คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1983 ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย (2)
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1983 ระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย (2)
สหายที่ติดอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางอย่างพวกเรา ไม่รู้ว่ามีอยู่เท่าไหร่ในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจ แต่ผู้ที่ทะลวงระดับขั้นปลายได้ กลับมีอยู่แค่หร็อมแหร็ม หากอาตมาจำไม่ผิดละก็สหายหานน่าจะเพิ่งทะลวงระดับขั้นกลางได้ไม่นาน แล้วยังเริ่มทะลวงระดับขั้นปลายได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ ความเร็วระดับนี้มันจะเกินไปหน่อยกระมัง ต่อให้เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงสองสามท่านในสมัยโบราณของเผ่าเรา เกรงว่าก็มีเพียงเท่านี้” ภิกษุจินเย่ว์พยักหน้า พลางเห็นด้วยกับความเห็นของชายชราผมสีเงิน
“แต่เป็นเพราะสหายหานมีพรสวรรค์เหนือชั้น ขั้นนี้ก็ข้ามไปได้ยาก ถึงอย่างไรเสียภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ พื้นฐานของสหายหานน่าจะตื้นเขินไปหน่อย จะเพิ่มความยากในการทะลวงจุดคอขวด” ชายชราผมสีเงินหรี่ตาทั้งสองข้างลงขณะเอ่ย
“หึๆ ทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่เจ้ากับข้าคาดเดาเท่านั้น ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ต้องให้เจ้าและรอชมด้วยตัวเอง สหายหานอาจจะทำให้เจ้ากับข้าตกตะลึงก็เป็นได้!” ภิกษุจินเย่ว์ตอบกลับด้วยรอยยิ้มบางๆ
“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง! หากเมืองของเรามีผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นปลายเพิ่มขึ้นมา ในสงครามตัดสินของเผ่ามารพวกเราก็จะผ่อนคลายลงไม่น้อย จากอิทธิฤทธิ์ของสหายหานก็เทียบกับผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นกลางหรือแม้กระทั่งขั้นปลายได้ หากพัฒนาขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าคงสู้กับร่างแยกของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารเหล่านั้นได้แล้ว” ชายชราผมสีเงินเอ่ยด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“อืม ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างเดิมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารยังไม่ลงมาจุติ ต่อให้ร่างแยกของเขาเป็นสิ่งมีชีวิตระดับสุดยอดในกองทัพเผ่ามาร หากสหายหานมีวิธีรั้งพวกมันไว้ พวกเราก็สามารถล้มเลิกแผนการเดิม รวบรวมพละกำลังต่อกรกับจอมมารเผ่ามารเหล่านั้นได้แล้ว” ภิกษุจินเย่ว์ได้ยินคำนี้ แววตาฉายแววเย็นชา
ชายชราผมสีเงินพยักหน้า แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอันใดต่อ เลื่อนสายตาไปมองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปอีกครั้ง
ยามนี้เมฆเพลิงกลางอากาศพลันกลายเป็นทะเลเพลิงสีแดง ปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งเอาไว้
ส่วนหมอกลำแสงสีสันงดงามด้านล่างเพลิงเมฆา ก็เริ่มรวมตัวกันกลายเป็นอักขระยันต์ยักษ์หลากสีสัน ลอยพลิ้วไหวอยู่กลางอากาศ แล้วแผ่ลำแสงเจิดจ้าออกมา
ครู่ต่อมาอักขระยันต์เหล่านั้นพลันสั่นเทา ฉับพลันนั้นเพลิงเมฆาด้านบนก็กระโจนลงมา ราวกับคิดจะทะลวงผ่านไปอย่างไรอย่างนั้น
เสียงกรีดร้องดังขึ้น และหมุนวนอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เมื่ออักขระยันต์ยักษ์เหล่านั้นสัมผัสกับเมฆนี้ คาดไม่ถึงว่าจะส่งเสียง “ครืนๆ” ออกมา จากนั้นก็สั่นเทาแล้วทยอยกันปริแตก
คาดไม่ถึงว่าอักขระยันต์เหล่านั้นจะถูกเพลิงเมฆากักเอาไว้ ไม่อาจพุ่งออกมาได้เลยสักนิด
เสียงแค่นเสียงหึดังก้องไปมาทั่วท้องฟ้า จากนั้นก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เงาร่างคนสูงพันจั้งปรากฏขึ้น และกำลังชี้ไปกลางอากาศสองสามครั้งด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
หลังจากที่ระลอกคลื่นกระเพื่อมกลางอากาศ อักขระยันต์ยักษ์ก็รวมตัวกันด้วยความเร็วมากกว่าก่อนหน้าสิบเท่า
อักขระยันต์จำนวนนับไม่ถ้วนทยอยกันปรากฏตัวขึ้นในช่วงสองสามลมหายใจ และทะลักข้นไปอีกครั้งราวกับคลื่นน้ำ
เมฆาเพลิงนั้นก็ไม่รู้ว่ามีความลึกลับอันใด แม้ว่าจะเผชิญหน้ากับอักขระยันต์ที่เพิ่มขึ้น แต่กลับยังคงมั่นคงดุจภูเขาไท่ซาน
ทว่าไม่ว่าเพลิงเมฆาหรือว่าอักขระยันต์ยักษ์ ล้วนขยายตัวออกมาด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุดอย่างไรอย่างนั้น
แต่เงาลวงตายักษ์นั้นดูเหมือนจะหมดความอดทน มันขยับแขนข้างหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าจะโจมตีไปทางเมฆาสีแดง
แม้ว่าจะดูเหมือนเป็นแค่เงาลวงตาสายหนึ่ง แต่เมื่อปล่อยกำปั้นออกไปกลับระเบิดออกราวกับฟ้าผ่าทันที
เงาร่างคนสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไป แต่พลังมหาศาลไร้รูปร่างพลันจมหายเข้าไปในเพลิงเมฆาอย่างง่ายดาย จากนั้นก็ระเบิดออก
หลังจากเสียง “ตูมๆ” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพลิงเมฆาก็หายวับไปจากที่เดิม มีรูยักษ์ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางร้อยจั้งปรากฏขึ้นแทน
อักขระยันต์ส่วนหนึ่งพุ่งออกมาจากรูนั้น เพลิงเมฆาเปล่งแสงสว่างวาบแล้วผสานกันดังเดิม
อักขระยันต์เหล่านั้นบินออกมาแล้วรวมตัวกันในพริบตา กลายเป็นอักขระยันต์ยักษ์ขนาดสองสามหมู่
ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ อักขระยันต์เริ่มค่อยๆ ชัดเจนขึ้น และกลายเป็นของจริง!
แต่ในช่วงเวลาที่สำคัญนั้น เหนือเพลิงเมฆาพลันมีสายฟ้าดังสนั่นขึ้น เมฆสีดำรวมตัวกันกลางอากาศ คาดไม่ถึงว่าจะมีมังกรวารียักษ์สีดำปรากฏขึ้นรางๆ มันแยกเขี้ยวตะปบเล็บ คาดไม่ถึงว่าแค่ปะหน้าก็ฉีกทึ้งเงาร่างห้าสีที่ไม่อาจขยับได้
จากนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังสนั่นขึ้น!
ประจุไฟฟ้าสีเงินหนาๆ สายหนึ่งปรากฏขึ้นบนผิวของมังกรวารี ตัดสลับกันไปมา ไม่น่าตกตะลึงได้อย่างไร!
“คาดไม่ถึงว่ามีเก้าสิบเอ็ดตัว ช่างน่าเหลือเชื่อนัก! ข้าจำได้ว่าก่อนหน้านี้ที่ท่านอาวุโสผู้นั้นฟาดเคราะห์ระดับขั้นปลาย ก็ดึงดูดมังกรวารีอัสนีมาแค่สามสิบหกตัวเท่านั้น เคราะห์ระดับขั้นปลายของสหายหานคาดไม่ถึงว่าจะดึงดูดมาจำนวนมากเพียงนี้ นี่มันจะน่าเหลือเชื่อเกินไปหน่อยกระมัง!” ภิกษุจินเย่ว์มองจนมาถึงตรงนี้ ก็อดที่จะร้องอุทานออกมาเบาๆ ไม่ได้
ชายชราผมสีเงินเห็นสถานการณ์เช่นนั้น แววตาก็ฉายแววตกตะลึง แต่ปากกลับเอ่ยออกมาอย่างเย็นชา
“เคราะห์ระดับขั้นปลายที่ร้ายกาจเช่นนี้ ไม่รู้ว่าสหายหานจะรับมืออย่างไร หากทำไม่ดี ไม่เพียงจะไม่อาจทะลวงระดับขั้นปลายได้ กลับทำให้ตนสูญเสียปราณแท้ น่าเสียดายที่เคราะห์สวรรค์นี้คนภายนอกไม่อาจยื่นมือเข้าแทรกได้ มิเช่นนั้นมีพวกเราคอยช่วยเหลือ สหายหานอาจจะยังมีหวังก็เป็นได้”
ชายชราดูเหมือนว่าจะมั่นใจแล้วว่าหานลี่ไม่อาจข้ามเคราะห์สวรรค์ครั้งนี้ได้!
“พี่กู่อย่าเพิ่งกังวลใจนัก ในเมื่อสหายหานเลือกที่จะทะลวงจุดคอขวดขั้นปลายในยามนี้ คิดดูแล้วคงมีความมั่นใจแน่ พวกเราดูก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด” ภิกษุจินเย่ว์สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ดูเหมือนว่าเพื่อเป็นการยืนยันคำพูดของภิกษุ พลันมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นกลางวันแสกๆ!
สายฟ้าสีทองหนาเท่าถังน้ำยี่สิบสามสิบสายพุ่งแหวกอากาศลงมาด้านล่าง เปล่งแสงสว่างวาบแล้วทะลวงผ่านอักขระยันต์เพลิงเมฆา โจมตีไปที่ร่างของมังกรวารียักษ์สีดำเหล่านั้น
เสียงอึกทึกพลันดังขึ้น!
ทุกแห่งที่ลำแสงสีทองกวาดผ่านไป ร่างอันใหญ่โตของมังกรวารีสีดำมีรูขนาดใหญ่ ผิวมีประจุไฟฟ้าสีเงินรายล้อมอยู่ ถูกลำแสงสีทองดูดเข้าไปจนเกลี้ยงราวกับมังกรกลับท้องทะเล หากไม่ใช่เพราะลำแสงสีทองแค่ยืนหยัดได้ชั่วครู่ก็สลายหายไป เกรงว่ามังกรวารีเหล่านี้คงจะถูกโจมตีจนแหลกสลายไปจริงๆ
แต่การเคลื่อนไหวของลำแสงสีทองนี้ทำให้มังกรวารีเหล่านั้นโกรธขึ้ง
มังกรวารีสีดำทั้งหมดร้องคำรามต่ำๆ ออกมา รอบๆ มีพายุและเมฆาปรากฏขึ้น หมอกจำนวนนับไม่ถ้วนมารวมตัวกันบนร่างกายที่ถูกทำลาย แล้วฟื้นฟูกลับมาเป็นดังเดิม
ฝูงมังกรวารีอ้าปากออกอีกครั้ง พายุสีเทาทะลักออกมาแล้วม้วนไปด้านล่าง
เมฆาเพลิงด้านล่างถูกพายุม้วนเข้าไป คาดไม่ถึงว่าจะเสียง “ครืดๆ” แล้วลุกไหม้
เพลิงอาศัยพลังวายุ วายุอาศัยพลังเพลิง เพลิงวายุตัดสลับกันไปมา กลายเป็นทะเลเพลิงความกว้างร้อยลี้เศษ และกดลงมาจากกลางอากาศ
ทะเลเพลิงยังไม่ทันได้ร่อนลงมาจริงๆ อากาศด้านล่างก็ถูกสาดสะท้อนจนเป็นสีแดงก่ำ ราวกับเผาไหม้ห้วงเวลาทั้งหมด
ภิกษุจินเย่ว์และชายชราผมสีเงินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็อดที่จะหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้
จากความกว้างของเพลิงชนิดนี้ หากผู้ที่ฟาดเคราะห์สวรรค์รับไม่ไหวจนกระทบผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ จำนวนมาก เกรงว่าคงเหนือกว่าที่คนทั่วไปคิดเอาไว้
ผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่นๆ ที่อยู่รอบๆ ก็สูดลมหายใจอย่างเย็นยะเยือกเช่นกัน
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าเคราะห์สวรรค์เพิ่งจะเริ่มขึ้น คาดไม่ถึงว่าจะมีอานุภาพยิ่งใหญ่เพียงนี้
มั่นใจว่าหากเปลี่ยนเป็นตนเอง เกรงว่าเพลิงสวรรค์ระลอกนี้คงเพียงพอจะทำให้พวกเขากลายเป็นฝุ่นควัน
ใจกลางที่ทะเลเพลิงร่อนลงมา ก็คือหอคอยหินที่หานลี่ใช้กักตน
แม้ว่าหอคอยนี้จะมีเขตอาคมป้องกัน แต่หากถูกทะเลเพลิงกดลงมา แน่นอนว่าย่อมมีเพียงแต่ต้องหอคอยทลายคนสิ้นชีพ
ในยามนั้นเองลำแสงสีเงินก็เปล่งแสงสว่างวาบเหนือหอคอย จากนั้นเสียงเพรียกไพเราะก็ดังขึ้น เปลวเพลิงสีเงินหมุนวนแล้วปรากฏขึ้นท่ามกลางลำแสงวิญญาณ หมุนวนแล้วกลายเป็นวิหคยักษ์ตัวหนึ่งที่มีขนนกสีเงิน
ยามแรกวิหคเพลิงตัวนี้มีขนาดแค่สองสามจั้ง แต่หลังจากสยายปีกทั้งสองข้างออก เปลวเพลิงสีเงินก็ทะลักขึ้นมาสิบจั้งเศษ กลายเป็นสิ่งมหึมาที่รูปร่างใหญ่กว่าเดิมร้อยเท่า และกระโจนไปหาทะเลเพลิง
เสียงอึกทึกดังขึ้น!
เมื่อวิหคสีเงินและทะเลเพลิงสัมผัสกันก็จมหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ครู่ต่อมาทะเลเพลิงก็ปะทุขึ้นมา
ทะเลเพลิงสีแดงสดราวกับถูกพลังที่ไม่อาจต้านทานได้ดึงดูดไป ทยอยกันจมหายไปในวิหคเพลิงขนาดยักษ์ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วสลายหายไปอย่างรวดเร็ว
ภายในระยะเวลาสั้นๆ ทะเลเพลิงก็ลดลงหนึ่งในห้าส่วน
และจากความเร็วนี้ ทะเลเพลิงพลันสลายหายไปในพริบตา
แต่ไม่รอให้ถึงยามนี้มังกรวารีสีดำกลับสะบัดหัวสะบัดหางแล้วอ้าปากออกอีกครั้ง
ครั้งนี้กลับมีไอสีขาวพวยพุ่งลงมาจากกลางอากาศ
ไอสีขาวเหล่านี้ดูเหมือนจะธรรมดา แต่เมื่อไอเย็นเยียบสลายออกกลางอากาศ กลับกลายเป็นกรวยน้ำแข็งแวววาวยาวสิบจั้งเศษ ปลายแหลมคมหาที่เปรียบ ตัวเป็นสีสันแวววาว! ทว่าไม่รอให้กรวยน้ำแข็งเหล่านี้ร่อนลงมาจริงๆ ภายในหอคอยหินด้านล่างกลับมีเสียงกรีดร้องของภูตผีดังขึ้น จากนั้นหัวกะโหลกขนาดเท่าล้อรถห้าล้อก็บินออกมา อ้าปากออกพ่นเปลวเพลิงเย็นเยียบห้าสีออกมากลายเป็นน้ำตกหิมะน้ำแข็ง
เมื่อกรวยน้ำแข็งถูกเปลวเพลิงเย็นเยียบห่อหุ้มเอาไว้ ก็ทยอยกันละลาย ถูกทำให้กลับมาเป็นไอวิญญาณบริสุทธิ์ดังเดิม และถูกเปลวเพลิงเย็นเยียบห่อหุ้มจนสลายหายไป การโจมตีอย่างต่อเนื่องสองครั้งถูกทำลาย มังกรวารีสีดำเหล่านั้นกลับไม่แยแส ร่างกายบิดเบี้ยว คาดไม่ถึงว่าจะทยอยกันส่งเสียงดังสนั่นแล้วระเบิดตัวเองออกในครู่ต่อมา
ร่างกายที่ปริแตกของพวกมันแค่กะพริบวาบ ก็กลายเป็นก้อนหินยักษ์ขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากันจำนวนนับไม่ถ้วน
เล็กน้อยมีขนาดไม่ถึงศีรษะ ใหญ่หน่อยกลับมีขนาดพันจั้ง ราวกับภูเขาขนาดย่อมก็ไม่ปาน ภายใต้การทุบลงมาของหินยักษ์จำนวนมาก ราวกับท้องฟ้าถล่มดินทลายก็ไม่ปาน ทำให้ผู้บำเพ็ญเพียรธรรมดาๆ ที่อยู่ในวงล้อมหินพลันหน้าถอดสี
ภายในห้องลับชั้นที่ลึกที่สุดของหอคอยหินด้านล่าง เงาร่างคนสายหนึ่งกำลังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่บนฟูกสีเหลือง
ไอวิญญาณบนเรือนร่างของเขาเดือดพล่านไม่หยุด ใบหน้าแดงก่ำ จอนผมร้อนฉ่า ราวกับอยู่ในด่านที่สำคัญมาก
ตรงหน้าของเขามียอดเขาสีเขียวและดำสูงสองสามจั้งเรียงรายอยู่ เหนือศีรษะมีกระบี่เล่มเล็กสีเขียวอีกเจ็ดสิบสองเล่มกลายเป็นกระบี่สีเขียววนล้อมรอบเขาไปมา
อักขระยันต์สีดำที่อยู่บนเรือนร่างหมุนวนไปมา ปกคลุมเกราะสงครามสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกเอาไว้รางๆ
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดก็คือภายใต้การล้อมรอบด้วยสมบัติอาคมป้องกันตัวจำนวนมาก ทุกแห่งกลับเต็มไปด้วยสีเทา ทุกตัวมีขนาดเท่าหัวแม่มือ แต่ล้วนแผ่นกลิ่นอายเย็นเยียบ และส่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา