คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1982 ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย (1)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1982 ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย (1)
หลังจากที่สมาคมอาวุโสตัดสินเรื่องการตายของชิงหลงและเรื่องของหานลี่ เวลาต่อจากนี้เมืองเทวะสวรรค์ก็เงียบสงบดุจยามปกติ
เหมือนกับที่ชายชราผมสีเงินพูดเอาไว้ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีผู้ใดแพร่งพรายข่าวคราวออกไป สิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ ในเมืองก็ไม่รู้ว่าสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดอย่างระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางคนหนึ่งได้เพลี่ยงพล้ำไปแล้ว
แน่นอนว่าข่าวนี้ไม่อาจปิดบังเซียนหลินหลวนได้
หลังจากที่สตรีผู้นี้รู้ข่าวนี้ นอกจากตกตะลึงจนเสียกิริยาแล้ว จากนั้นก็ไม่ได้ทำอันใดอีก แต่ตั้งแต่นั้นก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องอรหันต์ชิงหลงอีก ราวกับว่าไม่เคยรู้จักคนผู้นี้มาก่อนอย่างไรอย่างนั้น
ทว่าเรื่องดึงหานลี่มาเป็นพวก กลับดำเนินไปอย่างไม่ราบรื่น
เพราะว่าช่วงนี้หานลี่ไม่เคยโผล่หน้ามาเลย และบอกกับโลกภายนอกว่ากักตนฝึกบำเพ็ญเพียร
ทำให้ภิกษุจินเย่ว์ไม่รู้จะลงมือยามใด จึงทำได้เพียงรอคอยอย่างอดทนเท่านั้น
เขากลับไม่เชื่อว่ารอให้กองทัพเผ่ามารเริ่มการโจมตีครั้งตัดสิน หานลี่จะยังกักตนไม่ยอมออกมาต่อไป
ทว่านอกจากภิกษุจินเย่ว์ เซียนหยินกวงและสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์คนอื่นๆ อาวุโสคนอื่นๆ ในสมาคมอาวุโสกลับถูกเผ่ามารค่อยๆ ดึงดูดความสนใจด้วยการทำการโจมตีเมือง และไม่มีเวลามาสนใจเรื่องของหานลี่อีก
แม้กระทั่งชายชราผมสีเงินที่เคยถามถึงสองสามครั้ง ก็เอาแต่จัดการกับการโจมตีราวกับสายธารของเผ่ามาร
ยามนี้แม้ว่ากองทัพเผ่ามารจะยังไม่เริ่มใช้กำลังหลักโจมตีเมือง แต่การโจมตีเมืองสองสามวันครั้งกลับเริ่มรุนแรงขึ้น
แม้กระทั่งระหว่างที่โจมตี ก็เริ่มมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาบาดเจ็บล้มตาย
เช่นนี้อาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์จึงมิกล้าดูแคลน ทุกการโจมตีของเผ่ามารจะต้องมีอาวุโสสองสามคนไปร่วมมือกันนั่งบัญชาการ ถึงจะวางใจได้
สอดคล้องกับสิ่งนี้ทั้งเมืองเทวะสวรรค์กลับเริ่มเคลื่อนย้ายไปมา!
โรงงานหลอมอาวุธทั้งหมดเปิดทำการ เริ่มหลอมอาวุธต่างๆ อย่างไม่เสียดายวัตถุดิบ ผู้บำเพ็ญเพียรที่เขียนยันต์เป็นก็ถูกเรียกรวมตัว แล้วทำการเขียนยันต์ระดับต่ำจำนวนมากทั้งวันทั้งคืนเช่นกัน
จากการต่อสู้ขนาดใหญ่ ยันต์ระดับสูงเหล่านั้นกลับไม่มีประโยชน์ในสงครามเท่ากับยันต์ระดับต่ำเหล่านี้
ถึงอย่างไรเสียวัตถุดิบและเวลาที่ต้องเสียไปกับการเขียนยันต์ระดับกลางแผ่นหนึ่ง ก็อาจจะใช้เขียนยันต์ระดับหลายสิบหรือแม้กระทั่งหลายร้อยใบ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอัตราการประสบความสำเร็จของทั้งสองที่แตกต่างกันมาก จึงไม่จำเป็นต้องนำมาเปรียบเทียบกัน
ส่วนยันต์วิเศษระดับสูงเหล่านั้น นอกจากปรมาจารย์ด้านการเขียนยันต์แล้ว คนอื่นๆ ก็ไม่อาจเขียนได้
นอกจากการหลอมอาวุธและการเขียนยันต์จำนวนมากแล้ว ผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำและผู้ฝึกตนธรรมดาๆ จำนวนมากในเมืองก็ถูกเรียกระดมพล ถูกจัดเป็นกองกำลังขนาดใหญ่หลายกองกำลัง เพื่อใช้เป็นกำลังสำรองของเมืองเทวะสวรรค์
นอกจากการกระทำเหล่านี้เมืองเทวะสวรรค์ก็เริ่มตรวจสอบเขตอาคมต้องห้ามต่างๆ ในเมืองสองสามรอบ เพื่อยืนยันว่าจะอาศัยมันจัดการกับเผ่ามารได้อย่างไม่มีปัญหา
รวมๆ แล้วเมืองเทวะสวรรค์ก็อยู่ในสภาวะที่พร้อมรบ
เช่นนั้นเวลาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว
วันนี้ในตำหนักที่กำลังหารือเรื่องเมืองเทวะสวรรค์ ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์กำลังพูดคุยเรื่องสำคัญเกี่ยวกับเผ่ามาร ฉับพลันนั้นประตูของตำหนักก็ถูกคนผลักเข้ามาจากด้านนอก และมีผู้พิทักษ์สวมชุดเกราะสีเงินคนหนึ่งวิ่งลนลานเข้ามา
นั่นก็คือผู้พิทักษ์สวรรค์รักษาการณ์อยู่ด้านนอกประตู!
“ผู้ใดให้เจ้าเข้ามา!” ชายชราผมสีเงินเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันมีสีหน้าเคร่งขรึม ตะโกนถามด้วยความโมโห
“รายงานใต้เท้า ไอวิญญาณด้านนอกค่อนข้างผิดปกติ ดูเหมือนว่าอาวุโสท่านใดจะพัฒนาระดับขั้นแล้ว!” ผู้พิทักษ์ผู้นี้รีบร้อนทำความเคารพ แล้วกลับตอบอย่างลนลาน
“พัฒนาระดับขั้น หรือว่าสหายท่านใดจะพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง หากเป็นเช่นนั้นก็เป็นเรื่องดี แต่เจ้าคงไม่ต้องลนลานขนาดนั้นกระมัง” ชายชราผมสีเงินพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าผ่อนคลายลง
“แต่ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปมันร้ายกาจเกินไป ไม่เหมือนกับพัฒนาระดับขั้นกลาง ดูเหมือนว่าจะน่ากลัวกว่าการฟาดเคราะห์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายหลายส่วน” ผู้พิทักษ์ผู้นั้นกลืนน้ำลาย แล้วเอ่ยอย่างตกตะลึงระคนหวาดกลัว
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย! ท่านปรมาจารย์ พวกเราออกไปดูกันเถิด” ชายชราผมสีเงินพลันตกตะลึง หลังจากขบคิดอย่างรวดเร็ว ก็หันไปเอ่ยกับภิกษุจินเย่ว์
“ได้ อาตมาก็อยากรู้ว่าสหายท่านใดเริ่มฟาดเคราะห์ยามนี้” จินเย่ว์ตอบตกลง
ดังนั้นภายใต้การนำของผู้พิทักษ์ทั้งสอง ก็เดินออกไปนอกตำหนัก
เมื่อเดินออกมานอกเขตอาคมของตำหนัก ชายชราผมสีเงินก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
จากจิตสัมผัสระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางของเขา แน่นอนว่าย่อมสัมผัสความผิดปกติของไอวิญญาณด้านนอกได้อย่างง่ายดาย ไอวิญญาณที่เดิมมั่นคงในยามนี้กำลังคึกคัก ดูเหมือนว่าจะได้รับผลกระทบจากพลังที่น่ากลัวสักชนิด
ฝีเท้าของชายชราเร็วขึ้นสองสามส่วนอย่างไม่รู้ตัว
ชั่วพริบตาเขาและภิกษุจินเย่ว์ก็มาอยู่บนแท่นขนาดยักษ์ความกว้างยี่สิบสามสิบจั้ง
บนแท่นมีผู้พิทักษ์สิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ กำลังมองไปยังสถานที่เดียวกันด้วยความตกตะลึงจนตาค้าง
ชายชราผมสีเงินขมวดคิ้ว อดที่จะแค่นเสียงอย่างเย็นชาไม่ได้
ผู้พิทักษ์เหล่านั้นถึงได้ตกใจพบว่าชายชราและภิกษุจินเย่ว์มาถึงแล้วจึงทยอยกันค้อมตัวลงคารวะอย่างหวาดผวา
ชายชราผมสีเงินแววตาเปล่งประกาย กำลังคิดจะเอ่ยตำหนิสองสามคำ ภิกษุที่อยู่ด้านข้างกลับร้องอุทานออกมาว่า “เอ๋” เบาๆ
ชายชราผมสีเงินจึงหันไปมอง กลับพบว่าจุกที่ภิกษุจินเย่ว์กำลังมองคือจุดเดียวกันกับเหล่าผู้พิทักษ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าตื่นตะลึง
ชายชราพลันใจหายวาบ ไม่สนใจผู้คุ้มกันเหล่านั้น รีบหันไปมองทันที
เห็นเพียงขอบฟ้าห่างไปตั้งเท่าไหร่ไม่รู้ ท้องฟ้าเป็นสีแดงก่ำ เมฆเพลิงสีแดงสดรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น ราวกับดวงเพลิงขนาดยักษ์ลอยหมุนวนไปมาอยู่กลางอากาศ
และด้านล่างของเพลิงหมอกลำแสงหลากสีสันจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็ว และตัดสลับกันไปมา กลายเป็นสะพานสายรุ้งเจ็ดสีสายหนึ่ง
เมฆสีแดง ดวงเพลิง ทั้งสองตอบรับกัน เปล่งแสงเจิดจ้าจนแสบตาออกมา แทบจะปกคลุมกว่าครึ่งของเมืองเทวะสวรรค์เอาไว้ ท่าทางมโหฬารยิ่ง!
แต่ทุกอย่างล้วนไม่เท่ากับพลังแรงกดมหาศาลที่แผ่ออกมา ทำให้ผู้คนตกใจจนขวัญกระเจิง
แม้ว่าแรงกดนี้จะอยู่ไกลมาก จนสัมผัสได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ก็ยังคงให้ความรู้สึกน่ากลัวจนแทบจะหายใจไม่ออก และยิ่งไปกว่านั้นยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ากำลังเตรียมการอันใดที่น่ากลัวอยู่
“ปรากฏการณ์นี้ ไม่เหมือนกับการฟาดเคราะห์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นกลางได้ สหายจิน พวกเราไปดูกันเถิด หากเป็นสหายท่านใดกำลังฟาดเคราะห์ระดับขั้นปลายจริงๆ ก็เป็นเรื่องโชคดีของเมืองเราแล้ว พวกเราจะต้องไปคุ้มกัน เพื่อไม่ให้ถูกผู้อื่นรบกวน” ชายชราผมสีเงินดีอกดีใจ แทบจะเอ่ยกับภิกษุอย่างไม่ต้องขบคิด
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว พี่กู่ไม่พูด อาตมาก็จะไปดู การฟาดเคราะห์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นปลายถือว่าเป็นวาสนาของพวกเรา หากได้เข้าไปดูใกล้ๆ คงมีประโยชน์ในการฝึกฝนในอนาคตมาก” ภิกษุจินเย่ว์ย่อมไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ จึงตอบกลับด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ชายชราผมสีเงินได้ยินจึงพยักหน้า จากนั้นพลันสะบัดแขนเสื้อ ลำแสงสีขาวบินออกมา ม้วนเอาร่างของเขาเข้าไปข้างใน แล้วพวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ พลางพุ่งแหวกอากาศไปยังจุดที่ไกลออกไป
ภิกษุจินเย่ว์กลับบริกรรมคาถา อักขระยันต์สีทองทะลักออกมาจากผิวกายกลายเป็นลำแสงสีทองไล่ตามไปติดๆ
ยามนี้ผู้พิทักษ์ถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเงียบๆ แล้วหยัดกายลุกขึ้น พลางเข้ามารวมตัวกันแล้วเริ่มทยอยกันถกเถียงเรื่องปรากฏการณ์ที่อยู่ไกลออกไป
……
ไม่ใช่แค่ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์ ผู้บำเพ็ญเพียรระดับสูงทั้งเมืองเทวะสวรรค์ก็แทบถูกทำให้ตกใจ
ลำแสงหลีกหนีจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งไปยังจุดที่ปรากฏการณ์สวรรค์ระเบิดออกจากทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน
แม้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับต่ำเหล่านั้นจะสนใจที่มาของปรากฏการณ์ แต่เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ตนจะเข้าร่วมได้ จึงทำได้เพียงมองตาปริบๆ อยู่ที่เดิม แน่นอนว่าย่อมหลีกเลี่ยงการถกปัญหากับผู้ที่อยู่ใกล้เคียงกันไม่ได้
การพูดถึงของพวกเขามีอยู่มากมายไปหมด!
บ้างก็บอกว่ามีสมบัติวิเศษถือกำเนิด บ้างก็บอกว่ามีอสูรวิญญาณที่มีอิทธิฤทธิ์กลืนเมฆาพ่นหมอกออกมา แน่นอนว่าที่พูดถึงกันมากที่สุดย่อมคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรที่มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรท่านใดกำลังดึงดูดเคราะห์สวรรค์มา
หนึ่งในนั้นผู้ที่มีประสบการณ์มากน้อยเดาว่าเคราะห์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ถึงจะมีความน่ากลัวเพียงนี้ได้
แน่นอนว่าผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้ย่อมคิดไม่ถึงว่าในความคิดและมุมมองของสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์ที่สูงส่งไม่อาจแตะต้องได้ของพวกเขา ก็รีบมาที่ปรากฏการณ์นี้ด้วยความตกตะลึงไม่น้อยเช่นกัน!
ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์ไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มแรกที่มาถึง ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรระดับหลอมสุญตาและระดับผสานอินทรีย์อีกยี่สิบกว่าคนที่อยู่ใกล้กับปรากฏการณ์นี้มากกว่า จึงมาอยู่ห่างจากที่นั่นไปไม่ถึงร้อยลี้เศษ กำลังลอยตัวมองอยู่ตรงนั้น
เซียนหยินกวงก็เป็นหนึ่งในนั้น
สตรีผู้นี้มองปราดเดียวก็เห็นชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์ จึงพยักหน้าให้ทั้งสองจากไกลๆ แล้วมองจุดที่ไกลออกไปอีกครั้งด้วยความเคร่งขรึม
เมื่อเห็นสตรีผู้นี้ไม่ได้มีเจตนาเข้ามาพูดคุย ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์ก็มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วหยุดลำแสงหลีกหนีอยู่บริเวณใกล้เคียง
“ท่านปรมาจารย์ หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ที่นี่ดูเหมือนจะมีเพียงสหายหานที่เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่พักอยู่สินะ” ชายชราผมสีเงินลูบเคราไปมา แล้วเอ่ยถามภิกษุจินเย่ว์
“ใช่แล้ว สหายหานพักอยู่ละแวกนี้ และยิ่งไปกว่านั้นดูเหมือนจะอยู่ตรงใจกลางปรากฏการณ์พอดี!” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยอย่างแช่มช้า
“เช่นนั้น ปรากฏการณ์นี้ก็เป็นสิ่งที่สหายหานดึงดูดมาจริงๆ หรือว่าการกักตนของเขาครั้งนี้ก็เพื่อทะลวงจุดคอขวดขั้นปลาย!” ชายชราผมสีเงินพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างลังเลเล็กน้อย
“เกรงว่าจะเป็นเช่นนั้น ปรากฏการณ์นี้ดูเหมือนการทะลวงระดับขั้นปลายจริงๆ ทว่าดูเหมือนว่าจะยิ่งใหญ่กว่าที่อาตมาเคยเห็นในอดีตมาก นี่จึงทำให้อาตมาสงสัยเล็กน้อย” ภิกษุจินเย่ว์มองไปยังปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่ยิ่งน่าตกตะลึงขึ้นเรื่อยๆ แล้วเอ่ยอย่างไม่มั่นใจนัก
“ไม่มีอันใดน่าสงสัย ปรากฏการณ์การทะลวงระดับขั้นปลาย เดิมก็แตกต่างกันในแต่ละคนอยู่แล้ว ทว่ายิ่งใหญ่เพียงนี้ กลับเป็นเรื่องที่ดี ปกติแล้วยิ่งปรากฏการณ์น่าตกตะลึง ก็หมายความว่าผู้ที่กำลังฟาดเคราะห์มีพละกำลังไม่ธรรมดา แต่ระดับความยากในการฟาดเคราะห์ก็เหนือกว่าที่ผู้คนจะจินตนาการได้ ปรากฏการณ์ที่น่าตกตะลึงเพียงนี้ ข้าว่าสหายหานอาจจะทำไม่สำเร็จ” ชายชราผมสีเงินครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยพลางขบคิด