คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2081 สามบรรพชนรุ่นบุกเบิกผู้ยิ่งใหญ่
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2081 สามบรรพชนรุ่นบุกเบิกผู้ยิ่งใหญ่
การที่พลังสายฟ้าของที่นี่รุนแรงขนาดนี้ และก่อตัวเป็นทะเลสายฟ้าได้ เห็นชัดว่าเกี่ยวข้องกับหุ่นเชิดผลึกมารที่อยู่บนฟ้ายิ่ง ไม่รู้ว่าเวลาเคลื่อนผ่านทะเลสายฟ้า จะสัมผัสถูกเขตต้องห้ามอะไรบนร่างมันหรือเปล่า พลังปราณของหุ่นเชิดน่ากลัวถึงเพียงนี้ แทบไม่ด้อยไปกว่าการมีวิญญาณแท้ดำรงอยู่เลย ขอเพียงพลังในเขตต้องห้ามบนร่างมันยังเหลือสักจุดสองจุด การที่เราคิดจะผ่านทะเลสายฟ้านี้เข้าไป เกรงว่าต้องเสี่ยงอันตรายไม่น้อย
หานลี่ค่อยๆ พูด
อันตรายใกล้ๆ เกาะที่ใต้เท้าเผ่าวิญญาณท่านนั้นหมายถึง ชัดเจนว่าคือทะเลสายฟ้ากับหุ่นเชิดตัวนี้ ซึ่งถ้ามีกลวิธีที่ผ่านไปได้ ท่านต้องชี้แนะทิ้งท้ายไว้ให้บ้างสิ ในเมื่อไม่มี ก็ได้แต่เสี่ยงฝ่าเข้าไปตรงๆ แล้ว พวกเราคนมากขนาดนี้ร่วมมือกัน แม้ไม่เท่าระดับมหาเมธี แต่ภายใต้การร่วมแรงร่วมใจ คิดว่ายังสามารถผ่านด่านนี้ไปได้นะ แค่เกรงว่าเลี่ยงไม่ได้ที่พลังปราณจะเสียหายไปบ้าง
บรรพชนตระกูลหล่งครุ่นคิดสักพัก ก่อนพูดด้วยท่าทางเคร่งเครียด
มาถึงเพียงนี้แล้ว ย่อมไม่มีเหตุผลที่จะเกรงกลัว ไม่ไปต่ออีก สหายทุกท่านเตรียมพร้อมกันหน่อย เราจะฝ่าทะเลสายฟ้าเข้าไปในบัดดล
สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวผงกศีรษะ ใบหน้าสวยใสมีท่าทีเคร่งขรึมลง
พวกไป๋ชีย่อมไม่มีเจตนาโต้แย้ง กลุ่มคนจึงเริ่มยุ่งวุ่นวายอยู่บนเรือวิญญาณทันที บ้างกระตุ้นค่ายกลเวทมนตร์ บ้างเร่งเร้าสมบัติวิเศษ
ชั่วขณะหนึ่ง บนเรือยักษ์สีเขียวเข้มก็ปรากฏม่านแสงหลากสีหลายชั้น ยิ่งมีเงาร่างสมบัติวิเศษหลากชนิดหลายแบบสิบกว่าชิ้น พุ่งออกจากม่านแสงตรงๆ และขยายใหญ่จนมีขนาดพอที่จะครอบเรือยักษ์ไว้ภายใน
ทั้งหมดนี้ เพียงแค่เริ่มต้นเท่านั้น!
สิ้นเสียงดังกระหึ่มสองครั้ง ส่วนหน้ากับส่วนท้ายของเรือยักษ์ล้วนปะทุแสงสีเขียวเจิดจรัส ยักษ์ศิลาเขียวสองตนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
หุ่นเชิดสองตนนี้สูงราวสิบจั้ง กายศิลาเขียวเต็มไปด้วยอักขระยันต์สีเหลือง ส่วนที่เป็นใบหน้า นอกจากดวงตายักษ์เว้านูนหนึ่งดวงแล้ว กลับไม่มีจมูกและปากใดๆ เลย
ยิ่งน่าตกใจก็คือ หุ่นเชิดยักษ์ศิลาเขียวทั้งสองตน ดูทรุดโทรมอยู่บ้างเมื่อมองจากระยะไกล แต่พอเข้ายืนทั้งสองจุดหัวท้าย พลังปราณอันป่าเถื่อนแปรปรวนขุมหนึ่งก็แผ่ออก ให้ความรู้สึกกดดันสุดๆ ชนิดหนึ่ง
ซึ่งก็คือหุ่นเชิดยุคโบราณสองตัวนั้นของบรรพชนตระกูลหล่ง
ครั้นสายตาของสาวน้อยเสื้อคลุมขนนกสัมผัสกับยักษ์ศิลาทั้งสองตน ตาสวยก็หรี่ลงอย่างอดไม่ได้ จึงหันไปถามบรรพชนตระกูลหล่งที่อยู่ใกล้ๆ
หุ่นเชิดสองตัวของสหายไม่ธรรมดาตามคาด เกรงว่าความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ทั่วไปเลยจริงๆ หุ่นเชิดที่หายากเช่นนี้ พี่หล่งไม่นึกเสียดายจริงหรือที่นำพวกมันมาต้านทานพลังสายฟ้าหมื่นแรงม้าในทะเลสายฟ้า ไม่กลัวว่าพวกมันจะเสียหายหรือ
หุ่นเชิดยุคโบราณสองตัวนี้ แม้มีพลังไม่ธรรมดา แต่ตอนที่ได้มานั้น แตกหักไปบ้างแล้ว อย่างมากสนับสนุนศึกใหญ่ได้ครั้งเดียวก็น่าจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ อีกทั้งการกระตุ้นพวกมัน ต้องปลุกเสกหนึ่งรอบล่วงหน้าสิบกว่าวัน ไม่ได้ใช้งานได้ อย่างที่สหายเยี่ยจินตนาการไว้
บรรพชนตระกูลหล่งส่ายศีรษะ ก่อนตอบด้วยความรู้สึกเสียใจอยู่บ้าง
เช่นนี้นี่เอง ใช้ได้เพียงครั้งเดียว เสียดายจริงๆ เลย สาวน้อยเสื้อคลุมขนนกเพิ่งรู้
ส่วนอีกด้าน หานลี่ก็ทำการกระตุ้นธงในแนวตั้งที่จัดวางอยู่บนเรือเหล่านั้น
ทันใด ไอดำเป็นกลุ่มๆ ปะทุออกจากตัวธง กลายเป็นโซ่สีดำขนาดใหญ่เท่าชามข้าวเส้นแล้วเส้นเล่า พุ่งออกไปถักทอกันกลางอากาศอย่างแน่นหนา เป็นตาข่ายยักษ์ผืนหนึ่งปกป้องเรือยักษ์ทั้งลำไว้
ด้านหน้าของเรือวิญญาณ สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวชูแผ่นหยกสีเงินขึ้นสูงด้วยมือข้างเดียว ไปทางแรดน้ำเย็นแปดตัวในทะเล ปากพลางท่องคาถา
เสียงดัง ‘ปุๆ’!
แสงสีเงินแปดกลุ่มพุ่งออกจากแผ่นหยก วาบหายเข้าไปในร่างของแรดน้ำเย็น
น้ำทะเลหน้าเรือยักษ์ม้วนตัว บนร่างของแรดแต่ละตัวปรากฏชุดเกราะสีเงินยวงหนึ่งชุด แนบสนิทไปกับตัวอย่างแน่นหนา ไม่ขาดไม่เกินแม้แต่น้อย ดุจเกราะรบที่ปลุกเสกขึ้นสำหรับอสูรทะเลบางชนิดแต่กำเนิด
พอแรดน้ำเย็นสวมเกราะรบสีเงิน ปากก็แผดร้องอย่างร่าเริงพร้อมๆ กัน พลังปราณเพิ่มขึ้น ทำให้แข็งแกร่งกว่าเดิมเกินครึ่ง
เกราะอสูร?
ผู้อาวุโสฮุยที่อยู่ในบริเวณนั้นอุทานในใจ ใบหน้าฉายแววชื่นชมขึ้นวาบ
หมายความตามชื่อ เกราะอสูรย่อมเป็นเกราะรบที่ปลุกเสกให้กับอสูรวิญญาณจำนวนหนึ่งโดยเฉพาะ เพียงแต่ต่างกับเกราะรบทั่วไปของมนุษย์ เกราะอสูรเหล่านี้ ไม่เพียงมีประสิทธิภาพในการป้องกันอย่างน่าทึ่ง ยังสามารถกระตุ้นศักยภาพของอสูรวิญญาณในช่วงสั้นๆ ได้อีก เพิ่มความแข็งแกร่งให้พวกมันได้ไม่น้อย
ทว่าเกราะอสูรชนิดนี้ปลุกเสกสำเร็จในอสูรวิญญาณชนิดพิเศษบางชนิดเท่านั้น และมีเพียงคนเผ่าวิญญาณที่เข้าใจวิชาลับในการปลุกเสก จึงพบเห็นได้น้อยมากเมื่ออยู่นอกแดนวิญญาณ
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผู้อาวุโสฮุยท่านนี้เห็นกับตาตนเอง ขณะเห็นพลังปราณของแรดน้ำเย็นแปดตัวมีความแข็งแกร่งแบบอสูรเพิ่มขึ้นมากเช่นนี้ ไฟในใจย่อมลุกโชนขึ้น
แล้วผู้อาวุโสฮุยท่านนี้ก็ไม่นิ่งเฉย ขว้างร่มสีแดงโลหิตคันเล็กออกไป แล้วร่ายมนตร์ใส่มันติดต่อกัน ทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้กลายเป็นแสงโลหิตกลุ่มหนึ่ง ส่งกลิ่นสะอิดสะเอียน พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลังจากนั้นไม่นาน กลุ่มคนก็ร่ายมนตร์กันเสร็จสรรพ
ทันทีที่สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวกระตุ้นแรดน้ำเย็นแปดตัว เรือยักษ์ก็พุ่งตรงไปยังทะเลสายฟ้าที่อยู่ไกลออกไปอย่างรวดเร็วดุจธนูหลุดออกจากแหล่ง
หานลี่ยืนอยู่ข้างหนึ่งของเรือยักษ์ เขาหรี่ตาลงขณะจ้องมองทะเลสายฟ้าที่ใกล้เข้ามาเต็มที พร้อมสีหน้าสงบนิ่งสุดๆ
ตรงหัวเรือ สตรีศักดิ์สิทธิ์เชียนชิวยืนหน้าเครียด โดยมีหนุ่มน้อยเผ่าวิญญาณที่เรียกกันว่าจื๋อสุ่ยยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง พริบตาที่อสูรยักษ์กระโจนเข้าไปในทะเลสายฟ้า ใบหน้าที่เฉยเมยอยู่แต่เดิมของเขากลับกระตุกเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ ขณะเดียวกันอักขระสีทองที่ไม่รู้จักพลันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือที่ซุกอยู่ในแขนเสื้อข้างหนึ่ง และกะพริบน้อยๆ ไม่หยุด
ขณะปูยักษ์สีทองในเมฆดำตัวนั้น ก้ามข้างหนึ่งที่คล้ายกำลังค้ำยันท้องฟ้าพลันสั่นเบาๆ แล้วอักขระยันต์สีทองที่เหมือนกันไม่มีผิดก็ปรากฏขึ้นบนผิวของมัน แต่พอวาบ ก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ อีก
ทั้งหมดนี้ ลูกน้องของบรรพชนตระกูลหล่งย่อมไม่รู้อะไรเลย
…..
บนเกาะในทะเลสายฟ้า
สตรีชุดขาวนั่งขัดสมาธิริมสระน้ำเขียวขจี พอหว่างคิ้วนางมีลายเส้นสีชมพูวาบ ดวงตาสวยดุจดวงดาวก็ลืมขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้มบางๆ
รอยยิ้มของนาง เพียงพอที่จะทำให้ดอกไม้ร้อยดอกสีซีดลง
ด้านหลังของนาง มารร่างใหญ่สวมชุดเกราะสีดำ หน้าตาขี้เหร่กำลังจ้องมองรอยยิ้มของนาง พลางตกอยู่ในภวังค์ชั่วขณะ กว่าจะดึงสติกลับมาได้ ร่างของสตรีชุดขาวก็หายไปจากข้างสระน้ำอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หึๆ เห็นทีคนเหล่านั้นในที่สุดก็มา มารร่างใหญ่เกราะดำพูดเสียงต่ำ พลางแสดงสีหน้าเหี้ยมเกรียมออกมา พอร่างสั่นไหว ก็ก้าวยาวๆ ไปที่ใดที่หนึ่งอย่างรวดเร็ว
…..
ในทะเลกำเนิดมารที่ห่างจากทะเลสายฟ้าไม่รู้ไกลเท่าใด มีเกาะขนาดใหญ่ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยไอดำตลอดทั้งปีเกาะหนึ่ง บนยอดเขาที่สูงตระหง่านของภูเขาลูกใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มเมฆเกือบครึ่งลูก เด็กหนุ่มชุดดำแลดูอ่อนเยาว์คนหนึ่ง กำลังยืนอยู่หน้าแปลงพืชที่ไม่ใหญ่โตแปลงหนึ่ง เขาโน้มตัวลงสำรวจดูต้นสมุนไพรวิญญาณสีม่วงแดงกระจ่างใสตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อยิ่ง
สวนสมุนไพรแห่งนี้มีพื้นที่ไม่กี่จั้ง แต่กลับล้อมรอบไปด้วยกำแพงเตี้ยๆ ที่ก่อขึ้นจากหินผลึกสีม่วงทองทีละก้อน ดินในสวนสมุนไพรเป็นผลึกเม็ดเล็กๆ ราวกับหยกขาว แต่ละเม็ดอวบอิ่มเป็นพิเศษ ส่งกลิ่นหอมแปลกๆ เตะจมูก
และในแปลงพืชขนาดใหญ่อื่นๆ อีกหลายแปลงที่อยู่ติดกับสวนสมุนไพร มีการเพาะปลูกสมุนไพรวิญญาณอื่นๆ ที่ไม่รู้จักอยู่ส่วนหนึ่ง
ใกล้ๆ กับแปลงพืชเหล่านี้ กลับปลูกพืชประหลาดสูงราวหนึ่งจั้งไว้หลายต้น แต่ละต้นตั้งตรงดุจดาบกระบี่ บนยอดออกผลสีแดงสดดุจโลหิต เรียวยาวราวหนึ่งศอก ปลายแหลมไร้ที่เปรียบ
ซึ่งก็คือ ข้าวเขี้ยวโลหิต ที่หานลี่เคยเห็นครั้งเดียว
แต่เม็ดที่หานลี่เห็นนั้น ยาวไม่เกินครึ่งศอก และไม่ว่าจะเป็นกลิ่นหอม หรือความอวบอิ่ม ล้วนด้อยกว่าที่อยู่ตรงหน้าอย่างเห็นได้ชัด
พืชวิญญาณล้ำค่าสุดๆ เหล่านี้ในสายตาของชนเผ่ามารทั่วไป ตอนนี้ราวกับสมุนไพรวิญญาณธรรมดาๆ ที่ถูกปลูกไว้รอบๆ เพื่อแบ่งพืชออกเป็นแปลงๆ โดยไม่จำเป็นต้องเอาใจใส่
โดยในแปลงพืชอื่นๆ ล้วนเป็นการปลูกสมุนไพรวิญญาณสิบกว่าต้นสิบชนิดไว้ด้วยกัน แต่มีเพียงแปลงเล็กๆ หนึ่งเดียวตรงหน้าเด็กหนุ่มชุดดำ ที่มีสมุนไพรวิญญาณสีม่วงแดงหนึ่งต้นโดดๆ เท่านั้น
และสมุนไพรวิญญาณต้นนี้ก็ยาวไม่เกินห้าหกนิ้ว ซึ่งไม่มีทั้งดอก ไม่มีทั้งผล มีเพียงใบเรียวยาวห้าหกใบ และนอกจากค่อนข้างกระจ่างใสแล้ว ก็มองไม่ออกจริงๆ ว่ามีอื่นใดที่พิเศษอีก
แต่สายตาของเด็กหนุ่มชุดดำก็จ้องมองมันตาไม่กะพริบ เหมือนเพ่งสมาธิทั้งหมดอยู่ที่มันก็มิปาน
ทันใด ข้อมือข้างหนึ่งของเขาก็เกิดแสงสีดำกลุ่มหนึ่งขึ้น แล้วอักขระยันต์สีดำท่อนหนึ่งก็สว่างวาบออกจากผิวหนังของเขา
เด็กหนุ่มชุดดำยังคงจับจ้องสมุนไพรวิญญาณตรงหน้าอยู่อย่างนั้น โดยไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งผิดปกติบนข้อมือแต่อย่างใด
ไม่นานนัก สมุนไพรวิญญาณสีม่วงแดงต้นนั้นก็ส่งเสียงดัง ‘ปุๆ’ แสงสว่างสีเหลืองทองปรากฏขึ้นหนึ่งชั้น และใบก็เปลี่ยนเป็นสีเงินอ่อนในระดับความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
เมื่อเด็กหนุ่มชุดดำเห็นดังนี้ ใบหน้าพลันปีติยินดีขึ้นวาบ
แต่ถัดมา จู่ๆ หญ้าวิญญาณสีม่วงแดงก็สั่น สมุนไพรหดและเหี่ยวลงในพริบตา สุดท้ายก็กลายเป็นไอสีเทาสายหนึ่งลอยหายไป
เป็นไปได้ไง ล้มเหลวอีกแล้ว ผิดพลาดที่ขั้นตอนไหนกันแน่ เป็นเพราะระยะเวลาในการบ่มเพาะเมล็ดวิญญาณสั้นไป หรือละอองทางช้างเผือกที่ข้าใช้ไม่บริสุทธิ์พอ?
เด็กหนุ่มชุดดำทำหน้าเหยเกทันที คำรามเสียงต่ำ แล้วลุกพรวดขึ้น มือก็พลอยจู่โจมใส่แปลงพืชตรงหน้าอย่างแรง ลูกบอลแสงสีดำสนิทลูกหนึ่งพุ่งออก
‘ตูม’ เสียงดังกึกก้อง ยอดเขาทั้งยอดสั่นสะเทือน
ทันทีที่แปลงพืชสัมผัสถูกลูกบอลแสง ก็สลายเป็นเถ้าธุลีอย่างไร้สุ้มเสียง และบนพื้นก็ปรากฏหลุมดำทมิฬขึ้นหลุมหนึ่ง ขอบแวววาวสุดจะเปรียบ และลึกสุดจะหยั่ง ราวกับไปให้ถึงที่สุดตรงๆ
ผ่านไปพักหนึ่ง สีหน้าของเด็กหนุ่มชุดดำค่อยสงบนิ่งลง จึงยกข้อมือขึ้น กวาดตามองอักขระยันต์สีดำท่อนที่ปรากฏอยู่บนนั้น
เฮอะ มีคนบุกเข้าเกาะวิญญาณรันทดนั่นอีกจนได้ กว่าครึ่งเป็นพวกในแดนวิญญาณที่ไม่รู้จักความเป็นความตายอีกสินะ! ดีเหมือนกัน เอาพวกเจ้ามารองรับความเดือดดาลของบรรพชนผู้บุกเบิกก็แล้วกัน
เด็กหนุ่มพูดกับตัวเองพลางยิ้มเย็นชา สะบัดแขนเสื้อกะทันหัน แสงสีดำตรงหน้าม้วนตัวทันที ที่ว่างด้านหน้ามีมังกรดำเขาเดียวสามเศียร ยาวร้อยกว่าจั้งเพิ่มขึ้นมาหนึ่งตัว
ดวงตาแดงก่ำ กรงเล็บแดงโลหิต ปากพ่นเปลวไฟสีดำ!
ไป ไปเกาะวิญญาณรันทด!
หลังจากร่างของเด็กหนุ่มพร่ามัว ก็ปรากฏอยู่บนร่างของมังกรเขาเดียวสามเศียรอย่างน่าพิศวง พร้อมกำชับมันอย่างเย็นชา
พอแต่ละเศียรของมังกรดำเขาเดียวสามเศียร แยกกันส่งเสียงคำรามต่ำ ก็ปรากฏเมฆดำที่เท้าทั้งสี่ข้าง แล้วร่างอันใหญ่โตก็พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าทันที หลังจากเหาะวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ก็พาเด็กหนุ่มชุดดำพุ่งตรงไปยังทิศที่ตั้งของทะเลสายฟ้า
…..
ส่วนลึกของภูเขาอันไร้ขอบเขตในแดนมาร
ณ ตำหนักใต้ดินหลังหนึ่ง มีโลงศพผลึกใสโลงหนึ่ง ชายวัยกลางคนสวมชุดยาวสีทองนอนเงียบๆ อยู่ในนั้น
ข้างคอของชายชุดทอง มีอักขระยันต์สีทองท่อนหนึ่งส่องแสงเจิดจ้า แต่ดวงตาของเขาปิดสนิทอย่างไม่ไยดี ราวกับไม่รู้จักความเป็นความตายอย่างไรอย่างนั้น