คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1962 แอบเข้ามา
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1962 แอบเข้ามา
หลังจากผ่านไปครึ่งเค่อ จู่ๆ ในป่าลึกรอบๆ ป้อมปราการเผ่ามารก็มีเสียงกรีดร้องระเบิดออกมา จากนั้นลำแสงสีเขียวมรกตก็เปล่งแสงสว่างวาบ มนุษย์พฤกษายักษ์สูงยี่สิบสามสิบจั้งทะลักออกมาจากป่า และสาวเท้ายาวๆ ดุจเหาะเหินตรงเข้ามาที่ป้อมปราการ
ด้านหลังมนุษย์ยักษ์เหล่านั้นเผ่าพฤกษาสองสามพันคนก็เหยียบอยู่บนอาวุธเหาะเหินทะลักออกมาเช่นกัน
หอกไม้สีเขียวมรกตและคันธนูทยอยกันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของพวกเขา เมื่อยกขึ้นลำแสงสีเขียวมรกตจำนวนนับไม่ถ้วนพลันพุ่งกรูกันไปหาป้อมปราการ
ชั่วพริบตาที่หอกไม้หรือว่าลูกธนูออกจากมือ ก็ทยอยกันขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า
ชั่วขณะนั้นม่านลำแสงป้องกันของป้อมปราการเผ่ามารพลันระเบิดลำแสงเจิดจ้าจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา และส่งเสียงอึกทึกอย่างต่อเนื่อง
ยามนี้มนุษย์พฤกษายักษ์ร้อยกว่าตัวพลันพุ่งออกมาหน้าป้อมปราการ สองมือโบกสะบัดกลายเป็นค้อนเหล็กยักษ์เปล่งแสงสีขาวสว่างวาบโจมตีไปที่ม่านลำแสงอย่างบ้าคลั่ง
เสียง “ครืดๆ” ดังสนั่นขึ้น!
ม่านลำแสงของป้อมปราการสั่นเทาอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ทุกขั้นตอนเกิดขึ้นแค่สองสามชั่วอึดใจเท่านั้น เผ่ามารธรรมดาบนป้อมปราการถึงได้มีปฏิกิริยาตอบสนอง ชั่วขณะนั้นเสียงกรีดร้องแหลมสูงพลันดังประสานกันตามจุดต่างๆ ของหัวเมือง ลำแสงสีดำแผ่ออกมาจากหัวเมืองเช่นกัน ห่อหุ้มเผ่าพฤกษาที่อยู่ด้านล่างเอาไว้ราวกับห่าฝน
ยามนั้นการสู้รบที่ดุเดือดยิ่งพลันระเบิดขึ้นตรงหน้าป้อมปราการ
ลำแสงสีดำลำแสงสีเขียวมรกตเปล่งแสงสว่างวาบตัดสลับกันไปมา ตัดกันจนกลายเป็นตาข่ายลำแสงยักษ์เหนือป้อมปราการแล้วส่งเสียงกรีดร้องเปล่งแสงสว่างวาบไม่หยุด
มนุษย์พฤกษายักษ์เหล่านั้นดูเหมือนจะเงอะงะ แต่ทุกตนล้วนสวมชุดเกราะแข็งแกร่ง การโจมตีธรรมดาๆ ของเผ่ามารย่อมสร้างได้แค่ริ้วรอยเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจทำร้ายมันจริงๆ ได้
ชั่วครู่พวกมันก็นำทัพโจมตีไปที่ช่องโหว่ขนาดใหญ่บนกำแพงเมือง และบุกเข้าไปอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัว
มนุษย์พฤกษาเหล่านี้ดูเหมือนจะมีพลังมหาศาลโดยธรรมชาติ สองมือที่กลายเป็นค้อนยักษ์โบกสะบัด เผ่ามารทั้งหมดที่ต้านทานอยู่เบื้องหน้าล้วนถูกโจมตีจนเศษชิ้นเนื้อกระจัดกระจาย เผ่าพฤกษาคนอื่นๆ ก็บุกเข้าไปในฝูงเผ่ามาร
ทว่าการกระทำนี้ก็ไปกระตุ้นความโกรธเกรี้ยวของสิ่งมีชีวิตระดับสูงของเผ่ามาร เผ่ามารระดับสูงตนหนึ่งร้องตะโกน ชั่วขณะนั้นตามสิ่งปลูกสร้างขนาดยักษ์ในป้อมปราการต่างๆ ก็มีเสียงร้องคำรามทุ้มต่ำดังขึ้น อสูรมารแรดความยาวยี่สิบสามสิบจั้งสิบกว่าตัวพุ่งออกมา
ดวงตาของอสูรมารระดับสูงเหล่านี้เต็มไปด้วยสีโลหิตอ้าปากออกพ่นเสาลำแสงสีขาวออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วโจมตีไปที่ร่างของมนุษย์พฤกษายักษ์เหล่านั้น
ชั่วขณะนั้นมนุษย์พฤกษาสิบกว่าตนพลันทยอยกันซวนเซ จนเกือบจะล้มลงกับพื้น!
จุดที่พวกมันถูกเสาลำแสงโจมตีพลันเกิดรอยไหม้เกรียมขนาดใหญ่ขึ้น
ครู่ต่อมามนุษย์พฤกษายักษ์คนอื่นๆ กลับใช้กำปั้นทั้งสองโจมตีไปที่อสูรยักษ์เหล่านั้น
อสูรมารระดับสูงเหล่านี้ก็ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา มันก้มหน้าร้องคำรามกลายเป็นพายุกระโจนออกไป ชั่วพริบตาก็เข้าสู้กับมนุษย์พฤกษายักษ์ร้อยกว่าตัว
ท่ามกลางเสียงร้องคำรามที่แสบแก้วหู ยามนั้นล้วนแยกแยะทั้งสองฝั่งออกจากกันได้ยาก
ในเวลาเดียวกันห่างจากพื้นดินขึ้นไปสองสามพันจั้ง ชายชราเผ่าพฤกษา บุรุษสตรีวัยกลางคนและเผ่ามารสวมชุดเกราะสีแดงสดสี่คนกำลังยืนเผชิญหน้ากัน
“หึ ข้าว่าแล้วที่พวกเจ้าบังอาจเหิมเกริมได้เพียงนี้ ที่แท้ก็เพราะเชิญทัพเสริมมา แต่ก็ดี สังหารเจ้านี้ซะ คิดดูแล้วรอบๆ นี้คงไม่มีเผ่าพฤกษาระดับสูงใดๆ อีก” เผ่ามารระดับสูงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยขนแข็งๆ สีดำ ราวกับหมีหมายักษ์ตัวหนึ่งกวาดสายตามาที่ชายร่าง ไม่เพียงจะไม่ตกตะลึงหรือหวาดกลัว กลับเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมาขณะเอ่ย
เมื่อได้ยินมารตนนี้กล่าวเช่นนี้ บุรุษและสตรีเผ่าพฤกษาพลันหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่ชายชรากลับมีสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลงแล้วพลันเอ่ยอย่างราบเรียบ
“จากระดับเทพแปลงสองสามตนอย่างพวกเจ้า! จะเหิมเกริมไปหน่อยกระมัง ให้ตาเฒ่าทดสอบอิทธิฤทธิ์ของพวกเจ้าก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“พวกเขาสี่คนไม่ได้ เช่นนั้นข้าล่ะเป็นอย่างไร?”
เสียง “ตูมๆๆ” ดังสนั่นขึ้น ท้องฟ้ามีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น เงาร่างสีดำเปล่งแสงสว่างวาบขึ้นตรงใจกลางเผ่ามารระดับสูงสี่ตน แล้วมองฝั่งตรงข้ามด้วยความเย็นชา
คาดไม่ถึงว่าจะเป็นบุรุษใบหน้าเย็นชาสวมชุดคลุมสีดำศีรษะมีเขาคู่หนึ่ง ดวงตาสามเหลี่ยมเล็กๆ คู่หนึ่งเผยสีหน้าดูแคลนออกมา
ชายชราเผ่าพฤกษาที่อยู่ตรงข้ามกวาดจิตสัมผัสมาชั่วขณะนั้นจิตใจพลันหนักอึ้ง
เผ่ามารระดับสูงที่ปรากฏตัวขึ้นใหม่นั้น คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตระดับหลอมสุญตาขั้นปลาย เหนือกว่าเขาที่อยู่ในระดับหลอมสุญตาขั้นต้นและยังสูงกว่าสองขั้น แปดเก้าส่วนเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่าย
แม้ว่าบุรุษและสตรีเผ่าพฤกษาคู่นั้นจะมองพลังยุทธ์ของบุรุษเผ่ามารไม่ออก แต่ก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายที่แผ่ออกมา มันแข็งแกร่งกว่าชายชราสองสามส่วน ใบหน้าจึงเปลี่ยนสีเป็นดูไม่ได้
“ใต้เท้าผู้ตรวจตรา โชคดีที่ท่านมาพอดี มิเช่นนั้นก็คงเกิดปัญหาใหญ่ เผ่าพฤกษาเหล่านี้เป็นผู้นำการต่อต้านในละแวกนี้ ต้องรบกวนใต้เท้าลงมือช่วยเหลือแล้ว” เผ่ามารที่รูปร่างเหมือนสุนัข ค้อมตัวให้บุรุษสวมชุดคลุมสีดำอย่างนอบน้อมขณะเอ่ย
“หึๆ แค่สามคนนี้หรือ พลังยุทธ์แค่นี้ข้าใช้มือเดียวก็สังหารพวกเขาได้ทั้งหมดแล้ว วางใจ ในเมื่อข้ามาพบ ย่อมไม่อาจปล่อยให้พวกเขาหนีไปได้อีก” บุรุษเขาคู่หัวเราะร่า ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าดูแคลน
“สหายทั้งสอง สถานการณ์ไม่ดีแล้ว! อีกเดี๋ยวข้าจะพยายามรั้งมารเฒ่าผู้นี้ไว้ พวกเจ้าก็นำทัพให้ล่าถอยไป หนีไปได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น!” ชายชราเผ่าพฤกษาสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปเฮือกหนึ่ง ฝืนกดความตกตะลึงเอาไว้ มุมปากถ่ายทอดเสียงไปหาบุรุษและสตรีคู่นั้นอย่างรวดเร็ว
“จู๋เหล่า เจ้าอย่าสู้กับมารเฒ่าผู้นั้นเลย อีกเดี๋ยวหากมีโอกาส ก็ถอนตัวเถิด” บุรุษและสตรีเผ่าพฤกษาคู่นั้นได้ยินพลันใจหายวาบ บุรุษรีบร้อนถ่ายทอดเสียงกลับมา
ชายชราพยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้เอ่ยอันใด กลับสะบัดแขนเสื้อ ดวงแสงพฤกษาสีเขียวสิบกว่าลูกบินออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วกลายเป็นดวงลำแสงสีเขียวพุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม ห่อหุ้มเผ่ามารทั้งห้าเอาไว้
“รนหาที่ตาย!”
เผ่ามารสวมชุดคลุมสีดำมีสีหน้าเย็นชา ร้องตะโกนออกมา สองเขาเปล่งแสงสีแดงสว่างวาบ พ่นเส้นไหมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา ทุกเส้นล้วนโจมตีไปที่ลำแสงสีเขียวทั้งหมดอย่างแม่นยำ เปล่งแสงสว่างวาบทยอยกันทะลวงผ่านไป
แต่ไม่รอให้ใบหน้ามารเผยรอยยิ้มออกมา เสียงปริแตกพลันดังขึ้น!
ดวงลำแสงสีเขียวทั้งหมดเปล่งแสงสว่างวาบแล้วระเบิดออกพร้อมกัน ลำแสงเจิดจ้าจนแสบตาเป็นอย่างยิ่งแผ่ออกมา
ยามนั้นเผ่ามารสวมชุดคลุมสีดำและมารทั้งห้าพลันเจ็บปวดดวงตา ล้วนทยอยกันหลับตาตามจิตสำนึก
บุรุษและสตรีเผ่าพฤกษาถือโอกาสนี้พลิ้วกายจนรางเลือนไปแล้วกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสองสายพุ่งไปด้านหลัง ในเวลาเดียวกันเสียงร้องยาวๆ ที่แข็งแกร่งและอ่อนโยนไม่เหมือนกันก็ดังออกมาจากปากของทั้งสองคน
มารทั้งห้าไร้สติไปแค่ชั่วครู่เท่านั้น พริบตานั้นก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ เห็นเช่นนั้นย่อมโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างยิ่ง
“ข้าต้องสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น กระชากวิญญาณของเจ้าออกมา พวกเจ้าสี่คนไล่ตามเจ้าสองคนนั้นไป เจ้านี้มอบให้ข้าจัดการเอง” บุรุษสวมชุดคลุมสีดำร้องคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว สองมือถูกันไปมา ไอมารสีดำสนิททะลักออกมาจากเรือนร่าง หมุนโคจรรอบกายเล็กน้อย แล้วกลายเป็นเทวรูปมารสองหัวตนหนึ่ง
แต่แค่เทวรูปมารตนนี้มีเรือนร่างที่ไม่ชัดเจน มองเห็นได้แค่คร่าวๆ เท่านั้น แต่หลังจากเสียงร้องประหลาดๆ ดังขึ้น เทวรูปมารก็กระโจนไปยังชายชราฝั่งตรงข้ามอย่างดุดัน
ชายชราเผ่าพฤกษากลับมีสีหน้านิ่งสงบ อ้าปากออกพ่นกระบี่ลำแสงสีเหลืองราวกับไม้ไผ่สีเหลืองออกมา กลายเป็นม่านกระบี่สายหนึ่งคุ้มกันร่างเอาไว้อย่างแน่นหนา ท่าทางไม่แสดงหาผลสำเร็จแต่หวังเพียงไม่มีความผิดก็ดีแล้ว
แม้ว่าเทวรูปมารจะโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อสัมผัสกับกระบี่ลำแสงก็เป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่กลับไม่อาจโจมตีทะลวงผ่านกระบี่ลำแสงเพื่อไปสังหารชายชราได้
เผ่ามารระดับเทพแปลงอีกสี่ตนเห็นสถานการณ์เช่นนั้น หลังจากมองสบตากันแวบหนึ่งด้วยความลังเลก็กลายเป็นพายุสีดำพุ่งไล่ตามสายรุ้งสีเขียวสองสายไป
ในเวลาเดียวกันการโจมตีต่อจากนี้พลันมีแค่เผ่าพฤกษาที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง แล้วเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา แต่จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด กลับพุ่งไปด้านหลัง
แต่ครั้งนี้เผ่ามารกลับไม่ยอมปล่อยเผ่าพฤกษาเหล่านั้นไป ทยอยกันส่งเสียงร้องประหลาดๆ ออกมาแล้วทะลักออกมาจากป้อมปราการ กลับไล่ตามเผ่าพฤกษาเหล่านั้นไปจนเป็นกลุ่มก้อนสีดำๆ
มนุษย์พฤกษายักษ์ร้อยกว่าคนนั้นกลับถูกแรดมารขนาดยักษ์ล้อมเอาไว้ จนไม่อาจปลีกตัวได้เลยสักนิด
ด้านนอกและด้านในป้อมปราการเผ่ามารพลันเกิดความวุ่นวายขึ้น
ผู้ใดก็ไม่ทันสังเกตว่ายามที่ทุกอย่างกำลังวุ่นวาย เงาสีเขียวอ่อนเปล่งแสงสว่างวาบแล้วปรากฏขึ้นบน ‘ทางเชื่อม’ ที่สูงขึ้นไปเป็นหมื่นจั้ง ลำแสงหม่นลงแล้วเผยร่างเดิมออกมา
นั่นก็คือหานลี่ที่สำแดงเคล็ดวิชาอำพรางกาย
ทางเชื่อมนั้นถูกไอมารสีดำสนิทปกคลุมอยู่ และมีเผ่ามารถือขวานร้อยกว่าคนโดยสารอยู่บนรถศึกสิบกว่าลำคอยตรวจตราอยู่ที่ขอบของไอมาร
เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีฝีมือมากกว่าเผ่ามารในป้อมปราการด้านล่าง และตั้งแต่ที่ด้านล่างเกิดสงครามขึ้น ก็ยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง พลางรักษาการณ์อยู่ตรงนั้น
ยามนี้เผ่ามารเหล่านั้นเห็นตรงหน้ามีคนนอกปรากฏตัวย่อมตกตะลึงยกใหญ่
แต่ไม่รอให้พวกเขามีปฏิกิริยาตอบสนองอันใด หานลี่กลับสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง กระบี่สีเขียวยี่สิบสามสิบเล่มพลันบินออกมา และรางเลือนกลายเป็นเส้นไหมสีเขียวสองสามร้อยสายแหวกผ่านอากาศหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมาเผ่ามารเหล่านี้รวมทั้งรถศึกพลันถูกกระบี่เส้นไหมสีเขียวสับออกเป็นชิ้นๆ
ยามนี้หานลี่พลันอ้าปากออกอีกครั้ง พ่นเปลวเพลิงสีเงินออกมา และระเบิดออกตามกลไก กลายเป็นดวงลำแสงสีเงินจำนวนนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายไปทั่วท้องฟ้า
เศษซากของเผ่ามารและรถเหาะเหล่านั้นถูกเปลวเพลิงสีเงินอาบย้อม ชั่วขณะนั้นพลันเกิดเสียง “กึกๆ” แล้วสลายหายไปจากกลางอากาศ
หานลี่ถึงได้ใช้มือหนึ่งร่ายอาคม หมอกสีเทาห้าสีทะลักออกมา ร่างกายพลิ้วไหวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งเข้าไปในไอมาร
จะว่าไปแล้วก็แปลก เมื่อไอมารที่ดูเหมือนเขตต้องห้ามนั้นสัมผัสกับหมอกลำแสงสีเทาตรงผิวของหานลี่ คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันเปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไป
ชั่วพริบตาหานลี่ก็ทะลวงผ่านไอมาร ตรงหน้ามี ‘ทางเชื่อม’ ของไอมารขนาดสองสามหมู่ปรากฏขึ้น
ทางเชื่อมนี้เป็นสีดำสนิท และบางครั้งก็มีไอมารทะลักออกมา
หานลี่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หน้าเปลี่ยนสี ยามแรกเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา แต่หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยกลับกักฝันใช้มือหนึ่งตบไปที่เรือนร่าง
ผิวมีไอสีดำหมุนวน เกราะมารรูปร่างโบราณปรากฏขึ้น
ภายใต้การร่ายอาคมกระตุ้นของเขา อักขระยันต์สีดำจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา ห่อหุ้มร่างของเขาเอาไว้ข้างใน
หานลี่พลันหมุนตัวอยู่บนพื้น เปล่งแสงงดงามออกมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นหงส์สวรรค์ยักษ์ห้าสีตัวหนึ่ง
หงส์สวรรค์นี้แผ่กลิ่นอายน่าเกรงขามออกมา ปีกคู่นั้นเปล่งแสงสว่างวาบ ใกล้เคียงกันมีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ชั่วขณะนั้นพายุสีดำที่พัดเข้ามาก็ทยอยกันสลายหายไป
ร่างกายของหงส์สวรรค์ยักษ์ขยับ แต่กลับโถมตัวเข้าไปในรูสีดำขนาดยักษ์