คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1970 ลงมือ
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1970 ลงมือ
หานลี่หันหน้าไปมองเด็กหญิงบนหัวไหล่แวบหนึ่ง มุมปากเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมา
เด็กหญิงผู้นี้ไม่ใช่คนอื่น ก็คืออสูรมิคาทนที่เพิ่งตื่นจากหลับใหลนั่นเอง
ยามที่เขารีบกลับมายังแดนมนุษย์ในที่สุดอสูรตัวนี้ก็ตื่นขึ้นจากภวังค์การหลับใหล และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อตื่นขึ้นก็ทำให้เขาตกตะลึงอย่างคาดไม่ถึง
คาดไม่ถึงว่าในเวลาเดียวกันที่อสูรมิคาทนตัวนี้ตื่นขึ้น จะเริ่มผ่านเคราะห์ระดับผสานอินทรีย์
อสูรตัวนี้มีสายเลือดของกิเลนเที่ยงแท้ เคราะห์สวรรค์ที่ฟาดลงมาย่อมน่าตกตะลึง และร้ายกาจยิ่ง
ส่วนเคราะห์สวรรค์นั้นไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะยื่นมือเข้ายุ่งได้ง่ายๆ ถึงหานลี่จะอยู่ข้างๆ ก็ตาม ก็ทำได้เพียงมองอสูรตัวนี้เกือบจะแหลกละเอียดเป็นผุยผงท่ามกลางเคราะห์สวรรค์
โชคดีที่มันกลืนแก่นปีศาจราชาอสูรลับลงไป จึงเรียนรู้อิทธิฤทธิ์ใหม่สองสามชนิด ถึงได้พอฝืนผ่านเคราะห์สวรรค์ได้ จนกลายร่างเป็นมนุษย์
อสูรมิคาทนในยามนี้ย่อมมีบาดแผลเต็มตัว
หากไม่ใช่เพราะหานลี่ใช้ยาลูกกลอนจำนวนนับไม่ถ้วนช่วยชีวิตอย่างไม่เสียดาย เกรงว่าก็ยังคงรักษาชีวิตน้อยๆ เอาไว้ไม่ได้
แต่สิ่งที่ทำให้หานลี่หมดคำพูดก็คือ หลังจากที่อสูรมิคาทนฟาดเคราะห์สวรรค์แล้วกลายร่างเป็นมนุษย์ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเด็กหญิงที่ดูอายุน้อยกว่า ‘ฉวี่เอ๋อร์’
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา เกรงว่าอายุเท่านี้คงไม่อาจแม้กระทั่งพูดได้
โชคดีที่อสูรที่กลายเป็นเด็กทารกหญิงผู้นี้แม้ว่าจะดูเหมือนอ่อนเยาว์มาก แต่ย่อมไม่ได้พูดแต่คำว่า “อ๊าๆ” อย่างเดียว สามารถใช้จิตสัมผัสเชื่อมโยงกับมันโดยตรงได้
เพราะอสูรน้อยฟาดเคราะห์สวรรค์โดยไม่ทันตั้งตัว ระหว่างทางที่หานลี่กลับมาเมืองเทวะสวรรค์ ย่อมถูกทำให้ล่าช้าไป
ใช้เวลาไปสองสามเดือนเต็ม เขาถึงได้พาอสูรมิคาทนที่ได้รับบาดเจ็บหนักจากเคราะห์สวรรค์กลับมาที่เผ่ามนุษย์ และตรงไปยังเมืองเทวะสวรรค์
ยามนี้สถานที่ที่เขาต้องการจะไปก็คือเขตอาคมส่งตัวลับที่สงวนเอาไว้ให้อาวุโสในเมืองโดยเฉพาะซึ่งมีอยู่ไม่มากในเมืองเทวะสวรรค์
เพราะว่าเขตอาคมส่งตัวนี้เป็นเขตอาคมส่งตัวขนาดเล็ก ครั้งหนึ่งส่งตัวได้มากสุดคนสองคน ดังนั้นเมืองเทวะสวรรค์จึงไม่กลัวว่าเผ่ามารจะพบที่นี่ แล้วใช้กลไกนี้รุกรานเข้ามาในเมือง
ถึงอย่างไรเสียต่อให้เป็นจอมมารระดับผสานอินทรีย์ ครั้งหนึ่งส่งตัวได้แค่คนสองคนมาพบกับเขตอาคมใหญ่และทหารรักษาการณ์อีกฝั่งหนึ่ง ก็มีแต่ต้องถูกล้อมและต้องเพลี่ยงพล้ำ
สิ่งเดียวที่หานลี่ต้องระวังก็คือเขตอาคมส่งตัวนี้กลายเป็นที่ดักซุ่มของเผ่ามาร ใช้เขตอาคมนี้ดึงดูดมนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรเข้ามาติดแหราวกับแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ
แน่นอนว่าแม้ว่าจะมีการซุ่มโจมตี จากพลังยุทธ์ของเขาที่พัฒนาขึ้นขั้นหนึ่ง ก็ไม่จำเป็นต้องเห็นมันอยู่ในสายตา
ยามนี้นอกจากร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายทั่วๆ ไป เขาก็มั่นใจว่าจะเอาชนะได้
เรื่องที่ถูกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารไล่สังหารแล้วหนีมาได้อย่างสองครั้งก่อน น่าจะเป็นเรื่องเล็กจนแทบมองข้ามไปได้
ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นลงมาจุติแดนนี้ก็เพื่อนำกองทัพเผ่ามาร ไหนเลยจะมาคุ้มกันคอยซุ่มโจมตีผู้ใดอยู่ที่ใดที่หนึ่ง
แม้กระทั่งแม้แต่โอกาสที่จอมมารเหล่านั้นจะปรากฏตัวก็มีไม่สูงนัก
ในช่วงเวลาสำคัญที่กองทัพเผ่ามารจะโจมตีเมืองเทวะสวรรค์ ชนชั้นสูงของเผ่ามารคงไม่เอากำลังระดับสุดยอดมาสิ้นเปลืองอยู่กับเรื่องเล็กๆ แค่นี้
หานลี่ขบคิดไปพลาง กระตุ้นลำแสงหลีกหนีไปพลาง
สายรุ้งเปล่งแสงสว่างวาบ ไม่นานก็เข้ามาใกล้ยอดเขา
ยามที่หานลี่จะกระตุ้นแล้วจมหายเข้าไปข้างใน ฉับพลันนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีแล้วส่งเสียงร้องว่า “เอ๋” ออกมาเบาๆ ลำแสงสีเขียวบนผิวหม่นแสงลง คาดไม่ถึงว่าจะมาปรากฏตัวตรงขอบ และหรี่ตาทั้งสองข้างลงพลางมองไปยังส่วนลึกของยอดเขา
รูม่านตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ หลังจากที่ดวงตาทั้งสองข้างรางเลือน ทุกอย่างในรัศมีพันลี้ก็ถูกดึงมาอยู่ตรงหน้า
ผลคือเห็นเพียงลำแสงหลีกหนีหลากสีสันยี่สิบสามสิบสายปรากฏขึ้นที่ขอบฟ้า และกำลังพุ่งมาทางเขาอย่างร้อนรน
และด้านหลังลำแสงหลีกหนีเหล่านี้ ก็มีเมฆมารสีดำทะมึนไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ
กลางไอมารสีดำพลันมองเห็นอสูรมารหน้าตาโหดเหี้ยมและผู้พิทักษ์ชุดเกราะเผ่ามารโบกสะบัดอาวุโสอยู่ได้รางๆ
ด้านหลังลำแสงหลีกหนียี่สิบสามสิบสาย ชายชราเคราขาวคนหนึ่งกำลังกระตุ้นกระบี่บินสีเขียวและเหลืองสับไปทางเมฆมารอย่างไม่ยอมหยุดพัก
ทุกครั้งที่กระบี่ลำแสงสับลงมา ก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์ความยาวยี่สิบสามสิบจั้ง ทุกครั้งที่สับลงไปบนเมฆมารย่อมทำให้หยุดชะงัก
คาดไม่ถึงว่าอานุภาพของกระบี่บินสองเล่มจะเหนือกว่าชายชราที่มีพลังยุทธ์ระดับหลอมสุญตาจะควบคุมได้
ทว่าทุกครั้งที่ชายชราเคราขาวสับกระบี่ลงไป สีหน้าก็จะขาวซีดขึ้นส่วนหนึ่ง ยามที่สีหน้าของเขาไร้ซึ่งสีโลหิต คาดไม่ถึงว่าจะอ้าปากพ่นโลหิตสดๆ ใส่กระบี่บินสองเล่ม
กระบี่บินสองสายที่กลายเป็นกระบี่ลำแสงเปล่งแสงเจิดจ้ากว่าก่อนหน้าหลายส่วน ทุกแห่งที่กระบี่ลำแสงกวาดผ่านไปแม้แต่อสูรมารและนักรบชุดเกราะส่วนหนึ่งก็ถูกสังหารไปอย่างไม่ทันได้หลบหลีก
หลังจากที่กวาดผ่านไปอย่างต่อเนื่องสองสามครั้ง คาดไม่ถึงว่านักรบชุดเกราะเผ่ามารสองสามร้อยตนจะกลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่การกระทำเช่นนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นการกระตุ้นเผ่ามารระดับสูงที่อยู่ในส่วนลึกของเมฆามารให้โกรธเกรี้ยว
ภายใต้เสียงร้องคำรามฉับพลันนั้นในเมฆมารก็มีสามง่ามบินสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกบินออกมา พลิ้วไหวแล้วขยายใหญ่จนมีความสูงร้อยจั้งเศษ หลังจากส่งเสียงร้องอึกทึก ก็เปล่งแสงสว่างวาบสับลงมาที่กระบี่ลำแสงหนาๆ
เสียงสะเทือนเลื่อนลั่นพลันดังขึ้น!
กระบี่ลำแสงสีดำตัดสลับกันเป็นกลุ่ม แล้วระเบิดออกราวกับฟ้าผ่า
กระบี่ลำแสงหนาๆ สลายตัวออกกลายเป็นกระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งไปด้านหลัง ลำแสงเปลี่ยนเป็นสีมัวหม่นยิ่ง
สามง่ามบินเล่มนั้นส่งเสียงร้องคร่ำครวญออกมา แล้วพุ่งกลับไปยังเมฆมาร ดูเหมือนว่าจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
“คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะทำลายสมบัติของข้าอีกเดี๋ยวจับเจ้าได้ จะต้องกระชากวิญญาณของเจ้าออกมา!” เผ่ามารระดับสูงในเมฆมารเห็นรูปร่างของสามง่าม ชั่วขณะนั้นก็ร้องคำรามราวกับฟ้าคำรามไม่หยุด
จากนั้นเมฆมารก็หมุนวน ยืดสูงขึ้นหลายเท่าแล้วม้วนวนไปทางชายชรา
ชายชราเคราขาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสี ไม่สนใจความรู้สึกเสียดายที่สูญเสียกระบี่บินไป หลังจากเก็บกระบี่บินสองเล่มไปแล้ว ตัวกระบี่ก็รวมตัวกันกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวและเหลืองสองสีสายหนึ่ง พุ่งไปด้านหลัง
และยามนี้เป็นเพราะมีชายชราขัดขวางเอาไว้เต็มแรง ศิษย์เหล่านั้นจึงหนีออกไปไกลร้อยลี้เศษแล้ว
เผ่ามารในเมฆมารด้านหลังย่อมไม่อาจลดละได้ ทันในนั้นพายุมารพลันก่อตัวขึ้น ไล่ตามไปอีกครั้งด้วยท่าทีทะมึนทึบ
ชายชราเคราสีขาวกระตุ้นลำแสงหลีกหนีไปพลาง ควักยาลูกกลอนออกมาจากอกเสื้อสองสามเม็ดไปพลาง และขัดใส่ปากโดยไม่แม้แต่จะมองให้ละเอียด หลังจากกวาดสายตาไปยังเมฆมารด้านหลังที่ไล่ตามมาอย่างไม่ลดละแล้ว ก็อดที่จะร้องอย่างขมขื่นในใจไม่ได้
ก่อนหน้านี้ที่เขาพาศิษย์สองคนเข้ามาตามหาเขตอาคมส่งตัวในหุบเขา แม้ว่าจะระมัดระวังมาก แต่ก็ยังถูกเผ่ามารซุ่มโจมตี ถูกเผ่ามารระดับเดียวกันเจ็ดแปดตนล้อมโจมตี
หากไม่ใช่เพราะศิษย์ทั้งสองระเบิดทารกวิญญาณ ทำให้เผ่ามารระดับสูงสองสามตนได้รับบาดเจ็บหนัก เกรงว่าแม้แต่เขาก็ต้องเพลี่ยงพล้ำทันที
แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้เขาก็ถูกเผ่ามารที่เหลือไล่ตามจนเอาชีวิตรอดได้ยาก ยามนี้สถานการณ์ยิ่งอันตรายขึ้นกว่าเดิม
อย่ามองว่าเมื่อครู่เขามีท่าทีสง่างาม ดูเหมือนจะต้านทานการไล่ล่าของเผ่ามารได้ง่ายๆ แต่ความจริงแล้วที่กระตุ้นสมบัติวิเศษของพรรคอย่าง ‘กระบี่คู่สวรรค์’ เมื่อครู่ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังปราณไปเก้าในสิบส่วนแล้ว
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ว่าเพราะเหตุใดเมื่อครู่เขาถึงได้ไม่ขัดขวางเมฆมารต่อ
แม้ว่ายามนี้จะดูเหมือนว่าคนกว่าครึ่งของพรรคหนีออกมาได้ แต่จากพลังยุทธ์ของศิษย์ในพรรค คงถูกมารไล่ตามทันในไม่ช้าก็เร็ว
และยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นดินแดนที่เผ่ามารยึดครอง คิดจะหนีนอกเสียจากจะเกิดปาฏิหาริย์ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เกือบจะเพ้อฝัน
ชายชราเคราขาวยิ่งขบคิดก็ยิ่งรู้สึกจิตใจหนักอึ้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าเรื่องนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ก็ทำได้เพียงฝืนทำใจดีสู้เสือเท่านั้น
ชั่วพริบตานั้นการหลีกหนีและการไล่ล่าของทั้งสองกลุ่มก็กินระยะทางออกไปพันลี้ และมองเห็นอยู่รางๆ ตรงขอบของเทือกเขา
ยามนี้มนุษย์ผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ตรงหน้ามีศิษย์พลังปราณค่อนข้างต่ำสิบกว่าที่รั้งท้ายคนอื่นๆ อย่างไม่รู้ตัว และกำลังจะถูกเมฆมารด้านหลังไล่ตามทัน
เผ่ามารจำนวนมากในเมฆมารร้องคำรามเสียงต่ำๆ ออกมา นักรบชุดเกราะเผ่ามารต่างเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมา
ชั่วขณะนั้นศิษย์เหล่านี้ต่างก็หน้าถอดสี
ชายชราเคราขาวเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ ในใจ ใช้น้ำเสียงที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินกล่าวว่า “ช่างเถิด!”
จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งแล้วหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะหันกลับมา แล้วปล่อยลำแสงที่น่าตกตะลึงพุ่งไปหาเมฆมาร
ท่ามกลางเมฆมารมีเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังขึ้น ไอสีดำหมุนวน คาดไม่ถึงว่าจะมีเผ่ามารระดับสูงอย่างระดับหลอมสุญตาร่างกายกำยำสี่ตนบินออกมา
หนึ่งในนั้นสองมือถือสามง่ามสามสีดำเอาไว้ นั่นก็คือเผ่ามารระดับสูงที่เมื่อครู่ลงมือโจมตีกระบี่บินของชายชราจนล่าถอยไป
ที่เหลืออีกสามตนกลับมีพลังยุทธ์ไม่ด้อยไปกว่ามารตนนั้นเลยสักนิด
มองเห็นชายชราเคราขาวที่กลายเป็นสายรุ้งไปอยู่เหนือเมฆมาร มารทั้งสี่ก็โยนสมบัติในมือออกมาพร้อมกัน
สามง่ามยักษ์สีดำ กระบี่กระดูกสีขาวโพลนสองเล่ม กระบี่ยักษ์สีฟ้าเล่มหนึ่ง อิฐยักษ์สีเหลืองขนาดราวกับภูเขาขนาดย่อมปรากฏขึ้นกลางอากาศพร้อมกัน หลังจากกะพริบวาบก็ล้อมสายรุ้งนั้นเอาไว้ข้างใน และบีบให้ชายชราจำใจต้องสำแดงตนออกมา
ยามนี้มารทั้งสี่ร่ายเคล็ดวิชามาร สมบัติทั้งห้าชิ้นถึงได้กรูกันโจมตีไปที่ชายชรา
ชายชราเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันหัวเราะอย่างขมขื่นออกมา ทำได้เพียงเรียกพลังปราณที่เหลือในร่างออกมาบรรลุเข้าไปในกระบี่บินสองเล่ม
ชั่วขณะนั้นกระบี่สีเขียวและเหลืองก็ส่งเสียงร้อง กลายเป็นกระบี่ยักษ์สองสายเริงระบำไปมา ม่านกระบี่หนาๆ ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะของชายชราอย่างเงียบเชียบ แล้วห่อหุ้มเรือนร่างของเขาเอาไว้
แม้ว่ากระบี่บินสองเล่มจะเป็นสิ่งที่มีที่มายิ่งใหญ่ แต่อานุภาพของการร่วมมือกันของมารทั้งสี่ก็เหนือกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการได้
หลังจากที่สมบัติมารทั้งห้าชิ้นโจมตีอย่างหนักหน่วงม่านกระบี่ก็ส่งเสียงร้องแหลมสูงแล้วแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นก็ร่อนลงมาหาชายชราไม่หยุด
ชายชราเคราขาวมีสีหน้าซีดขาว ทำได้เพียงฝืนอ้าปากออก พ่นหมอกสีเขียวออกมา ม้วนไปกลางอากาศ
มาถึงขั้นนี้เขาก็ทำได้เพียงดิ้นรนอย่างสุดชีวิตเท่านั้น
แต่ในยามนั้นเองเสียงราบเรียบของบุรุษพลันดังขึ้นกลางอากาศบริเวณใกล้เคียง
“หึ เป็นแค่มาระดับหลอมสุญตาสองสามตน คาดไม่ถึงว่าจะกล้าลงมือสังหารคนต่อหน้าข้า! ในเมื่อมาแล้วก็มอบชีวิตให้ข้าเถิด”
สิ้นเสียงของบุรุษ!
ชั่วขณะนั้นเสียงฟ้าผ่าพลันดังขึ้น เงาร่างคนสายหนึ่งปรากฏขึ้นห่างจากชายชราเคราขาวไปแค่สองสามจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นยังตะปบมือไปกลางอากาศอย่างสบายอารมณ์เบาๆ
เรื่องที่น่าตกตะลึงพลันปรากฏขึ้น
สมบัติมารห้าชิ้นที่เดิมกำลังจะร่อนลงมาพลันสั่นเทา ในเวลาเดียวกันที่ถูกโจมตีด้วยพลังมหาศาล ชั่วขณะนั้นก็ส่งเสียงร้องประหลาดๆ แล้วพุ่งไปบนท้องฟ้า
ชั่วพริบตานั้นสมบัติของเผ่ามารระดับสูงสี่ตนก็สูญเสียการควบคุม
ชั่วขณะนั้นมารทั้งสี่พลันตกตะลึง!