คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2194 รวมตัวกันอีกครั้ง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2194 รวมตัวกันอีกครั้ง
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันโบกมือ แล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
“ข้าไม่ได้บอกเรื่องนี้กับคนในเผ่าก่อน จะโทษเหล่าสหายได้อย่างไร ไม่ต้องมากพิธีหรอก ลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระคุณท่านอาวุโสหานที่ละเว้นโทษจากการไร้มารยาท!”
อาวุโสกู่และพวกถึงได้ผ่อนคลายลง เอ่ยขอโทษแล้วทยอยกันหยัดกายลุกขึ้น
แม้ว่าชายชราผมสีเหลืองและฮูหยินอัปลักษณ์จะลุกขึ้นพร้อมกับทุกคน แต่ใบหน้ากลับไร้สีโลหิต ท่าทางหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองคิดว่าตนล่วงเกินผู้บำเพ็ญเพียรที่เพิ่งบรรลุระดับมหายานคนใหม่ไป ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะเป็นที่พักพิงเดียวในรอบสองสามหมื่นปีของทั้งสองเผ่าจะรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
ยามนี้ฝ่ามือยักษ์สีม่วงทองในม่านลำแสงพลันสลายหายไปอย่างเงียบเชียบตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้
แต่ตู้อวี่ที่ถูกพลังมหาศาลกักเอาไว้ กลับร่างกายอ่อนล้าแล้วล้มลงไปบนแท่นสูง ไม่มีแรงแม้แต่จะพูดแม้แต่คำเดียว
หานลี่หันไปมองบนแท่นแวบหนึ่ง แล้วออกคำสั่งกับชายร่างใหญ่ผมสีเหลืองและพวกทั้งสองอย่างราบเรียบ
“พวกเจ้าทั้งสองพาสหายตู้ไปเถิด และฝากบอกอาวุโสทุกคนของเกาะศักดิ์สิทธิ์ด้วยว่าศิษย์ของผู้แซ่หานฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก ไม่อาจพลีชีพให้ผู้ใดได้ ทว่าหากในเผ่ามีเรื่องอื่นต้องการให้ออกแรงล่ะก็ ผู้แซ่หานก็จะไม่ปฏิเสธ”
“ขอรับ ชนรุ่นหลังทั้งสองจะต้องนำคำพูดของท่านอาวุโสไปบอกแน่นอน เช่นนั้นชนรุ่นหลังขอตัวลาก่อนนะขอรับ” ชายชราผมสีเหลืองกลืนน้ำลายเข้าไปอึกหนึ่ง แล้วรีบค้อมตัวลงเอ่ยอย่างไม่กล้ามีความเห็นใด
ฮูหยินอัปลักษณ์เองก็เอ่ยว่าใช่แล้วอยู่ด้านข้าง
หานลี่พยักหน้าแล้วโบกมือให้ทั้งสองคน
ดังนั้นทั้งสองคนถึงได้กล้าบินไปอุ้มตู้อวี่ที่อยู่บนแท่นหินขึ้น จากนั้นก็ขอโทษ แล้วออกไปจากตำหนักประลองด้วยท่าทีร้อนรน
ดังนั้นเรื่องที่หานลี่เก็บสมบัติสองชิ้นของชายหนุ่มชุดขาวไป พวกเขาย่อมไม่กล้าเอ่ยถึงเลยสักนิด
หานลี่มองเงาร่างคนของเกาะศักดิ์สิทธิ์หายวับไปจากประตูตำหนักถึงได้หันหน้ามาเอ่ยกับชายชราผมสีเงินและพวกด้วยรอยยิ้ม
“สหายทุกท่านโปรดอภัย มีเรื่องอันใดค่อยไปคุยที่ที่พักของข้าพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ข้าจากไปนาน พอกลับมาก็จะไปพบลูกศิษย์สักหน่อย แล้วค่อยคุยกับสหายทุกท่าน”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ท่านอาวุโสหานเดินทางมาไกล แน่นอนว่าย่อมต้องพักผ่อนก่อน พวกเรารออีกสองสามวันค่อยมาเยี่ยมท่านถึงจะเหมาะสม”
“ใช่แล้ว หวังว่าท่านอาวุโสหานจะไม่โทษที่พวกเรามารบกวน”
ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์มองสบตากันแวบหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างรอบคอบ
หานลี่หัวเราะร่า ไม่ได้พูดอันใดอีก ประสานมือคารวะเล็กน้อย แล้วพาอิ๋นเย่ว์และพวกไปจากตำหนัก
เซียนอิ๋นกวงมองประตูตำหนักด้วยความตกตะลึงอยู่ชั่วครู่ ปากถึงได้เอ่ยพึมพำที่แผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยินออกมา
“คาดไม่ถึงว่าเขาจะบรรลุระดับมหายานได้จริงๆ ดูแล้วน้องหญิงอิ๋นเย่ว์คงดูคนถูกแล้วจริงๆ!”
หญิงสาวผู้นี้พลันดีใจ คาดไม่ถึงว่าจะเผยสีหน้าหมดอาลัยตายอยากออกมาลางๆ
ส่วนผู้สวมชุดคลุมสีดำและพวกที่เดิมที่คิดจะมอบไห่ต้าเซ่าให้กับอาวุโสของเกาะศักดิ์สิทธิ์ รู้ว่าหานลี่คือผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายาน ก็พากันรู้สึกหวาดกลัว และกังวลเป็นอย่างยิ่ง กลัวว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานคนใหม่จะรู้ท่าทีของสมาคมอาวุโสในวันนี้แล้วมาคิดบัญชีกับพวกเขาทีหลัง หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ วันข้างหน้าพวกเขาคงไม่ค่อยดีนัก
ในเวลาเดียวกันอิ๋นเย่ว์ที่ติดตามหานลี่เดินออกจากประตูตำหนัก ฉับพลันนั้นก็เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“พี่หาน เจ้าจะปล่อยทูตของเกาะศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ไปอย่างนี้จริงๆ หรือ ไม่กลัวว่าพวกเขาจะเกิดความแค้น แล้วทำอันใดที่ไม่เป็นประโยชน์กับเจ้าหรือ?”
“จากฐานะของข้าในตอนนี้ ข้าไม่ไปหาเรื่องพวกเขาก็นับว่าขอบคุณฟ้าดินแล้ว ยังจะกล้ามาคิดแผนอันใดกับข้า ภายใต้สถานการณ์ที่พละกำลังแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พวกเขาจะกล้าได้อย่างไร” หานลี่ตอบอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“แต่เจ้าผู้ที่มีนามว่าตู้อวี่ คาดไม่ถึงว่าจะกลายเป็นเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ได้ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายธรรมดาๆ เจ้าไม่กลัวว่าวันข้างหน้าเข้าบรรลุระดับมหายานหรือ!” อิ๋นเย่ว์พลันเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ
“อย่าเพิ่งพูดว่าเขาจะบรรลุระดับมหายานสำเร็จหรือไม่ ต่อให้เขากลายเป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานก็ไม่มีค่าอันใด สำหรับข้าแล้วก็เป็นแค่ความยุ่งยากเล็กๆ เท่านั้น” หานลี่ฉีกยิ้ม แล้วตอบกลับอย่างมั่นใจเต็มเปี่ยม
ยามที่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย เขาเคยเผชิญหน้ากับสิ่งมีชีวิตระดับมหายานแล้วยังรอดมาได้ ยามนี้บรรลุระดับมหายานแล้ว อิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้นหลายเท่า ย่อมไม่เห็นสิ่งมีชีวิตระดับมหายานธรรมดาๆ อยู่ในสายตา
“นั่นมันก็ใช่ ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจากฐานะของพี่หานในยามนี้ ไม่สมควรที่จะลงมือกับพวกเขาจริงๆ มิเช่นนั้นจะเป็นการเสียตำแหน่งท่านอาวุโสระดับมหายานของเจ้าไป” อิ๋นเย่ว์เอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“หึๆ อาจจะเป็นเช่นนั้นกระมัง” หานลี่ตอบกลับพร้อมกับหัวเราะหึๆ แต่กลับรู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากเรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิต เขาไม่มีทางไม่สนใจฐานะ ‘ท่านอาวุโส’ แน่ จะต้องลงมือกำจัดต้นตอของอันตรายให้เกลี้ยง
…
สองสามชั่วยามต่อมาหานลี่ก็มาปรากฏตัวในหอคอยสูงที่พักของตนเอง และนั่งอยู่บนตำแหน่งหลักในห้องโถงใหญ่ชั้นบนสุด
ไห่ต้าเซ่า ชี่หลิงจื่อทั้งสองคนพาศิษย์ของตนเองสิบกว่าคนมาคารวะอย่างตื่นเต้น
“ลุกขึ้นเถิด ไม่ได้พบกันสองสามปี เจ้าสองคนกลับไม่ได้เกียจคร้าน พลังยุทธ์ล้วนเพิ่มขึ้นทุกคน” หานลี่สะบัดแขนเสื้อ ให้พวกเขายืนขึ้น
“ยินดีกับท่านอาจารย์ที่บรรลุระดับมหายาน นี่ไม่เพียงเป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับศิษย์อย่างพวกเรา ยิ่งเป็นเกียรติสำหรับเผ่ามนุษย์ของพวกเรา” ชี่หลิงจื่อหยัดกายลุกขึ้น แล้วตอบหานลี่อย่างนอบน้อม
เดิมพวกเขาที่กำลังอกสั่นขวัญแขวนกับเรื่องทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์ แต่ผลคือยังไม่ได้พบกับทูตเกาะศักดิ์สิทธิ์ อาจารย์ของตนกับกลับมาในหอคอยและบอกเขาสองคนว่าบรรลุระดับมหายานแล้ว
ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดเช่นนี้ชี่หลิงจื่อและไห่ต้าเซ่าจะดีใจแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว
ไม่ได้พบกันสองสามร้อยปีชี่หลิงจื่อ ศิษย์ใต้อาณัติของหานลี่ในยามนี้อยู่ในระดับเทพแปลงขั้นปลายแล้ว ห่างจากระดับหลอมสูญไปไม่ถึงก้าวหนึ่ง
ส่วนไห่ต้าเซ่าที่อยู่ด้านข้างก็มีท่าทีเพิ่งบรรลุระดับเทพแปลง
ทั้งสองบรรลุระดับได้หลายครั้งในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามร้อยปี นอกจากทั้งสองจะมีคุณสมบัติที่ไม่ธรรมดา นอกจากนี้ยังเป็นเพราะยามที่หานลี่จากไปได้ทิ้งยาลูกกลอนจำนวนมากเอาไว้
จากฐานะของหานลี่ยามที่จากไปไม่เพียงทิ้งยาลูกกลอนที่ใช้ฝึกฝนในยามปกติไว้ให้ทั้งสองคนในจำนวนที่เพียงพอ แม้แต่ยาเสริมที่ช่วยให้ทั้งสองบรรลุระดับขั้นก็ยังเตรียมไว้อย่างครบครันตั้งนานแล้ว
มิเช่นนั้นศิษย์ของพวกเขาที่ล้วนไม่ธรรมดา คงไม่อาจบรรลุระดับได้อย่างราบรื่นเช่นนี้
หานลี่ได้ฟังคำพูดของชี่หลิงจื่อก็หัวเราะน้อยๆ ออกมา แล้วเอ่ย
“ข้าบรรลุระดับมหายาน เดิมก็เพราะวาสนา ถึงได้โชคดีทะลวงจุดคอขวดสำเร็จ หากไม่ใช่ว่าเผ่าต่างๆ มีประเพณีว่าหากมีระดับมหายานปรากฏขึ้นจะต้องจัดงานฉลอง ข้าก็ไม่อยากแสดงตัว ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกประกาศไปอย่างเป็นทางการ พวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำอันใด แค่ส่งคนไปบอกวันฉลองกับเผ่าต่างๆ ก็พอแล้ว เผื่อสหายบางคนมาเข้าร่วมไม่ทันเวลา งานฉลองจะจัดขึ้นอีกหนึ่งให้หลัง สถานที่ก็ที่เมืองเทวะสวรรค์ก็พอแล้ว”
“ขอรับ น้อมรับคำสั่งท่านอาจารย์” ชี่หลิงจื่อและไห่ต้าเซ่าน้อมตัวลง แทบจะตอบรับพร้อมกัน
“ใช่แล้วท่านอาจารย์อาหงส์น้ำแข็งและไป๋กั่วเอ๋อร์ล่ะ เหตุใดพวกนางถึงไม่อยู่ที่นี่?” หานลี่กวาดสายตาไปในตำหนักอย่างส่งๆ แล้วเอ่ยถามขึ้น
“รายงานท่านอาจารย์ ศิษย์น้องหญิงไป๋กั่วเอ๋อร์กลับสำนักไปหลังจากที่เคราะห์มารจบลง แต่สองสามปีก่อนได้นับสหายออกไปหาประสบการณ์ด้วยกัน ทว่ามักจะส่งข่าวกลับมาบ่อยๆ ส่วนท่านอาจารย์หงส์น้ำแข็งได้เข้าไปในแดนรกร้างตามลำพังเมื่อยี่สิบสามสิบปีก่อน ยามนี้ยังไม่มีข่าวคราว ทว่าท่านอาจารย์โปรดวางใจ ก่อนไปท่านอาจารย์อาหงส์น้ำแข็งเคยทิ้งตะเกียงประจำตัวเอาไว้ ยามนี้ยังปลอดภัยไร้กังวล” ชี่หลิงจื่อตอบกลับอย่างระมัดระวัง
“แดนรกร้างกว่างใหญ่หาที่เปรียบ ต่อให้อยู่ในนั้นสองสามร้อยปีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยสักนิด ท่านอาจารย์อาน้ำแข็งของพวกเจ้าตัดสินใจเดินทางครั้งนี้ จะต้องมีจุดประสงค์ของตนแน่ ไม่ต้องกังวลอันใด แต่ไป๋กั่วเอ๋อร์นั้น พลังยุทธ์แค่นี้ก็ออกไปผจญภัยกับผู้อื่น มันอันตรายไปหน่อย ศิษย์น้องหญิงของพวกเจ้ามี ‘ร่างไขกระดูกน้ำแข็ง’ และฝึกฝนปราณแท้สำเร็จแล้ว หากตกเป็นเป้าสายตาของคนชั่วร้ายที่ฝึกฝนธาตุหยินเย็น ก็ไม่ต่างอันใดกับเป็นสิ่งเสริมพลังยุทธ์ รีบส่งข่าวไป ให้ศิษย์น้องหญิงของพวกเจ้ารีบกลับไปเถิด” หานลี่ขมวดคิ้ว แล้วออกคำสั่งอย่างไม่ต้องขบคิด
“ขอรับ ศิษย์ขบคิดไม่รอบคอบ ข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ขอรับ” ชี่หลิงจื่อตกใจจนสะดุ้งโหยง พลันตอบรับทันที
จากนั้นเขาก็ออกคำสั่งกับศิษย์ของตนคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลัง หลังจากที่ศิษย์ผู้นั้นคารวะหานลี่ ก็ถอยออกไปจากห้องโถงอย่างนอบน้อมทันที
“เย่ว์เทียน เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้ข้าฟังซิ โดยเฉพาะเรื่องที่เผยรากเร้นอัสนีออกมาได้อย่างไรยิ่งต้องเล่าให้ละเอียด” หานลี่กวาดสายตามาบนเรือนร่างของไห่ต้าเซ่าแวบหนึ่ง ฉับพลันนั้นพลันเอ่ยพร้อมกับอมยิ้ม
“ท่านอาจารย์ ศิษย์ผิดไปแล้ว…เรื่องนี้ไม่ต้องเล่าให้ละเอียดหรอก!” ไห่ต้าเซ่าได้ยินคำถามของหานลี่ ชั่วขณะนั้นพลันเผยสีหน้าขัดเขินออกมา แล้วเอ่ยอย่างอึกๆ อักๆ
“หึ ก่อนหน้านี้ข้ากำชับเจ้าอย่างไร รากเร้นอัสนีเป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวข้องชีวิตของเจ้า จะต้องระวังห้ามให้แพร่งพรายออกไป ผลคือเจ้ากลับพูดออกไปเองเพราะความเมามาย หึๆ หากไม่ใช่เพราะข้ากลับมาทันเวลา คงเกิดหายนะกับเรื่องที่ตนก่อขึ้น แถมอาจจะลากศิษย์พี่ของเจ้าติดร่างแหไปด้วยทั้งหมด” หานลี่มีสีหน้าเคร่งขรึมพลางเอ่ยอย่างเย็นชา
“ศิษย์ผิดไปแล้วขอรับ วันหน้าไม่มีทางทำผิดซ้ำอีก” ไห่เต้าเซ่าพลันตกตะลึง รีบคุกเข่าลงกับพื้นพลางตอบรับอีกครั้ง
“จากฐานะระดับมหายานของข้า ครั้งนี้ผู้ที่มาจากเกาะศักดิ์สิทธิ์ถูกข้าไล่ไปอย่างง่ายดาย แต่รากเร้นอัสนีของเจ้าเป็นหนึ่งในขั้นตอนกำจัดเคราะห์สวรรค์ที่มีไม่มากนัก หากครั้งหน้าผู้ที่มาขอเจ้าคือผู้ที่จะบรรลุระดับมหายานที่แข็งแกร่งของเผ่าอื่นล่ะ เจ้าจะให้ท่านอาจารย์ทำอย่างไร?” หานลี่ยังคงมีน้ำเสียงเย็นชา จ้องเขม็งไปที่ไห่ต้าเซ่าพลางพูดทีละคำๆ
“ศิษย์ผิดไปแล้วจริงๆ หากถึงวันนั้นท่านอาจารย์ส่งเย่ว์เทียนไปก็ได้แล้ว นี่เป็นผลมาจากศิษย์เอง!” ไห่ต้าเซ่าหน้าซีดขาวไปสองสามส่วน แต่ยังคงตอบกลับโดยไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“ส่งเจ้าไป! เลิกคิดถึงเรื่องนี้เลย ถึงยามนั้นหากส่งเจ้าไป ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน หลังจากที่งานเลี้ยงฉลองจบลง เจ้าก็กลบแซ่ฝังชื่อไปจากข้าสักระยะหนึ่ง รอให้เรื่องนี้ซาลง เจ้าค่อยกลับมาอยู่ข้างกายข้าก็แล้วกัน” หานลี่ครุ่นคิดชั่วครู่ ถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้าพร้อมกับแววตาที่เปล่งประกาย