ขอบเขต เสียงฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ ดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนดีดตัวพุ่งออกมาจากกลางอากาศ และกลายเป็นเขตอาคมอัสนียักษ์ในพริบตา หมุนคว้างและหดตัวกะพริบวาบๆ อยู่กลางอากาศ
หลังจากเสียง “ปัง” ดังขึ้นอีกครั้ง สายฟ้าในเขตอาคมอัสนีก็เจิดจ้าจนแสบตา หานลี่และเงาร่างเหลยอวิ๋นจื่อเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏออกมา
หลังจากที่ทั้งสองมองไป ใบหน้าก็เผยสีหน้ายินดีออกมา
“ไม่เลว เขตอาคมอัสนีสองชั้นส่งพวกเราออกมานอกรัศมีสิบล้านลี้ ความรู้สึกที่ถูกคนผู้นั้นจับตามองหายไปแล้ว ทว่าเพื่อความปลอดภัย พวกเราแยกกันตรงนี้เถิด” สีหน้ายินดีของเหลยอวิ๋นจื่อหายไป หันกายไปเอ่ยกับหานลี่อย่างไม่เกรงใจเลยสักนิด
“ผู้แซ่หานมีเจตนาเช่นนี้จริงๆ! น่าเสียดายเขตอาคมอัสนีคู่ต้องใช้สองคนควบคุม มิเช่นนั้นคงเป็นวิธีการรักษาชีวิตที่ยอดเยี่ยมมาก” หานลี่พยักหน้า แล้วเอ่ยอย่างเสียดายเล็กๆ
“หึๆ ในโลกนี้ไหนเลยจะมีเรื่องที่งดงามเช่นนั้น ครั้งนี้เจ้ากับข้าได้พบกัน แถมยังหนีออกมาจากศัตรูที่ร้ายกาจได้ ก็นับว่าโชคดีไม่น้อย นับว่าโชคดีเอาชีวิตมาได้ แต่โบราณกล่าวไว้รอดตายจากหายนะครั้งใหญ่จะต้องมีความสุขตามมา จากนี้ไม่แน่ว่าอาจจะมีเรื่องดีๆ รอเจ้ากับข้าอยู่ก็เป็นได้” เหลยอวิ๋นจื่อมีสีหน้าประหลาดใจฉายแวบผ่าน ปากก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะร่า
“เหตุใดต้องรอให้ถึงอนาคต สหายได้ดอกถานฮวาสวรรค์มาก็นับว่าเป็นโชคดีแล้ว” หานลี่มองเหลยอวิ๋นจื่อ ฉับพลันนั้นก็ฉีกยิ้มออกมา
“อันใด ศิษย์น้องหานสนใจดอกถานฮวาเช่นกันหรือ?” เหลยอวิ๋นจื่อกะพริบตาปริบๆ พลางตอบกลับพร้อมกับอมยิ้ม
“พี่เหลยพูดผิดแล้ว! แม้ว่าดอกถานฮวาจะดี แต่น่าเสียดายที่มันขัดแย้งกับเคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝน ข้าน้อยไม่สนใจ เอาล่ะ ผู้แซ่หานขอตัวก่อน หวังว่าวันข้างหน้าจะได้พบกับสหายอีก” หานลี่หาววอดแล้วปฏิเสธ สองมือประสานกันคารวะพลางกล่าวลา
“ผู้แซ่เหลยขออวยพรสหายล่วงหน้า เดินทางราบรื่นล่ะ” เหลยอวิ๋นจื่อรู้สึกผ่อนคลายลง ใบหน้าเผยรอยยิ้มออกมาพลางประสานมือคารวะหานลี่
หานลี่ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา หลังจากพยักหน้าเล็กน้อย ผิวก็เปล่งแสงสีเขียวออกมา กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป
ลำแสงหลีกหนีของเหลยอวิ๋นจื่อและหานลี่หายวับไปที่ขอบฟ้า กลายเป็นลำแสงสีเงินสายหนึ่งพุ่งไปคนละทิศทาง
……
หานลี่ไม่หยุดพักเลยสักนิดบินไปทางเผ่ามนุษย์สามวันสามคืน จนมาถึงเหนือภูเขาศิลาที่รกร้างแห่งหนึ่ง
เมื่อเขามั่นใจว่าไม่มีผู้ใดไล่ตามมาถึงได้หยุดลำแสงหลีกหนี และร่อนลงบนสันเขาศิลาระเกะระกะแห่งนั้น
ปากพลันบริกรรมคาถา มือหนึ่งร่ายอาคม หานลี่ถูกลำแสงสีเหลืองห่อหุ้มเอาไว้ จากนั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในภูเขาศิลา
หลังจากผ่านไปชั่วครู่หานลี่ก็มาปรากฏในถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงตีนเขาศิลาระเกะระกะ แขนเสื้อโบกสะบัด ธงอาคมยี่สิบสามสิบสายกลายเป็นลำแสงพุ่งออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป ทยอยกันจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาลำแสงสีขาวอ่อนก็ปรากฏขึ้นรอบๆ ถ้ำ ปกคลุมเขตตรงนั้นเอาไว้อย่างแน่นหนา
หานลี่ถึงได้พ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง นั่งลงบนศิลาสีเขียวตรงใจกลางถ้ำ
มือหนึ่งพลิกฝ่ามือ ขวดหยกน้อยใหญ่เจ็ดแปดขวดปรากฏขึ้นตามลำดับ และถูกโยนให้ลอยอยู่ตรงหน้า
หานลี่เทยาลูกกลอนสีสันหลากหลายสิบกว่าเม็ดออกมาจากขวดหยกเหล่านั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แล้วกลืนลงไปรวดเดียว จากนั้นพลันหลับตาทั้งสองข้างลง สองมือร่ายอาคมเข้าสู่ภวังค์สมาธิ
เขาในยามนี้ไม่เพียงฟื้นฟูพลังปราณที่เกือบแห้งเหือดไปในร่างมาได้นานแล้ว ยังหลอมประสิทธิภาพของสมุนไพรวิญญาณที่กลืนลงไปซึ่งหลงเหลืออยู่ไปแล้ว
หากทั้งสองประสานกันหากไม่ใช่เวลาสองสามเดือน ย่อมไม่ต้องคิดถึงเรื่องนี้
[1] ไม่เห็นกระต่ายไม่ปล่อยเหยี่ยว หมายถึง ลงมือเมื่อเห็นเป้าหมายชัดเจนเท่านั้น