คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 1999 สัญลักษณ์หยินหยาง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 1999 สัญลักษณ์หยินหยาง
ทว่าเขาในตอนนี้ สูญเสียพลังยุทธ์ทั่วร่างไปกว่าครึ่ง พลังการต่อสู้ลดลงจนถึงจุดต่ำสุด จึงไม่สนใจอีกว่าที่นี่ยังอยู่ในสนามรบ ยกมือขึ้นเสกอาสนะสีเหลืองหม่นออกมา แล้วนั่งขัดสมาธิบนนั้น
หานลี่ทำท่าร่ายอาคมด้วยสองมือ แล้วหลับตาลง โคจรพลังปราณ
ยาลูกกลอนที่กลืนลงไปเมื่อครู่ แม้ทำให้เขารอดพ้นจากอันตรายของพลังสะท้อนกลับ แต่การเร่งรัดเช่นนี้ ย่อมไม่สามารถหลอมเก็บฤทธิ์ยาอันน่าสะพรึงกลัวที่สะสมอย่างกะทันหันไว้ในร่างกาย
แต่ถ้าไม่รีบพยายามกดฤทธิ์ยาไว้ ผลลัพธ์ย่อมมิอาจจินตนาการได้
ดีที่รอบด้านมีค่ายกลคาถาพิทักษ์อยู่ พออสูรมิคาทนวาบร่าง ก็ปรากฏขึ้นข้างกาย คุ้มครองเขาใหม่ จึงไม่ต้องกังวลกับการรบกวนที่ไม่คาดคิดชั่วขณะ
ผ่านไปพักใหญ่ ร่างของหานลี่ก็เปล่งแสงโทนร้อนสีทองออกมาชั้นหนึ่ง ก่อนไหลเวียนช้าๆ ไม่หยุด
หานลี่ในกาย แปลงร่างเป็นแสงสีทองราวกับเทพสงครามที่ไม่ขยับเขยื้อน
ทันใด สองมือที่ทำท่าร่ายอาคมพลันเปลี่ยน นิ้วมือดุจติดล้อ ดีดออกจากทรวงอกติดต่อกัน
เสียงดังแหวกอากาศ ด้ายสีเงินบางๆ สิบกว่าเส้นวาบขึ้นแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ซึ่งก็คือเข็มเงินที่บางดุจเส้นผมสิบกว่าอัน ถูกเขาร่ายอาคมเข้าสู่ร่างกาย แล้วหยิบยืมพลังแห่งศาสตร์ลับ สกัดจุดอันตรายบางจุดในเส้นชีพจรไว้ พอแขนเสื้อข้างหนึ่งสะบัด ก็มียันต์หลากสีอีกสิบกว่าแผ่นพุ่งออก
หลังจากนั่งสมาธิสักพัก ยันต์ก็พุ่งเข้าไปในร่างหานลี่
เสียงดัง ‘พรึ่บๆ’ ไม่กี่ครั้ง
ยันต์เหล่านี้กลายเป็นเปลวแสงหลายกลุ่มระเบิดออก กลายเป็นเงาร่างอักขระยันต์ขนาดใหญ่สิบกว่าตัว แต่ละตัววาบหายเข้าไปในร่างหานลี่
เสียงทึบตันดัง พอแสงสีทองอ่อนบนใบหน้าม้วน พลังปราณในร่างก็ขยายขึ้นเล็กน้อย ก่อนคืนกลับสู่ความเสถียรทันที
รออีกสักพัก หลังจากเขาพ่นลมหายใจเบาๆ ออกมา ก็ลืมตาขึ้นได้ในที่สุด
“นับว่ากดไว้ได้ชั่วคราว ไม่รู้ว่าสถานการณ์อีกด้านหนึ่งเป็นอย่างไร หวังว่าคงไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันกับท่านทั้งสอง” หานลี่เก็บอาสนะ แล้วลุกขึ้นยืนทันที ก่อนงึมงำเสียงเบาสองประโยค
เขากะพริบตา และกวาดตามองไปยังทิศทางหนึ่ง
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด พวกพระอาจารย์จินเยว์น่าจะกำลังต่อสู้อย่างดุเดือดกับร่างอวตารบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเซวี่ยกวงอยู่
หลังจากครุ่นคิดสักพัก ขณะหานลี่กำลังจะขยับ ท้องฟ้าพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ตามด้วยเสียงดังสนั่น
หวั่นไหวราวกับเขาถล่มดินทลายก็มิปาน!
ท้องฟ้ากับม่านแสงโดยรอบแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ในพริบตา ค่ายกลช่องว่างทั้งหมดถูกใครบางคนใช้สุดยอดอิทธิฤทธิ์จู่โจมอย่างหนักจนแตกออก
พอร่างของผู้บำเพ็ญเพียรสามสิบหกคนโงนเงน ก็ทยอยกันวาบออกจากที่ว่าง บ้างกระอักโลหิต บ้างแขนขาระเบิดออกเอง อุปกรณ์สร้างค่ายกลที่วางอยู่ตรงหน้าสลายตัวไปในอากาศภายใต้พลังสะท้อนกลับ
หานลี่หน้าเปลี่ยนสี มองนิ่ง พลันเหลือบมองไปยังที่ที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นใกล้ๆ
เห็นเพียงที่นั่นกลับมีโครงกระดูกยักษ์สีแดงใสตลอดตัวกำลังคำรามเสียงต่ำพลางเข่นฆ่าตามอำเภอใจ
โครงกระดูกยักษ์ตนนี้สูงราวร้อยกว่าจั้ง กลายร่างในสภาพสามเศียรหกกร โดยในมือใหญ่ทั้งหกแต่ละข้างยังจับอาวุธแบบไม้พลองสีดำไว้ด้วย
พออาวุธอาคมทั้งหกแกว่งไกวพร้อมกัน ก็เกิดลมอาคมเป็นระลอก ในไอสีดำคลับคล้ายมีดาบและหอกนับไม่ถ้วนม้วนตัวพุ่งออกมา
เหนือศีรษะอันใหญ่โตของโครงกระดูก หนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตทำท่าร่ายอาคม มือข้างหนึ่งยกตราประทับสีดำอันใหญ่ ยืนอยู่ตรงนั้น หลับตาทั้งสองข้าง คล้ายกำลังกระตุ้นโครงกระดูกที่อยู่ด้านล่างอย่างสุดกำลัง
ฝั่งตรงข้าม ชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์ทั้งสองกลับมีสภาพสะบักสะบอมสุดๆ
คนหนึ่งจีวรสีทองบนร่างขาดวิ่น ทรวงอกมีรอยฝ่ามือสีโลหิตอันน่าตื่นตระหนกที่ลึกราวครึ่งศอกเพิ่มขึ้นหนึ่งรอย คล้ายซี่โครงครึ่งหนึ่งกลายเป็นผุยผงหมด แต่อย่างไรก็ไม่มีคราบโลหิตไหลออกมา
อีกคนมวยผมเหนือศีรษะหลวม ผมแผ่กระจายลงมา สีหน้าซีดขาวยิ่ง พัดขนนกเจ็ดสีในมือเปล่งแสงสลัวๆ
ทั้งสองมีสมบัติวิเศษลอยวนอยู่รอบตัวหลายชิ้น กลายเป็นม่านแสงปกป้องพวกเขาไว้ด้านใน ทว่าภายใต้การจู่โจมของลมอาคมนั่น สมบัติวิเศษกลับโยกเยกไปมาและกะพริบถี่ไม่หยุด มีวี่แววว่าจะร่วงหล่นลงแบบต้านไม่อยู่ทุกขณะ
โครงกระดูกสีโลหิตกลับมีพลังอันน่าสะพรึงขนาดนี้ เห็นชัดว่าที่ว่างต้องห้ามเมื่อครู่ก็ถูกมันจู่โจมอย่างหนักจนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ทั้งหมดนี้หานลี่มองออก แววตาจึงเคร่งขรึมลง
ร่างอวตารบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเซวี่ยกวงท่านสุดท้ายนี้ ดูมีพลังมากกว่าที่คาดคิดไว้มาก
แต่ใบหน้าของเขากลับไม่แสดงความรู้สึกแม้แต่น้อย เพียงขยับฝ่ามือในแขนเสื้อข้างหนึ่งเล็กน้อย
ทันใด แสงวิญญาณสว่างวาบ สิ่งหนึ่งถูกนิ้วทั้งห้าจับไว้ในมือ
การหายไปของที่ว่างต้องห้าม ย่อมทำให้คนทั้งสามที่กำลังต่อสู้กันที่ฝั่งนั้นเห็นสถานการณ์ในฝั่งของหานลี่ได้อย่างชัดเจน
อาการของทั้งสามแตกต่างกันยิ่ง
ชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์ล้วนปีติยินดีทวีคูณ
ส่วนหนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตกลับแสดงท่าทีสงสัยไม่เลิก
ต้องรู้ว่า ตั้งแต่พวกเขากับหานลี่และชายฉกรรจ์เผ่ามารแยกออกจากกันจนถึงตอนนี้ เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ทว่าหานลี่กำลังยืนอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัย แต่กลับไม่เห็นเงาของชายฉกรรจ์เผ่ามารแต่อย่างใด
หนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตน่าจะรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจของชายฉกรรจ์เผ่ามาร โดยต่อให้ร่างเดิมของตนลงมือเอง ก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าจะจู่โจมสังหารได้ ในใจย่อมไม่เชื่ออย่างเด็ดขาดว่า หานลี่จะสังหารชายฉกรรจ์เผ่ามารได้ในระยะเวลาอันสั้น จึงพลันกะพริบตา กวาดตามองไปมาไม่หยุด
“สหายหาน รีบลงมือเร็ว พวกเรามารวมพลัง กำราบมารร้ายตนนี้ด้วยกัน เอ๋ เหตุใดพลังปราณของสหายถึงอ่อนลงเช่นนี้ ไม่ดี…”
หนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตใช้พลังจิตกวาดตามองฝั่งของหานลี่อยู่หลายรอบ พอไม่รู้สึกถึงพลังปราณของชายฉกรรจ์เผ่ามาร อาวุธในมือโครงกระดูกสีโลหิตด้านล่างก็เปลี่ยนทิศทางทันที พุ่งจู่โจมไปยังที่ว่างที่หานลี่อยู่
ลมอาคมสายหนึ่งพัดออกพร้อมเสียงดังฟู่ ในลมสีดำที่พัดแรง วาบแสงเย็นยะเยียบ คลับคล้ายอาวุธอาคมหลากชนิดกำลังกลายร่างอยู่ ซึ่งมีทั้งดาบและหอกกว่าพันชิ้น
เห็นชัดว่าร่างอวตารบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ท่านนี้พบความอ่อนแอในพลังปราณของหานลี่เช่นกัน จึงคิดร้ายขึ้น จู่โจมแรงๆ ใส่หานลี่อย่างไม่สนใจใดๆ
จากพลังอันน่าตกใจที่เปล่งออกมาการจู่โจมระลอกนี้ ถ้าหานลี่แข็งใจรับ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยจริงๆ
แต่ใบหน้าของเขากลับไม่มีแววลนลานแม้แต่น้อย เพียงโยนของสิ่งหนึ่งในแขนเสื้อให้ลอยขึ้น
ทันทีที่โยน เสียงร้องแปลกๆ ก็ดังมา วงแหวนสีดำสนิทวงหนึ่งปรากฏ แล้วดอกไม้สีทองนับไม่ถ้วนก็ผุดออกจากด้านใน
พอดอกไม้สีทองเหล่านี้ลอยวนอยู่กลางอากาศ ก็กลายเป็นแมลงปีกแข็งสีทองขนาดเท่ากำปั้นตัวแล้วตัวเล่า ในแสงกะพริบที่ขยายออกอย่างรวดเร็วไม่หยุด
มีกว่าหมื่นตัวเห็นจะได้
ทุกตัวล้วนเปล่งแสงสีทองอร่าม ท่าทางดุร้ายยิ่ง ซึ่งก็คือแมลงกลืนทองตัวเต็มวัยเหล่านั้น
แม้ร่างเลือดเนื้อของหานลี่ มีพลังยุทธ์ไม่เพียงพอ แต่พลังจิตอันแข็งแกร่งกลับไม่ลดลงแต่อย่างใด การปลุกเสกแมลงกลืนทองเหล่านี้ในตอนนี้จึงยังทำได้สบายๆ
ซึ่งพอเขาร่ายอาคม แมลงกลืนทองพลันส่งเสียงดังหึ่งๆ แล้วกลายเป็นเมฆสีทองผืนหนึ่ง ขวางอยู่ตรงหน้าหานลี่
จากนั้นหานลี่ก็จิ้มนิ้วๆ หนึ่งลงไปในที่ว่าง เมฆหมอกสีทองควบแน่น กลับกลายเป็นโล่ขนาดใหญ่เปล่งแสงสีทองเจิดจ้า
ขณะนั้น ลมอาคมที่อยู่ไกลออกไปก็ม้วนตัว ห่อหุ้มอาวุธจำนวนนับไม่ถ้วนไว้ จู่โจมเข้าใส่โล่
‘บึ้ม’ เสียงดังกึกก้องติดต่อกัน ผิวโล่ที่แข็งแกร่งอยู่เป็นทุนเดิม เกิดเสียงระเบิดแตก เหมือนพลังลมอาคมที่พัดโหมกระหน่ำมา ถูกขวางไว้ได้ในทันที
พอหนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตในระยะไกลเห็นดังนี้ หน้าจึงเปลี่ยนสีเล็กน้อย ขณะยังไม่ทันใช้อิทธิฤทธิ์ใดๆ หานลี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกลับยกมือขึ้นจิ้มมาทางนี้ พลางเปล่งเสียงต่ำๆ ออกมาคำหนึ่ง “ไป”
เสียงดัง ‘ปัง’
โล่สีทองแยกออกจากกัน แมลงปีกแข็งกว่าหมื่นตัวพุ่งออกมาทันทีพร้อมเสียงดังหึ่งๆ กลายเป็นเมฆสีทองผืนหนึ่งเดือดพล่านเข้าใส่ หลังจากม้วนตัวไม่กี่รอบ ก็มาอยู่ด้านหน้าใกล้ๆ กับโครงกระดูกสีโลหิต
“แย่แล้ว ฝูงแมลงกลืนทอง!”
พอหนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตกวาดตามองฝูงแมลงอยู่หลายรอบ พลันนึกอะไรขึ้นได้ หน้าจึงถอดสีพลางคำรามเสียงดังลั่น
จากนั้นโครงกระดูกด้านล่างก็ควงอาวุธอาคมในมือไม่กี่ที แล้วขว้างออกไปแรงๆ พอวาบก็กลายเป็นงูหลามยักษ์สีดำหกตัว พุ่งเข้าฉกเมฆแมลง
ส่วนตัวหนุ่มน้อยชุดแดงโลหิต สองเท้ารีบเหยียบโครงกระดูกด้านล่าง พอพายุสีแดงโลหิตพัดขึ้น เขาก็ม้วนตัวเองพร้อมโครงกระดูกเข้าไปด้านใน รุดหนีไปให้ไกลอย่างรวดเร็ว
เสียง ‘ตูมตาม’ ดังลั่นสองสามครั้ง
พองูหลามยักษ์สีดำหกตัวพุ่งเข้าไปในเมฆแมลงสีทอง หลังจากกะพริบแสงเพียงสองสามครั้ง ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
ซึ่งพอร่างฝูงแมลงนิ่งค้าง ก็กลายร่างเป็นนกอินทรียักษ์สีทองตัวหนึ่งทันที พอกระพือปีกทั้งสองข้าง พลันกลายเป็นเส้นแสงสีทองหนาทึบเส้นหนึ่ง ไล่ตามพายุสีโลหิตไปด้วยความเร็วเหนือคาดหมาย
ชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์เห็นทั้งหมดนี้ ย่อมแสดงท่าทางประหลาดใจก่อน ดีใจทีหลัง
“รีบใช้ของสิ่งนั้นเถิด ตอนนี้เป็นโอกาสเหมาะ!” ชายชราผมสีเงินพลันพูดเสียงต่ำ
“อาตมาก็กำลังคิดเช่นนี้” แววตาภิกษุจินเย่ว์เย็นวาบ เห็นด้วยอย่างไม่ลังเลใจ
พอทั้งสองสบตากัน ก็พลันพลิกฝ่ามือขึ้นพร้อมกัน ต่างคนต่างหยิบผ้าแพรครึ่งผืนออกมาอย่างระมัดระวัง
ผ้าแพรผืนนี้เก่าเหลืองสุดๆ บนตัวผ้าพิมพ์อักขระยันต์สกปรกจำนวนหนึ่งไว้ สภาพคล้ายขาดรุ่งริ่ง
แต่ผู้เฒ่าและภิกษุกลับให้ความสำคัญกับของในมือสุดๆ พอหยิบออกมา ก็รีบท่องคาถาอย่างขึงขัง ก่อนเสกผ้าแพรไปยังทิศที่หนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตหนีไป
แสงสีเทาสองกลุ่มพุ่งขึ้นฟ้า หลังจากวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ก็ไปรวมกันเป็นหนึ่งเดียวตรงกลาง กลายเป็นสัญลักษณ์หยินหยางสีเทาขุ่น ก่อนวาบหายไปกลางอากาศ
เป็นเหตุให้ฟ้ามืดลงฉับพลัน เมฆดำนับไม่ถ้วนโผล่ขึ้นกลางอากาศในพริบตา ตามด้วยเสียงฟ้าร้อง ภายใต้เมฆหมอกส่วนหนึ่ง เงาร่างสัญลักษณ์หยินหยางที่คล้ายเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งได้ตกลงมาจากฟากฟ้า พลันปกคลุมพื้นที่ด้านล่างขนาดพันหมู่ไว้ทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นหนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตที่กำลังจะทะยานตัวหนี หรือเงาร่างอื่นๆ ของเหล่ามารในสนามรบ ล้วนรู้สึกว่าร่างกายจมลง ทำให้รูปกายนิ่งค้างเชื่องช้าลง
ทว่าข้อจำกัดนี้ ไม่สามารถทำอะไรมารระดับหัวหน้าเหล่านั้นได้เลย พวกเขาแม้ตกใจ แต่เพียงเพิ่มกำลังภายใน ก็ต้านทานได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนหนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตก็ยังคงหมุนตัวออกไปภายใต้การม้วนตัวของลมโลหิตที่อยู่ใกล้ๆ โดยไม่ลด
ความเร็วในการหลบหนีลงแม้แต่น้อย
แต่ในตอนนี้เอง ชายชราผมสีเงินกับภิกษุจินเย่ว์กลับขยับมือทั้งสองข้างขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างจริงจัง พลางท่องคาถาขึ้นพร้อมกัน
เสียงคาถาอันลึกล้ำดังสะท้อนไปมาทั่วท้องฟ้าเหนือสนามรบไม่หยุด
ถัดมา เงาร่างสัญลักษณ์หยินหยางขนาดใหญ่พลันวาบแสง แล้วหดตัวลงเหลือราวหนึ่งหมู่ โดยมีหนุ่มน้อยชุดแดงโลหิตเป็นจุดศูนย์กลาง
อักขระยันต์ห้าสีจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุออกจากในนั้น สัญลักษณ์หยินหยางพลันกลายเป็นแสงสว่างจ้า ราวกับกลายเป็นแสงอย่างสมบูรณ์ก็มิปาน