คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2192 รังแกคนที่ด้อยกว่า
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2192 รังแกคนที่ด้อยกว่า
“ถอยกันคนละก้าว? สหายกู่ เจ้าหมายความว่าอย่างไร!” ชายหนุ่มชุดขาวได้ยินพลันตกตะลึง แล้วเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ข้าว่าสหายทั้งสองโต้แย้งไม่ยอมลงให้เช่นนี้ มิสู้ทั้งสองฝ่ายปรับตัวให้กันดีกว่า สหายตู้พาศิษย์ของพี่หานกลับเกาะศักดิ์สิทธิ์ได้ แต่พี่หานต้องไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ด้วย หากถึงยามนั้นคิดว่ามีจุดใดไม่เหมาะสม ก็สามารถเสนอเงื่อนไขได้ทันเวลา ข้าว่าชื่อเสียงของพี่หาน ท่านอาวุโสหลายคนในเกาะศักดิ์สิทธิ์คงไม่อาจไม่ไว้หน้า” ชายชราผมสีเงินครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง
“ได้ หากสหายหานไม่วางใจ ก็สามารถตามพวกเราไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ได้” ตู้อวี่แววตาเปล่งประกายสองครา แล้วตอบรับอย่างไม่ต้องขบคิด
“ไม่ต้องยุ่งยากปานนั้น แม้ว่าสหายกู่จะเอ่ยปาก ข้ากลับไม่อาจไม่ไว้หน้าได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ขอแค่ทูตหนึ่งในสามรับการโจมตีของข้าได้อย่างปลอดภัย ข้าก็จะให้ศิษย์ของข้าไปกับพวกเขา หากรับการโจมตีไม่ได้ หึๆ…” หลังจากที่หานลี่หรี่ตาทั้งสองข้างลง ก็เอ่ยพร้อมกับหัวเราะอย่างเย็นชา
“อันใด รับการโจมตี? สหายหาน เจ้ากล้าพูดอย่างนี้ออกมาได้อย่างไร!” แม้ว่าตู้อวี่จะมีนิสัยเคร่งขรึม หลังจากได้ยินก็อดที่จะหน้าเขียวคล้ำไม่ได้
ฮูหยินอัปลักษณ์และชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองได้ยิน ก็โกรธเกรี้ยวเช่นกัน
“อันใด ทั้งสามไม่เชื่อคำพูดของข้าน้อย อยากให้ผู้แซ่หานสาบานด้วยจิตมารหรือ?” หานลี่กลับย้อนถามด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง
“นั่นไม่จำเป็น จากฐานะของสหายหานกล่าวเช่นนี้ออกมา คิดดูแล้วหลังจากเสร็จเรื่องคงไม่อาจไม่ยอมรับได้” ตู้อวี่แค่นเสียงหึ หลังจากที่ระงับความโกรธไป ชั่วขณะนั้นก็เริ่มขบคิดเจตนาที่แท้จริงของคำพูดหานลี่อย่างรวดเร็ว
เขาไม่เชื่อว่าหานลี่จะแค่อาศัยโอกาสนี้หาที่ลงเท่านั้น แต่แน่นอนว่ายิ่งไม่เชื่อว่าตนและพวกทั้งสามคนจะรับการโจมตีจากอีกฝ่ายไม่ได้
อาวุโสระดับผสานอินทรีย์ของเมืองเทวะสวรรค์ที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำนี้ ก็อดที่จะมองสบตากันไม่ได้
แม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่าหานลี่มีอิทธิฤทธิ์ร้ายกาจ แทบจะกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งมีชีวิตระดับผสานอินทรีย์อันดับหนึ่งรองจากระดับมหายาน
แต่หากจะกล่าวว่าพวกของตู้อวี่รับแม้กระทั่งการโจมตีจากหานลี่ไม่ได้ กลับรู้สึกไม่เชื่อเช่นกัน
ส่วนอาวุโสกู่และภิกษุจินเย่ว์หลังจากมองส่งสายตาให้กันแวบหนึ่ง ทันใดนั้นก็กระแอมไอเบาๆ แล้วอ้าปากคิดจะเอ่ยอันใดอีก
แต่ในยามนั้นเอง เซียนอิ๋นกวงที่นั่งอยู่ใกล้เคียงพลันขยับริมฝีปากถ่ายทอดเสียงมา
อาวุโสกู่ได้ยินพลันหน้าเปลี่ยนสี รูม่านตาหดเล็กลง อดที่จะมองอิ๋นเย่ว์ที่อยู่ข้างกายหานลี่แวบหนึ่ง คำพูดเดิมที่มาอยู่ที่ริมฝีปากพลันกลืนลงไป
ยามนี้ตู้อวี่ใช้สายตาเคร่งขรึมมองหานลี่อยู่ชั่วครู่ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง ถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า
“ในเมื่อสหายหานคิดว่าต้องลงมือถึงจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้ เช่นนั้นพวกเราก็มีเพียงต้องรับแล้ว พวกเราสามคนจะให้ผู้แซ่ตู้เป็นผู้รับการโจมตีจากสหาย ข้าน้อยเองก็อยากรู้ว่าสหายจะโจมตีข้าน้อยให้แตกกระเจิงได้อย่างไร”
ตู้อวี่พบว่าอาวุโสของเมืองเทวะสวรรค์ตัดสินใจเป็นกลาง ไม่มีทางสอดมือเข้ามายุ่งเรื่องของพวกเขาและหานลี่ หลังจากที่ชั่งน้ำหนักในใจ ในที่สุดก็ตัดสินใจ
แม้ว่าเขาจะฉงนสงสัยว่าเหตุใดหานลี่ถึงได้มั่นใจเช่นนี้ แต่กลับมั่นใจในพละกำลังของตนเองมากกว่า
จากเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิขงจื๊อที่เขาฝึกฝน ประกอบกับสมบัติวิเศษที่พกติดตัวมาสองสามชิ้น ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานก็อาจจะรับได้สักหนึ่งหรือสองกระบวนท่า จะรับการโจมตีจากผู้บำเพ็ญเพียรระดับเดียวกันไม่ได้ๆ อย่างไร
เห็นได้ชัดว่าผู้บำเพ็ญเพียรผมสีเหลืองและฮูหยินอัปลักษณ์ที่อยู่ด้านข้างก็เชื่อมั่นใจพละกำลังของตู้อวี่มากเช่นกัน ได้ยินเขาพูดว่าจะเป็นตัวแทน ก็ไม่ได้โต้แย้ง แค่ใช้สายตาไม่เป็นมิตรจ้องมองหานลี่เขม็ง
พวกเขาที่เป็นทูตของเกาะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าไปที่ใด เผชิญหน้ากับผู้ที่มีอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรเพียงใด ล้วนต้องเคารพนับถือพวกเขา แม้ว่าบางครั้งจะเผชิญหน้ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ที่มีนิสัยแปลกประหลาด มากสุดก็แค่แสดงสีหน้าเย็นชาออกมา ไม่ได้แสดงท่าทีไม่เคารพนับถือเหมือนกับหานลี่
หานลี่เห็นตู้อวี่ตอบรับเงื่อนไขของตน หลังจากที่มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย กลับหัวเราะร่าออกมา
“เยี่ยม สหายตู้เป็นผู้ที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเป็นอย่างมาก เช่นนั้นผู้แซ่หานจะไปรอที่ตำหนักประลองชั้นล่าง”
สิ้นเสียงหานลี่ก็ยืนขึ้น สาวเท้ายาวๆ ออกไป เบื้องหน้ามีระลอกคลื่นปรากฏขึ้น ร่างทั้งร่างเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงเสียงหัวเราะร่าที่ดังก้องไปมาในห้องโถง
ตู้อวี่เห็นหานลี่ฉีกอากาศจากไป และยังมีท่าทีสบายๆ ก็สีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย ดวงตาเผยแววเคร่งขรึมเล็กๆ ออกมา
เขามั่นใจว่าหากตนเองสำแดงอิทธิฤทธิ์เต็มอัตราออกมา ก็สามารถฉีกอากาศเคลื่อนย้ายกายได้ แต่ท่าทางสบายๆ ของหานลี่ กลับไม่อาจทำได้
นี่จึงทำให้ความระแวดระวังในใจของเขาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งส่วนไม่ได้ ทว่านี่ไม่เกินความอดทนของเขา แค่แค่นเสียงหึในใจเท่านั้น
แต่ยามนี้นักพรตเซี่ยเองก็ยืนขึ้นโดยไม่ปริปาก แขนเสื้อสะบัดไปทางอิ๋นเย่ว์และจูกั่วเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้เคียง ลำแสงสีเงินสองกลุ่มม้วนวนออกมา ชั่วขณะนั้นพลันห่อหุ้มทั้งสองเอาไว้ข้างใน
เรือนร่างของทั้งสามมีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุสายฟ้าสีเงินพันรัดแล้วสลายหายไป
เห็นได้ชัดว่านักพรตเซี่ยและพวกเองก็ตามหานลี่ไปที่ตำหนักประลองเช่นกัน
ตู้อวี่เห็นเช่นนั้นพลันใจหายวาบ ฉับพลันนั้นพลันหันหน้าแล้วเอ่ยถามชายชราผมสีเงิน
“สหายกู่ สหายเมื่อครู่คือผู้ใด อิทธิฤทธิ์ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา”
ก่อนหน้านี้สายตาของพวกเขาล้วนถูกหานลี่ดึงดูดไป ประกอบกับนักพรตเซี่ยเองก็เป็นร่างหุ่นเชิด หลังจากที่กดกลิ่นอายลงจนไม่สะดุดตาแล้ว จึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจผู้ใด
“ใบหน้าของสหายผู้นี้ดูไม่คุ้นตาเลย ตาเฒ่าเพิ่งเคยพบครั้งแรก” อาวุโสกู่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ตกตะลึงเช่นกัน แต่หลังจากที่มองสบตากับภิกษุจินเย่ว์และพวกแวบหนึ่งก็สั่นศีรษะ
“ไม่ว่าเขาคือผู้ใด อีกเดี๋ยวก็รู้แล้ว และยิ่งไปกว่านั้นไม่ว่าเขาจะมีอิทธิฤทธิ์ใด อีกเดี๋ยวตอนที่ลงมือกลับมีแค่สหายหานคนเดียวเท่านั้น พี่กู่ พวกเราก็ไปกันเถิด” ตู้อวี่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใสชั่วครู่ แล้วฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติขณะเอ่ย
แม้ว่าชายชราผมสีเงินจะตกตะลึงกับการลงมือของนักพรตเซี่ยเมื่อครู่ แต่ในใจกลับคิดว่าลดไปเรื่องหนึ่งก็ยังดีกว่ายุ่งยากขึ้นไปเรื่องหนึ่ง ดังนั้นเมื่อได้ยินตู้อวี่กล่าวเช่นนี้ ทันใดนั้นก็พยักหน้าเอ่ยด้วยๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ดังนั้นพวกเขาจึงทยอยกันสำแดงทันที แหวกอากาศเคลื่อนย้ายกายเป็นเช่นกัน
ผ่านไปหนึ่งกาน้ำชา ในตำหนักยักษ์ความกว้างสองสามร้อยจั้ง ลำแสงยักษ์ที่ปกคลุมเกือบครึ่งตำหนักถูกกระตุ้น
กลางอากาศที่มีรัศมีลำแสงห่อหุ้มอยู่ หานลี่และตู้อวี่พากันมองสบตากัน
ยามนี้ใบหน้าของตู้อวี่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
แต่หานลี่กลับมีสีหน้าราบเรียบ แค่ลอยนิ่งเอามือไพล่หลังพลางมองไปยังฝั่งตรงข้าม
“ผู้แซ่ตู้ขอยืนยันสักหน่อย ขอแค่ผู้แซ่ตู้รับการโจมตีของนายท่านได้โดยไม่เป็นไร สหายก็จะไม่ขัดขวางที่ข้าจะพาศิษย์ของเจ้าไปสินะ” ตู้อวี่พลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ใช่แล้วขอแค่รับการโจมตีของผู้แซ่หานได้โดยไม่เป็นไร นายท่านก็พาศิษย์ใต้อาณัติของผู้แซ่หานไปที่เกาะศักดิ์สิทธิ์ได้ ข้าเองก็จะไม่โต้แย้งเลยสักนิด ทว่าหากการโจมตีของข้ายังรับไม่ได้ ทั้งสามมาทางไหนก็กลับไปทางนั้น” หานลี่หัวเราะเบาๆ แล้วตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
“เช่นนั้นสหายลงมือเถิด” ตู้อวี่มีสีหน้าเคร่งขรึม แล้วเอ่ยออกมาทีละคำๆ
หานลี่ได้ยินพลันหัวเราะ ปากก็เอ่ยคำว่า “เยี่ยม” ออกมา มือเท้าไม่ขยับ แต่แผ่นหลังพลันมีลำแสงสีทองสว่างวาบ เทวรูปสีทองสามเศียรหกกรปรากฏขึ้น
“ยาว”
หานลี่ตะโกนด้วยเสียงทุ้มต่ำออกมา!
เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น พายุสายหนึ่งพวยพุ่งขึ้นมาจากร่างของเทวรูป
ส่วนกรทั้งหกของเทวรูปสีทองก็ร่ายอาคมพร้อมกัน เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น ประจุไฟฟ้าสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนพันรัดร่างกายและทะลักออกมา ในเวลาเดียวกันก็ขยายใหญ่ขึ้น
ยามนี้กลายเป็นสิ่งมหึมาขนาดเจ็ดสิบแปดสิบจั้ง
เทวรูปสามเศียรลืมตาขึ้นพร้อมกัน กรข้างหนึ่งขยับ กรยักษ์ขนาดเท่าบ้านก็ตะปบไปกลางอากาศอย่างช้าๆ กรยักษ์ดูเหมือนจะเชื่องช้า แต่เมื่อยื่นออกไป กลิ่นอายน่ากลัวที่แทบจะบีบอากาศให้แหลกละเอียดพลันแผ่ลงมา
ตู้อวี่ที่ยืนนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อจิตสัมผัสๆ กับกลิ่นอายน่ากลัว ก็หน้าเปลี่ยนสี มือหนึ่งตบไปที่ท้ายทอยโดยไม่ปริปาก อ้าปากออก พ่นลำแสงสีขาวที่ห่อหุ้มสิ่งหนึ่งเอาไว้ออกมา คาดไม่ถึงว่าจะเป็นคัมภีร์หยกขนาดสองสามชุ่น
สะบัดแขนเสื้ออีกข้างหนึ่ง หมอกสีขาวม้วนวนออกมา หลังจากรวมตัวกัน คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นแท่นฝนหมึกสีขาวบริสุทธิ์ราวกับหยก
ด้านในมีลำแสงสีเงิน ราวกับบรรจุน้ำสีเงินนิรนามเอาไว้
เมื่อทั้งสองสิ่งบินออกมา ก็หมุนวนโคจรอยู่เหนือศีรษะของชายหนุ่มชุดขาว อันหนึ่งแผ่รัศมีลำแสงห้าสีออกมา อันหนึ่งกลับมีอักขระยันต์สีทองและเงินจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา
ทั้งสองชิ้นหนึ่งคือสมบัติสะท้านฟ้าที่ไม่ธรรมดา อันหนึ่งกลับเป็นสมบัติวิเศษที่หลอมขึ้นจากเศษชิ้นส่วนสวรรค์ทมิฬที่หาได้ยากยิ่ง
หานลี่เห็นทั้งสองชิ้นที่อยู่ไกลออกไป ใบหน้าตกตะลึงพลันฉายแวบผ่าน แต่ทันใดนั้นก็แค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา
ฝ่ามือยักษ์สีทองที่กดลงมาสั่นเทาเล็กน้อย คาดไม่ถึงว่าจะมีลวลดายสีเงินปรากฏขึ้นบนผิวกาย และฝ่ามือยักษ์พลันเปล่งแสงสว่างวาบกลายเป็นลวดลายสีเงินขนาดน้อยใหญ่ไม่เท่ากัน
ครู่ต่อมาฝ่ามือยักษ์ก็ส่งเสียงคำรามหึ่งๆ ออกมา นิ้วทั้งห้ากางออก ผิวมีลำแสงไหลวนโคจรไปมา คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นสีม่วงทอง
พริบตานั้นแรงกดอันน่ากลัวที่แข็งแกร่งกว่าก่อนหน้าสามสี่เท่าก็ทะลักออกมาจากฝ่ามือ และกดลงมาด้านล่างอย่างดุดัน
ครานี้ตู้อวี่ที่กำลังกระตุ้นสมบัติสองชิ้นเหนือศีรษะอยู่ด้านล่างสัมผัสได้ถึงพลังแรงกดก็ตัวสั่นเทา ถอยร่นออกไปสองสามเท่าอย่างห้ามตัวเองไม่อยู่ ชั่วขณะนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสีไปอีกครั้ง แววตาฉายแววหวาดกลัว
แม้ว่าจากพละกำลังของเขาที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ภายใต้แรงกดที่น่ากลัวนี้ คาดไม่ถึงว่าจะรู้สึกว่าแค่ตนพลิกฝ่าก็อาจจะถูกพลังมหาศาลนี้กดจนร่างระเบิดได้
“ไม่ นี่ไม่ใช่อิทธิฤทธิ์ของผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย คือระดับมหายาน มีเพียงระดับมหายานถึงจะมีอิทธิฤทธิ์ที่น่ากลัวเพียงนี้ได้” ชั่วพริบตานั้นชายหนุ่มชุดขาวก็เข้าใจความน่ากลัวทันที และร้องอุทานออกมาทันใด แต่เมื่อพลังแรงกดที่น่ากลัวกดลงมา กลับแค่ขยับริมฝีปาก แต่กลับไม่อาจส่งเสียงใดๆ ได้