คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1978 บีบให้จากไป
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1978 บีบให้จากไป
หานลี่ที่แปลงกลายเป็นวานรยักษ์ภูเขาทำให้เขามีพลังยุทธ์เพิ่มขึ้นหนึ่งขั้น จึงไม่ใช่สิ่งที่จะเทียบได้กับยามที่ทำสงครามในเมืองอี่เทียน
แม้ว่าพลังมหาศาลจากร่างของวานรยักษ์จะเทียบกับวานรยักษ์ภูเขาเที่ยงแท้ไม่ได้แต่ก็มีอานุภาพของมันอยู่สามสี่ส่วนประกอบกับพลังของภูเขาสองลูก แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สิ่งที่อรหันต์ชิงหลงซึ่งกลายร่างเป็นครึ่งมังกรจะต้านทานได้
ดังนั้นเมื่อสัมผัสกับอรหันต์ชิงหลงก็ถูกพลังมหาศาลที่ซ่อนอยู่ในภูเขาสองลูกโจมตีจนกระเด็นออกไป!
หากไม่ใช่เพราะเขาเห็นท่าไม่ดีจึงรีบชักแขนกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วพ่นสมบัติวิเศษออกมาช่วยชีวิต ไม่เพียงนิ้วทั้งสิบจะแหลกละเอียด แขนทั้งสองข้างอาจจะขาดไปอย่างไม่ปรานี
ทว่าเช่นนี้ปราณแท้ในร่างของเขาที่โคจรอยู่ในยามนี้พลันมีความเจ็บปวดไหลเวียนทั่วทั้งเรือนร่าง คาดไม่ถึงว่ายามนั้นจะไม่อาจใช้พลังปราณได้แม้เพียงครึ่ง
ยามนี้วานรยักษ์หานลี่กลับแววตาเปล่งประกายโหดเหี้ยม สาวเท้าไปข้างหน้าร่างกายรางเลือนฟื้นฟูกลับมาอยู่มีขนาดเท่ามนุษย์และสาวเท้าไปข้างหน้าอีกครั้ง ร่นระยะทางไปตั้งไม่รู้กี่ร้อยจั้ง มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากอรหันต์ชิงหลงไม่ถึงสองสามจั้ง
“การโจมตีครั้งที่สาม!”
น้ำเสียงอันเย็นชาของหานลี่พลันดังออกมาจากปากของวานรยักษ์ แขนข้างหนึ่งรางเลือนแล้วโจมตีออกไปที่ฝั่งตรงข้าม
อรหันต์ชิงหลงหน้าถอดสีมือหนึ่งร่ายอาคมอย่างไม่ต้องขบคิด หมายจะสำแดงเคล็ดวิชาหลบหลีกอันใดสักอย่าง
แต่ในยามนั้นเองเสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชาจนเข้ากระดูกพลันดังก้องทั้งโสตประสาท!
อรหันต์ชิงหลงรู้สึกเพียงว่าหูทั้งสองสั่นสะเทือนราวกับถูกฟ้าผ่าใส่ไม่หยุด ในเวลาเดียวกันในหัวก็มีความเจ็บปวดราวกับถูกกรวยแหลมทิ่มแทง
เขาแค่นเสียงด้วยความเย็นชา แม้แต่พลังปราณเฮือกสุดท้ายกลับไม่อาจรวบรวมออกมาได้เลยสักนิด
ร่างของวานรยักษ์กลับมีจิตสังหารที่น่าตกตะลึงพวยพุ่งขึ้นมา กำปั้นสีทองขนาดยักษ์กลายเป็นพายุหมุนพุ่งไปหาศีรษะของอรหันต์ชิงหลง
กำปั้นสีทองยังไม่ทันได้โจมตีเข้าไปจริงๆ พลังแรงกดกลุ่มหนึ่งก็บีบอรหันต์ชิงหลงเอาไว้จนแทบหายใจไม่ออก จากพลังเทวะของหานลี่ที่กลายร่างเป็นวานรยักษ์ หากกำปั้นนี้เป็นของจริง แม้ว่าอรหันต์ชิงหลงจะมีร่างกายเป็นครึ่งปีศาจหัวก็ยังต้องมีเสียงดังแล้วแตกละเอียด
อรหันต์ชิงหลงร้องว่าแย่แล้วในใจ แต่ร่างกายไร้ซึ่งการควบคุม ไม่อาจมีปฏิกิริยาตอบสนองได้เพียงนิด ใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาไม่ได้
แต่ในฐานะที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์อย่างเขา ย่อมต้องมีวิธีเอาชีวิตรอดอีก
ลำแสงสีขาวเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา โล่สีสันแวววาวบินออกมาจากจากร่างกายของเขาแล้วต้านทานอยู่เบื้องหน้า
ในเวลาเดียวกันเกล็ดทั่วเรือนร่างของอรหันต์ชิงหลงก็หดเล็กลง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นเกราะสงครามสีเขียวปกป้องเรือนร่างของเขาเอาไว้
การป้องกันสองชั้นนี้ย่อมปกป้องกันการโจมตีของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ธรรมดาๆ ได้อย่างเหลือเฟือ
แต่ภายใต้การโจมตีของกำปั้นสีทอง กลับไม่อาจรับการโจมตีได้ราวกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
เห็นเพียงลำแสงสีทองสว่างจ้า โล่สีสันแวววาวส่งเสียงดังสนั่นแล้วปริแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
กำปั้นสีทองสั่นไหวแล้วโจมตีไปที่เกราะสงครามสีเขียว
หลังจากที่เกราะสงครามส่งเสียงกรีดร้องก็มีเงาลวงตามังกรสีเขียวตัวหนึ่งทะลักออกมา แยกเขี้ยวตะปบเล็บพุ่งไปหากำปั้นสีทอง
แต่ในยามนั้นกำปั้นสีทองที่แผ่ลำแสงสีทองออกมาพลันสลายหายไปจากกลางอากาศ กลับมีระลอกคลื่นสีทองขนาดสองสามฉื่อมาแทนที่
ระลอกคลื่นนี้แค่หมุนวน พลังแรงฉีกที่น่าเหลือเชื่อพลันทะลักออกมา
เมื่อสัมผัสกับเงาลวงตามังกรสีเขียว ก็ถูกระลอกคลื่นสีทองฉีกออกเป็นชิ้นๆ ในพริบตา!
พริบตาที่เงาลวงตามังกรสีเขียวสลายหายไป เกราะสงครามชิ้นนั้นก็ส่งเสียงกรีดร้องแล้วสลายตัวออก
ระลอกคลื่นสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ กลายเป็นเงากำปั้นขนาดใหญ่โจมตีไปที่ศีรษะของอรหันต์ชิงหลงอีกครั้ง
ครั้งนี้เงากำปั้นเงียบเสียง แต่จิตสังหารที่แฝงอยู่ในนั้น แม้ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่อยู่ด้านนอกม่านลำแสงก็ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน
ใบหน้าของอรหันต์ชิงหลงที่มีเงากำปั้นห่อหุ้มอยู่พลันบิดเบี้ยว หน้าซีดขาวอย่างหาที่เปรียบมิได้
“สหายหานไม่ได้นะ!”
“พี่หาน หยุดนะ!”
กลุ่มคนที่อยู่ด้านนอกแท่นหินเห็นสถานการณ์เช่นนั้นพลันหน้าถอดสี แทบจะร้องตะโกนห้ามออกมาพร้อมกัน
ครู่ต่อมาเสียง “ตูม” พลันดังสนั่นขึ้น เงากำปั้นสีทองแฉลบผ่านข้างหูของอรหันต์ชิงหลงไป โจมตีไปยังอากาศเหนือแท่นหิน
ผู้ใดก็ไม่ทันสังเกตว่าชั่วพริบตาที่เงากำปั้นสีทองแฉลบผ่านไป สิ่งที่เหมือนกับเส้นผมก็พุ่งออกมาจมหายเข้าไปในหูของอรหันต์ชิงหลง และเปล่งแสงสว่างวาบหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
ทั้งแท่นหินพลันสั่นเทา ผิวของเขตอาคมต้องห้ามเปล่งแสงสว่างวาบ หลุมยักษ์ความลึกสองสามจั้งปรากฏออกมา
อรหันต์ชิงหลงมีสีหน้าไร้สีโลหิต จ้องเขม็งไปยังวานรยักษ์ที่หดกำปั้นกลับไปอย่างช้าฝั่งตรงข้าม แล้วไม่อาจพูดอันใดออกมาได้เนิ่นนาน
เมื่อเห็นฉากนี้อรหันต์ชิงหลงและพวกที่อยู่ด้านนอกม่านลำแสงถึงได้ผ่อนคลายลง!
ลำแสงสีทองเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วพริบตาหานลี่ก็กำจัดการแปลงกายกลับมาอยู่ในร่างมนุษย์ แต่พลันมองอรหันต์ชิงหลงด้วยจิตสังหารอย่างไม่ปิดบังแล้วเอ่ยว่า
“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเข้ามาในเมืองเทวะสวรรค์ได้อย่างไร ยามนี้ยังกลายเป็นอาวุโสอันใดนั้น! ภายในสามวันข้าไม่อยากเห็นเจ้าอีก ถึงยามนั้นหากไม่ออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์ ก็เตรียมตัวตายเอาไว้!”
หานลี่เอ่ยจบผิวก็เปล่งแสงสีเขียว กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวบินออกไปจากแท่นหิน ปรากฏตัวอยู่ข้างกายหงส์สวรรค์
จินเย่ว์รีบร้อนเอ่ยปากคิดจะพูดอันใดแทนเขา แต่หานลี่กลับประสานกำปั้นคารวะแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“สหายทั้งสองเรื่องนี้ผู้แซ่หานจัดการเสร็จแล้ว ข้าน้อยเพิ่งกลับมาถึงเมือง ยังมีเรื่องที่ต้องจัดการขอตัวก่อน”
เอ่ยจบหานลี่ก็สะบัดแขนเสื้อ หมอกสีเขียวบินออกมา ม้วนเอาร่างของเขาและหงส์น้ำแข็งเข้าไป คนก็มาปรากฏตัวอยู่บนเขตอาคมส่งตัว
หลังจากเขตอาคมส่งตัวส่งเสียงอึกทึกขึ้น เงาร่างทั้งสองก็เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป
การกระทำของหานลี่เสร็จภายในอึดใจเดียว แทบจะไม่ให้โอกาสให้ภิกษุจินเย่ว์และชายชราแซ่กู้พูดอันใด
รอจนภิกษุและชายชรามีปฏิกิริยาตอบสนอง หานลี่และหงส์น้ำแข็งกลับจากไปแล้ว
“สหายหานไม่ให้โอกาสพวกเราได้โน้มน้าวเลย! ดูแล้วคำพูดของเขาเมื่อครู่คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่น!” ชายชราแซ่กู้ตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วถึงได้หัวเราะอย่างขมขื่นออกมาพลางเอ่ยกับภิกษุจินเย่ว์
“ประสกหานทำเช่นนี้เกินไปหน่อยแล้ว ไม่ว่าอย่างไร อรหันต์ชิงหลงก็เป็นหนึ่งในอาวุโสของเมืองเราแล้ว จะให้เขาออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์เพียงเพราะคำพูดของเขาคนเดียวได้อย่างไร สหายชิงหลงเจ้าจงวางใจ อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาสหายคนอื่นๆ ให้ช่วยขอสหายหานให้ คิดดูแล้วจะต้องเปลี่ยนใจเขาได้แน่” ภิกษุจินเย่ว์สั่นศีรษะระรัวแล้วเอ่ยขึ้น พลางหันไปปลอบใจอรหันต์ชิงหลงที่ตะลึงค้างอยู่บนเวที
“ไม่ทำเช่นนั้น! ในเมื่อข้าน้อยสู้สหายหานไม่ได้ ต่อให้เขาไม่พูดก็ไม่มีหน้าจะอยู่ในเมืองต่อแล้ว ข้าน้อยจะไปจากเมืองเทวะสวรรค์พรุ่งนี้ ไม่เป็นอาวุโสของสมาคมอาวุโสแล้ว โชคดีที่มีคนรู้ว่าข้าเข้ามาเป็นอาวุโสของเมืองท่านไม่มาก คงไม่สร้างผลกระทบอันใดกับเมืองท่านมากนัก” อรหันต์ชิงหลงสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปเฮือกหนึ่ง ในที่สุดก็ได้สติกลับคืนมา สั่นศีรษะด้วยสีหน้าไร้สีโลหิต
จากนั้นเขาพลันกลายเป็นลำแสงหลีกหนี กลายเป็นลำแสงสีเขียวสลายหายไปจากแท่นหิน ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวเหนือเขตอาคมส่งตัว
เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจากไปเช่นกัน
ภิกษุจินเย่ว์และชายชราแซ่กู้มองสบตากันแวบหนึ่ง ต่างพูดไม่ออกอยู่นาน!
“ดูท่าทางแล้วสหายชิงหลงคงได้รับการโจมตีไม่น้อย จึงรู้ว่าไม่มีหน้าอยู่ในเมืองต่อ!” ชายชราแซ่กู้แววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยพึมพำ
“นั่นมันเรื่องปกติ ในเมื่อเขาและสหายหานมีความขัดแย้งกัน และรู้ว่าตนสู้อีกฝ่ายไม่ได้ เปลี่ยนเป็นอาตมาเกรงว่าก็คงมีแต่จากไปเพียงเท่านั้น” ภิกษุจินเย่ว์ครุ่นคิด แล้วตอบกลับอย่างจนปัญญา
“หรือว่าพวกเราจะต้องปล่อยผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางคนหนึ่งให้ออกไปจากเมืองเทวะสวรรค์จริงๆ นี่มันทำให้สมาคมอาวุโสเสียหายครั้งใหญ่นะ แม้ว่าสหายหานจะมีอิทธิฤทธิ์เหนือเขา แต่ถึงอย่างไรเสียก็ยังไม่มีเจตนาจะเข้าร่วมสมาคมอาวุโส!” ชายชราแซ่กู้เอ่ยถามอย่างลังเล
“อีกเดี๋ยวเราสองคนรีบไปปรึกษากับสหายท่านอื่นดีกว่า ดูว่าจะมีวิธีรั้งเขาไว้ได้หรือไม่ ทว่าจะว่าไปแล้วในสถานการณ์ที่กองทัพเผ่ามารเข้าประชิดเมือง สหายหานก็มีส่วนช่วยเมืองของเราได้มากกว่า อีกอย่างชิงหลงก็หวาดกลัวสหายหานแล้ว ดูท่าทางแล้วคงยับยั้งไว้ได้ยาก” ภิกษุจินเย่ว์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ย
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราสองคนก็ต้องพยายามเต็มที่ ข้าจะส่งข่าวให้คนอื่นๆ เชิญพวกเขามาทันที!” ชายชราแซ่กู้เอ่ยอย่างแช่มช้า จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ ชั่วขณะนั้นยันต์ถ่ายทอดเสียงพลันปรากฏขึ้นในมือปึกหนึ่ง
ภิกษุจินเย่ว์พยักหน้าย่อมไม่ได้มีเจตนาขัดขวางอันใด กลับเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ในเวลาเดียวกันหานลี่ก็พาหงส์น้ำแข็งกลายเป็นลำแสงสีเขียวมุ่งตรงไปยังที่พัก
หานลี่ที่อยู่ด้านหน้าในลำแสงหลีกหนีเอาสองมือไพล่หลัง มองไปเบื้องหน้าอย่างราบเรียบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ได้เอ่ยปากออกมา
หงส์น้ำแข็งอยู่ด้านหลังเขาสีหน้าสลับซับซ้อน ไม่มีเจตนาจะเอ่ยปากเช่นเดียวกัน
สองสามชั่วยามผ่านไปลำแสงสีเขียวพลันเปล่งแสงสว่างวาบกลับมาถึงห้องโถงชั้นสูงสุดของที่พัก
ไห่ต้าเซ่าและชี่หลิงจื่อรออยู่ตรงนั้นจนเริ่มหมดความอดทนแล้ว เมื่อเห็นหานลี่พาหงส์น้ำแข็งกลับมาทันใดนั้นก็เข้ามาคารวะด้วยความดีใจ
“คารวะท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์อาเฟิง! ท่านอาจารย์ไปอย่างราบรื่น ไม่ได้พบปัญหาอันใดสินะ!” ไห่ต้าเซ่าเอ่ยถามด้วยความตื่นเต้นเล็กๆ
“จะมีปัญหาอันใดได้! ท่านอาจารย์อาเฟิงของพวกเจ้าข้าพากลับมาแล้ว เจ้าสองคนไม่ต้องกังวล ไปพักผ่อนได้ มีอันใดก็ไปคุยกับท่านอาจารย์อาของเจ้าตามลำพังเถิด” หานลี่ออกคำสั่งด้วยเสียงราบเรียบ
“เจ้าค่ะท่านอาจารย์!”
ชี่หลิงจื่อและไห่ต้าเซ่าใจหายวาบ ทันใดนั้นก็ตอบรับด้วยความนอบน้อม แล้วคารวะหงส์น้ำแข็งพลางถอยออกไปจากห้องโถง
ชั่วพริบตาในห้องโถงจึงเหลือเพียงหานลี่และหงส์น้ำแข็ง
“สหายเฟิง เชิญนั่ง คิดดูแล้วเจ้าคงตกใจไม่น้อยสินะ” หานลี่รอให้ลูกศิษย์ทั้งสองหายวับไป ก็เอ่ยกับหงส์น้ำแข็งด้วยรอยยิ้มบางๆ ส่วนตนก็นั่งอยู่ตรงตำแหน่งหลัก
“ขอบพระคุณพี่หาน! ครั้งนี้น้องหญิงเกือบจะถูกคนลอบทำร้าย น้องหญิงคิดไม่ถึงเลยว่าชิงหลงที่มีฐานะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ จะทำการบีบบังคับอย่างเปิดเผยเช่นนี้” หงส์น้ำแข็งเอ่ยขอบคุณ แล้วนั่งตัวตรงอยู่ตรงตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับหานลี่มากที่สุด พลางตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“หากเป็นยามปกติ บางทีเขาอาจจะเห็นแก่หน้าตาสักหน่อย แต่ในยามที่กองทัพเผ่ามารบีบคั้นเข้ามา แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจอันใดมากนัก ขอแค่ให้มีโอกาสทำให้พลังยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้น เขาย่อมไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ นี่ยังดีที่เขายังหวาดกลัวชื่อเสียงของข้าในอดีต มิเช่นนั้นเกรงว่าคงลงมือกับสหายไปนานแล้ว” หานลี่กลับเอ่ยอย่างไม่แปลกใจเลยสักนิด