คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2042 หนูสีทอง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2042 หนูสีทอง
โอ้ ตระกูลไป๋ก็มีบรรพชนที่เชี่ยวชาญวิชาหลอมร่างด้วยรึ! แต่ไม่รู้ว่าเป็นผู้ใดในตระกูลไป๋ หากเป็นจริงดังนั้น ผู้แซ่หานอยากเข้าพบสัก หานลี่หัวใจเต้นแรงเมื่อได้ยิน พร้อมทั้งถามด้วยสีหน้าสนใจ
บรรพชนตระกูลไป๋ผู้นี้มีชื่อเสียงอยู่เล็กน้อยในแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาฝึกเคล็ดวิชาอสูรหลอมสวรรค์จนถึงขั้นสูงสุดแล้ว และอยู่ห่างจากระดับบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เพียงก้าวเดียว เขาได้รับการเรียกขานว่าคฤหัสถ์ฟู่เทียน ไม่ทราบว่าสหายหานเคยได้ยินหรือไม่ ไป๋อวิ๋นซินกล่าวด้วยรอยยิ้ม
เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินชื่ออาวุโสฟู่เทียน แต่ถ้าหากฝึกวิทยายุทธ์หลอมร่างถึงขั้นนั้นได้ การได้รับการชี้แนะต้องเป็นโอกาสที่ดีแน่นอน เอาอย่างนี้แล้วกัน ครั้งนี้ข้าออกเดินทางมาเพื่อท่องเที่ยวรอบโลก ข้าจะเดินทางไปเมืองฮ่วนเย่กับสหายด้วย หวังว่าจะได้พบกับอาวุโสตระกูลไป๋ แต่ไม่รู้ว่าสหายวางแผนจะกลับตระกูลเมื่อไร ถ้าหากล่าช้าเกินไป เกรงว่าจะลำบาก หานลี่ตอบอย่างสุขุมหลังจากครุ่นคิดสักพัก
สหายหานโปรดวางใจ พวกเรามาไกลถึงดินแดนรกร้างเพื่อผลวิญญาณม่วง วันนี้ผลไม้วิญญาณได้อยู่ในมือพวกเราแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่ต่ออีก เพียงแค่พักผ่อนสักสองสามวัน ฟื้นฝูพลังยุทธ์ของท่าน พวกเราก็สามารถออกเดินทางได้ ไป๋อวิ๋นซินตอบด้วยความยินดี
หานลี่พยักหน้าด้วยความสบายใจเมื่อได้ยินเช่นนั้น และไม่พูดสิ่งใดอีก
ต่อมา ภายใต้การค้นหาของมารระดับหลอมสุญตาทั้งสาม ก็พบเขาเล็กๆ ที่มั่นคงอยู่ใกล้ๆ จากนั้นจึงทำการเปิดถ้ำพำนักชั่วคราว เพื่อให้ทุกคนได้พักผ่อน
ห้าวันต่อมา หลังจากพลังยุทธ์ของคนตระกูลไป๋ฟื้นฟูแล้ว จึงปล่อยเรือบินขนาดให้มีความยาวราวสิบกว่าจั้ง บรรทุกเผ่ามารทุกคนและหานลี่กลับเมืองฮ่วนเย่
……
หลายเดือนต่อมา เหนือชายขอบพื้นที่รกร้างบนผืนทรายสีเหลือง มีเผ่ามารระดับก่อกำเนิดเจ็ดคน แบ่งเป็นสองฝ่ายและต่อสู้กันบนท้องฟ้า
สามคนในนั้นสวมชุดคลุมสีเหลือง กระตุ้นมีดสีดำสามเล่มและพ่นเปลวเพลิงสีดำออกมา
อีกสี่คนสวมชุดคลุมสีขาว พร้อมทั้งปล่อยกระบี่บินสีขาวใสแวววาวออกมาสี่เล่ม บินโฉบไปมา และยังปล่อยเกล็ดหิมะออกมา
เปลวเพลิงมารหมุนวนไปมาเข้าพัวพันกับปราณเย็นยะเยือก บางครั้งก็ระเบิดออกจากกัน
ในเวลานี้ เผ่ามารทั้งเจ็ดต่อสู้กันอย่างยากที่จะแยกออก และกีดขวางเส้นทาง
บนพื้นทรายใกล้ๆ มีซากศพอสูรมารที่คล้ายกับหนูยักษ์ ขนาดใหญ่ราวสิบจั้ง ขนสีทอง ในแวบแรกที่มองมันไม่เหมือนอสูรมารทั่วไป
เห็นได้ชัดว่ามารทั้งเจ็ดพยายามอย่างมากเพื่อซากศพของอสูรมารตัวนี้
เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเอาชนะได้ ชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาว จึงส่งเสียงออกมาอย่างเย็นชา ทันใดนั้นจึงตบกระเป๋าหนังที่เอวของเขา
ภายในพริบตามีปราณสีดำพวยพุ่งออกมา จากนั้นจึงกลายเป็นสิงโตสองหัวยืนสง่างาม
อสูรมารตัวนี้มีสีดำสนิท สูงห้าหกจั้ง สองหัวอ้าปากขึ้นพร้อมกัน แผดเสียงดังก้องในอากาศ จากนั้นใบมีดสีดำนับไม่ถ้วนก็พุ่งออกมา
หลังจากที่ใบมีดทั้งสามถูกจู่โจม ทันใดนั้นจึงเกิดความบ้าคลั่ง กระบี่บินทั้งสี่เล่มถูกสายลมบดขยี้
ราชสีห์ฝันร้าย! เจ้าโจรหนิง เจ้ากล้านำอสูรวิญญาณผู้พิทักษ์ในตระกูลออกมาเชียวหรือ หากเกิดความเสียหายไม่กลัวว่าร่างกายจะถูกสุมด้วยเปลวเพลิงมารหรือ มารในชุดคลุมสีเหลืองทั้งสาม ตกใจเมื่อเห็นสิงโตสองหัว และชายชราหนวดเครายาวหนึ่งในนั้นก็ดุด่าอย่างรุนแรง
ฮ่าๆ กับคนไร้ประโยชน์ทั้งสามของตระกูลไป๋ จะทำร้ายอสูรวิญญาณผู้พิทักษ์ของตระกูลหนิงได้หรือ หากพวกเจ้ายังมีสติ ก็รีบหลีกทางให้ข้าเสีย หนูทองตัวนี้ ข้าต้องเป็นคนได้ไป! ชายหนุ่มในชุดคลุมสีขาวหัวเราะอย่างบ้าคลั่งด้วยเห็นว่าเขามีสิ่งที่เหนือกว่า
เมื่อชายหนวดเครายาวได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของเขาจึงซีดเผือดลงทันที
พี่ใหญ่ สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก พวกเราถอยก่อนเถอะ ชายในชุดคลุมสีเหลืองมวยผมบนหัว พูดกับชายชราหนวดเครายาวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
ข้าติดอยู่ในระดับก่อกำเนิดขั้นปลายมาหลายร้อยปีแล้ว หนูทองตัวนี้เป็นสิ่งที่หายากมาก แก่นมันเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับข้าที่จะฝ่าฟันคอขวดนี้ได้ หวังว่าพี่น้องทั้งสองจะช่วยข้า! หลังจากเรื่องนี้จบสิ้น ข้าจะไม่มีวันลืมพระคุณอันยิ่งใหญ่นี้ สีหน้าของชายชราหนวดเครายาวดูมืดมน และท้ายที่สุดเขาก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
อะไรนะ หรือว่าพี่ใหญ่ต้องการใช้เคล็ดวิชาลับของสำนัก หากทำเช่นนั้น ไม่เพียงแต่ปราณแท้จะได้รับความเสียหาย แต่จะสร้างปัญหาตามมาภายหลังไม่รู้จบ ชายผอมบางในชุดสีเหลืองกลับขัดจังหวะด้วยความประหลาดใจ
หากไม่สามารถไปสู่ระดับเทพแปลงได้ ความตายของข้าจะมาถึง ทำได้เพียงเดิมพันด้วยชีวิตเท่านั้น ชายชรากัดฟันกรอด
ในเมื่อพี่ใหญ่ผู้เช่นนี้ ข้าจะทำอย่างเต็มความสามารถ
ระวังตัวด้วย ข้าจะถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด
หลังจากได้ยินเช่นนี้ มารในชุดคลุมสีเหลืองสองคน ก็อดไม่ได้ที่จะชำเลืองมองกันและกัน และเห็นด้วยอย่างพร้อมเพรียง
ชายชราหนวดคราวยาวกล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ชั่วขณะต่อมา มารในชุดคลุมสีเหลืองทั้งสองก็ก้าวไปข้างหน้า และภายใต้ปราณสีดำบนร่างกายของพวกเขา มีดบินสีดำสองเล่มก็ถูกกระตุ้น เปลวไฟมารพลันพุ่งสูงขึ้น และกลายเป็นงูเหลือมมารที่ดุร้ายสองตัว ร่วมมือกันรับมือการโจมตีของกระบี่บินและราชสีห์ฝันร้ายที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
‘ขวับ’ มีดบินกลายลำแสงสีดำและวนกลับมา และจมหายเข้าไปในร่างของเขาในชั่วพริบตา
ชายชราคว้ากาศด้วยมือทั้งสองพร้อมกัน ทันใดนั้น มีดเรียวเล็กหลายเล่มก็ปรากฏขึ้นระหว่างนิ้วทั้งสิบ หลังจากหายใจเข้าลึกๆ เขาก็สะบัดข้อมือกำลังจะแทงลงไปยังตำแหน่งตันเถียน
แต่ในขณะนั้น จู่ๆ ก็มีแสงวาบที่ปลายขอบฟ้าฝั่งตรงข้าม และดวงแสงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นอย่างประหลาด และกลายเป็นรุ้งยาวที่ฉายแสงไปที่ตำแหน่งของพวกเขา ความเร็วของแสงเร็วเกินกว่าชายชราหนวดเครายาวและคนอื่นๆ จะจินตนาการ
ชายชราตื่นตระหนกในทันใด มือหยุดเคลื่อนไหว พลันรีบหันมองดู
เขาเห็นเรือบินขนาดใหญ่ที่มีความยาวมากกว่าสิบจั้งปรากฏในแสงสีเหลือง และทั้งร่างก็มีแสงประกายอ่อนๆ เมื่อมองแวบแรก ก็รู้ว่ามันไม่ใช่สมบัติวิเศษเหาะเหินแบบที่เผ่ามารธรรมดาจะมีได้
บนหัวเรือมีใครหลายคนยืนอยู่ และยืนชี้มาที่บางสิ่งทางด้านนี้
เรือไม้เหลืองแปดปรารถนาของตระกูล หรือว่าอาวุโสในตระกูลกลับมาจากส่วนลึกของดินแดนรกร้างแล้ว! เมื่อชายชราหนวดเครายาวเห็นเรือขนาดยักษ์ สีหน้าประหลาดใจก็ปรากฏขึ้น
เมื่อมารคนอื่นๆ เห็นภาพนี้ พวกเขาพลันตื่นตระหนกและหยุดการต่อสู้ในทันที
อย่างไรก็ตาม ชายอีกสองคนในชุดคลุมสีเหลืองรู้สึกยินดีเมื่อได้พบ ส่วนมารในชุดคลุมสีขาวทั้งสี่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมองไปยังเรือยักษ์ด้วยใบหน้าตื่นตระหนก
เรือยักษ์ลำนั้นเกิดแสงประกายระยิบระยับ และปรากฏบนท้องฟ้าเหนือเหล่ามาร และหยุดอยู่กลางอากาศด้วยแสงส่องประกาย
จากนั้นมีเสียงผู้หญิงดังออกมาจากเรือยักษ์อย่างเย็นชา พวกเจ้าไม่ใช่สามพี่น้องซีไป๋หมิงบ้านท่านอาเก้าหรอกหรือ เหตุใดถึงมาต่อสู้กับตระหนิงที่นี่
คนที่พูดคือสาวงามที่ยืนอยู่บนหัวเรือ ด้านข้างมีชายหนุ่มอีกคนในชุดคลุมสีเขียวและมารชายระดับหลอมสุญตาอีกสองคน
นั่นคือไป๋อวิ๋นซิน มารระดับหลอมสุญตาตระกูลไป๋ และหานลี่
หลังจากใช้เวลาหลายเดือนในการเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน ในที่สุดพวกเขาก็บินมาจนถึงชายขอบของดินแดนรกร้าง และบังเอิญพบกับเหล่ามารที่กำลังต่อสู้อยู่
ไป๋อวิ๋นซินจำเครื่องแต่งกายทั้งสามคนของตระกูลไป๋ได้ จึงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ที่แท้ก็เป็นท่านป้าสิบสามและท่านลุงสิบห้ากับสิบเจ็ด ไป๋หมิงขอคารวะ คนตระกูลหนิงต้องการช่วงชิงหนูทองของหลานชายทั้งสามไป หวังว่าท่านป้าจะสนับสนุนหลานชาย ชายชราหนวดเครายาวเห็นใบหน้าของไป๋อวิ๋นซินและมารที่อยู่ข้างๆ อย่างชัดเจน เขาจึงวางใจในทันที และรีบคารวะเพื่อทำความเคารพ
อ้อ หนูทอง! อสูรมารตัวนี้หายาก พวกเจ้าสามารถฆ่าอสูรมารตัวนี้ได้ นับเป็นโอกาสที่ดีไม่น้อย พวกเจ้ามาจากตระกูลหนิงใช่หรือไม่ ในเมื่อหลานของข้าเป็นฝ่ายได้อสูรมารนี้มา เหตุใดพวกเจ้าจึงยังพูดพร่ำอยู่ที่นี่อีก รีบไสหัวออกไปเสีย! ไป๋อวิ๋นซินเหลือบมองที่ศพของหนูยักษ์สีทองด้านล่าง จากนั้นมองไปยังมารในชุดสีขาวทั้งสี่ พร้อมทั้งพูดด้วยใบหน้าเย็นชา
เมื่อมารตระกูลหนิงทั้งสี่ได้ยินเช่นนี้ สีหน้าของพวกจึงเขาเปลี่ยนไป
ชายหนุ่มที่เพิ่งปล่อยสิงโตอสูรสองหัวออกมา กำลังอ้าปากราวกับต้องการจะอธิบายบางอย่าง ทว่าปากของเขากลับถูกสหายทั้งสองปิดไว้ พร้อมทั้งลากชายหนุ่มออกไปไกลโดยไม่พูดอะไรสักคำ ไม่กล้าที่จะอยู่ในที่แห่งนี้อีกต่อไป
เมื่อไป๋อวิ๋นซินเห็นฉากนี้ นางไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ทว่านางกลับหันไปหาหานลี่อยู่ข้างๆ และพูดด้วยรอยยิ้มหวาน เพียงเรื่องเล็กน้อยของอนุชน ทำให้สหายหานหัวเราะเยาะแล้ว ตอนนี้เรามาถึงชายแดนของดินแดนรกร้างแล้ว หมายความว่าระยะทางจากเมืองฮ่วนเย่นั้นใกล้เข้ามาแล้ว เดิมเมืองฮ่วนเย่นั้นถูกสร้างขึ้นระหว่างทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวและพื้นที่รกร้าง อีกไม่กี่เดือน พวกเราสามารถกลับเข้าเมืองได้
หากเป็นอีกไม่กี่เดือน ก็นับว่าเร็วมาก แต่นอกเหนือจากเมืองฮ่วนเย่แล้ว ผู้แซ่หานยังสนใจทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวมาก ได้ยินมาว่าทะเลทรายแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามที่มีชื่อเสียงที่สุดในแดนศักดิ์สิทธิ์และมีสิ่งแปลกประหลาดมากมายในนั้น หานลี่ยิ้ม พร้อมทั้งตอบอย่างสุขุม
ฮ่าๆ คิดไม่ถึงว่าสหายหานก็สนใจทะเลทรายฮ่วนเซี่ยวด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม หากไม่ใช่ชาวเมืองฮ่วนเย่ การเข้าไปในทะเลทรายย่อมเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ถ้าสหายหานสนใจจริงๆ ข้าสามารถลงไปด้านล่างเพื่ออธิบายให้สหายฟังได้ ไป๋อวิ๋นซินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ทว่าหลังจากที่สบตากับหานลี่ นางก็ตอบด้วยรอยยิ้มทรงเสน่ห์ในทันที
ท่านเซียนไป๋อธิบายให้ข้าฟังด้วยตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่มิอาจขอได้ หานลี่ไม่ได้ปฏิเสธ ทว่ากลับพูดด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเรือยักษ์เดินทางต่อ หานลี่ตามไป๋อวิ๋นซินไปยังห้องโดยสารใต้ท้องเรือ
ไป๋อิ่นและไป๋อิงชายสองคนจากตระกูลไป๋มองหน้ากันและยิ้มอย่างรู้เท่าทัน
สำหรับชายชราหนาวเครายาว เขารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้แสดงความเคารพต่อเรือยักษ์จากระยะไกล จากนั้นเขาจึงเรียกสหายอีกสองคนให้หยุดลงบนผืนทรายเบื้องล่าง และเริ่มแยกส่วนศพของหนูทอง
ไม่ว่าอสูรมารตัวนี้จะตายด้วยเงื้อมมือของชายชราและคนอื่นๆ จริง หรือถูกฆ่าโดยคนทั้งสี่คนของตระกูลหนิง ก็ไม่มีผู้ใดมาสืบสาวราวเรื่องแล้ว