คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2209 บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียน
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2209 บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียน
“ที่แท้ท่านอาวุโสก็รู้เรื่องมารดาแมลงแล้ว หากเป็นเช่นนั้น ชนรุ่นหลังย่อมไม่มีอันใดต้องปิดบัง” ชายชราร่างกายผ่ายผอมพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“เรื่องมารดาแมลงข้ารู้มาหลายปีก่อนแล้ว การมาที่นี่ในครั้งนี้ความจริงแล้วก็เพื่อหายนะครั้งนี้ แต่ก็ไม่แน่ใจสถานการณ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ในยามนี้ดังนั้นถึงได้มาถามกับเจ้าเมืองอย่างเจ้า ยามนี้เจ้าบอกเรื่องที่เจ้ารู้มาก็แล้วกัน” หานลี่เอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ขอรับ ท่านอาวุโส! ชนรุ่นหลังรู้ข่าวมาไม่มากนัก และยิ่งไปกว่านั้นเพิ่งรู้ความจริงเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา สิ่งที่ชนรุ่นหลังรู้ก็คือแมลงพิษที่ปรากฏตัวในแดนศักดิ์สิทธิ์ในยามนี้ ความจริงแล้วก็คือแมลงมารธรรมดาอาบย้อมกลิ่นอายของมารดาแมลงที่แผ่ออกมาจากผนึกถึงได้กลายพันธุ์มีรูปร่างน่ากลัวเช่นนี้ หลังจากที่แมลงมารธรรมดาๆ เหล่านี้กลายพันธุ์ ไม่เพียงพละกำลังจะเพิ่มขึ้น การสืบพันธุ์ยังมากขึ้นมากกว่ายี่สิบสามสิบเท่า มิเช่นนั้นแมลงพิษเหล่านี้คงไม่มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายก็กลายเป็นปัญหาอันใหญ่หลวงของแดนศักดิ์สิทธิ์”
ชายชราเอ่ยจนมาถึงยามนี้ คำพูดก็หยุดชะงักลงเล็กน้อย ภายใต้การจับตามองของหานลี่ก็เอ่ยต่อทันทีด้วยความหวาดกลัว
“จากข่าวที่ข้าได้รับมาใต้เท้าบรรพชนแรกเริ่มทั้งสามและท่านอาวุโสบรรพชนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ น่าจะต่อกรกับมารดาแมลงที่ผนึก ยามแรกสถานการณ์ดูเหมือนจะไม่เลวร้าย ภายใต้การช่วยเหลือจากผู้ที่แข็งแกร่งของแดนต่างๆ ผนึกของมารดาแมลงก็มั่นคงอยู่ตลอด หวังว่าจะผนึกมันอีกครั้งได้ แต่ยี่สิบกว่าปีก่อน ตรงที่ผนึกกลับสูญเสียการติดต่อกับโลกภายนอกไป ไม่มีข่าวคราวใดๆ ยามนี้ด้านในเกิดเหตุการณ์อันใดกันแน่ กลับไม่มีผู้ใดรู้เรื่องนี้”
“สูญเสียการติดต่อ! จากพละกำลังของบรรพชนแรกเริ่มอย่างพวกเขาประกอบกับผู้ช่วยที่อยู่ในระดับเดียวกันจำนวนมาก จะเป็นไปได้ๆ อย่างไร! ไม่มีผู้ใดไปสืบหาความจริงหรือ?” หลังจากที่หานลี่ขมวดคิ้ว ก็เอ่ยถามอย่างแช่มช้า
“รอจนมีคนพบว่าจุดที่ผนึกสูญเสียการติดต่อไปก็สายไปเสียแล้ว รอบด้านของจุดผนึกมีฝูงแมลงพิษจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ก็สุดจะรู้ได้ ไม่เพียงยึดครองเมืองสองสามแห่งในบริเวณรอบไปจนหมด ยังมีแมลงพิษระดับสูงที่แข็งแกร่งมากปรากฏขึ้นด้วย ว่ากันว่าพละกำลังไม่ด้อยไปกว่าระดับผสานอินทรีย์ทั่วๆ ไป คนนอกไม่อาจบุกเข้าไปในทะเลแมลงแล้วเข้าไปในจุดที่ผนึกได้” ชายชราตอบกลับอย่างไม่คิดเช่นนั้น
“แมลงพิษระดับผสานอินทรีย์! จากความน่ากลัวของมารดาแมลง แมลงพิษระดับสูงเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด แต่โลกภายนอกไม่ใช่ว่ามีสหายบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่ยังไม่เข้าไปในจุดผนึกไม่ใช่หรือ หรือว่าพวกเขาเอาแต่นั่งดูเฉยๆ?” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยถาม
“รายงานท่านอาวุโส ท่านอาวุโสบรรพชนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ มีท่าทีอย่างไรชนรุ่นหลังก็ไม่แน่ใจนัก แต่ไม่เคยได้ยินว่าท่านอาวุโสบรรพชนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ ไปตรวจสอบจุดผนึก ส่วนสาเหตุมันนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่เจ้าเมืองเล็กๆ อย่างชนรุ่นหลังจะทราบได้” ชายชราร่างกายผ่ายผอมตอบกลับพร้อมกับหน้านิ่วคิ้วขมวด
“น่าสนใจนี่ ดูแล้วสหายบรรพชนศักดิ์สิทธิ์คนอื่นๆ คงรู้อันใด มิเช่นนั้นคงไม่เคลื่อนไหวจนถึงยามนี้แน่ ยามนี้ในบรรดาบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่ยังอยู่ ผู้ใดอยู่ใกล้กับเมืองน้ำเต้าดำมากที่สุด?” หานลี่หัวเราะอย่างเย็นชา แต่ก็เอ่ยถามทันใด
“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้เมืองของเรามากที่สุด ก็คือบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนของเทือกเขาหมื่นบุปผา อาวุโสท่านนี้เพิ่งลงมือกวาดล้างฝูงแมลงพิษที่อยู่ใกล้ๆเทือกเขาไปเมื่อสามปีก่อน” ครั้งนี้ชายชราร่างกายผ่ายผอมกลับไม่ลังเลอันใด พลางตอบกลับด้วยเสียงนอบน้อม
“บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียน? เทือกเขาหมื่นบุปผาอยู่ที่ใด เจ้ามีแผนที่หรือไม่?” หานลี่พยักหน้า เอ่ยถามด้วยท่าทีสบายๆ
“มีขอรับ ชนรุ่นหลังเคยไปขอเข้าเฝ้าท่านอาวุโสเซี่ยเหลียนด้วยตัวเอง จึงมีสำเนาแผนที่อยู่” ชายชราร่างกายผ่ายผอมตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และหยิบแผ่นหินขนาดไม่ใหญ่นักออกมาจากเรือนร่างอย่างรู้จักวางตัว พลางส่งให้ด้วยมือทั้งสองมือ
หานลี่ใช้มือหนึ่งกวักเรียก ดูดแผ่นหินเข้ามาอยู่ในมือ หลังจากใช้จิตสัมผัสกวาดผ่านไป ถึงได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“คำตอบของสหาย ข้าพึงพอใจมาก ไม่มีอันใดแล้ว เข้าไปจัดการธุระของตนเองเถิด”
“ขอรับ เช่นนั้นชนรุ่นหลังขอตัวลา” ชายชรารู้สึกผ่อนคลายลง ค้อมตัวลงถอยหลังไปสองสามก้าว แล้วถึงได้ร่อนลงไปด้านล่าง
เผ่ามารระดับสูงที่รออยู่ใกล้ๆ กันพลันเข้ามาหาทันที แล้วติดตามชายชราหายเข้าไปในเมือง
“พวกเราไปกันเถิด ไปพบบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนที่เทือกเขาหมื่นบุปผา!” หานลี่กวาดตามองเมืองน้ำเต้าดำด้านล่างแวบหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างราบเรียบ
อิ๋นเย่ว์และนักพรตเซี่ยย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง
จากนั้นหานลี่พลันเงยหน้าปล่อยรถเหาะเผ่ามารสี่เหลี่ยมสีดำออกมา
หลังจากที่ทั้งสามคนบินขึ้นไปก็กลายเป็นสายรุ้งสีดำสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป
…
หนึ่งเดือนต่อมาเงาร่างของหานลี่และพวกก็มาปรากฏที่เหนือยอดเขาสีเขียวขจีที่แทบจะไม่ต่างกันอันใดกับเทือกเขาในแดนมนุษย์
“นี่ก็คือเทือกเขาหมื่นบุปผา! ทัศนียภาพงดงามมาก บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนผู้นั้นหาสถานที่ได้ดีจริงๆ ทว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้พักอยู่ที่ยอดเขาใด?” อิ๋นเย่ว์ยืนอยู่ด้านหลังหานลี่ หลังจากนั้นกวาดตามองรอบๆ ก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“จุดที่บรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนพักอยู่ในแผนที่คือยอดเขาที่มีนามว่ายอดเขาสู่สวรรค์ อยู่ตรงใจกลางของเทือกเขา” หานลี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็หาบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนผู้นี้ได้ไม่ยาก ทว่าพวกเรารีบร้อนมา ยังไม่ทันได้สอบถามว่าบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซี่ยเหลียนเป็นคนอย่างไร มีอิทธิฤทธิ์อันใดบ้าง คงไม่ได้เป็นคนโหดร้ายหรอกกระมัง!” อิ๋นเย่ว์กลอกตาไปมา แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
“หึๆ ต่อให้เป็นคนชั่วร้ายแค่ไหน ก็ต้องรู้จากปากเขาให้ได้ว่าจุดผนึกเกิดเรื่องอันใดขึ้น เช่นนั้นพวกเราถึงจะรู้ว่าจะทำอย่างไรต่อถึงจะมั่นคงที่สุด แน่นอนหากรู้เบาะแสของท่านอาวุโสม่อเจี่ยนหลีและเอ๋าเสี้ยวก็ยิ่งดีใหญ่” หานลี่เอ่ยอย่างแช่มช้าท่าทางมีแผนการณ์
อิ๋นเย่ว์ได้ยินชื่อของท่านปู่ตน ใบหน้าก็เผยสีหน้ากังวลใจออกมา แต่ก็ยังพยักหน้าอย่างเงียบๆ
“ไปกันเถิด ยอดเขาหมื่นบุปผาไม่นับว่าใหญ่นัก ไปถึงยอดเขาสู่สวรรค์คงเสียเวลาไม่มากนัก”
หานลี่ไม่ได้เอ่ยอันใดให้มากความอีก สะบัดแขนเสื้อกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวสายหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป
อิ๋นเย่ว์และนักพรตเซี่ยเองก็กลายเป็นลำแสงหลีกหนีไล่ตามหลังไป
สองสามชั่วยามต่อมา หลังจากที่ยอดเขาซึ่งเดิมเรียงรายต่อกันไม่ขาดสายแยกออก ยอดเขายักษ์สีขาวสูงตระหง่านเทียมเมฆก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหานลี่และพวกทั้งสาม
ยอดเขานี่สูงสองสามหมื่นจั้ง และยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่สันเขาขึ้นไปล้วนถูกเมฆสีขาวนวลปกคลุม ตั้งแต่สันเขาลงมาถูกหมอกสีดำปกคลุม ด้านในมีพายุหมุนวน และมีเสียงภูตผีกรีดร้องดังแว่วมา
“นี่ก็คือยอดเขาสู่สวรรค์ ท่าทางน่ากลัวจริงๆ”
หานลี่และพวกทั้งสามหยุดลำแสงหลีกหนีอยู่ห่างจากยอดเขายักษ์ไปสิบลี้เศษ เห็นได้ชัดว่าอิ๋นเย่ว์ถูกรูปร่างของยอดเขาทำให้ตกใจจนสะดุ้งโหยง
“เป็นแค่วิธีบดบังสายตาเท่านั้น มีประโยชน์สำหรับเผ่ามารทั่วไป แต่สำหรับข้าและพี่เซี่ยแล้ว จะปิดบังได้อย่างไร!” หานลี่แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบพลางพิจารณายอดเขาสองสามแวบ แต่กลับเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย
“วิธีบดบังสายตา?” แววตาคู่งามของอิ๋นเย่ว์เบิกกว้างขึ้น พิจารณายอดเขาที่อยู่ไกลออกไปอย่างละเอียดอีกสองสามครั้ง ยังคงมองอันใดไม่ออก
หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ฉับพลันนั้นมือหนึ่งพลันร่ายอาคม หว่างคิ้วมีไอสีดำรวมตัวกัน ดวงตาที่สามปรากฏขึ้น
ครู่ต่อมาหานลี่พลันร้องตะโกนต่ำๆ พ่นเสาลำแสงหนาเท่าหัวแม่มือออกมา เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายวับไปจมหายเข้าไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
เสียง “ปัง” ดังสนั่นขึ้น ชั่วขณะนั้นระลอกคลื่นรุนแรงก็ม้วนวนออกมาจากจุดที่อยู่ไกลอกไป
กลางอากาศห่างออกไปสองสามลี้พลันม้วนวนราวกับผิวน้ำ หลังจากที่เลือนรางไปเล็กน้อย ทัศนียภาพทั้งหมดก็เปลี่ยนไป
ยอดเขายักษ์เดิมพลันหายวับไป
กลับเป็นอ่างขนาดใหญ่ร้อยลี้ขึ้นมาแทน ใจกลางมียอดเขางดงามสูงสองสามพันจั้งปรากฏขึ้น
ยอดเขานี้ไม่เหมือนกับยอดเขาก่อนหน้า ผิวมีต้นหญ้าแปลกประหลาดเรียงรายอยู่ และถูกรัศมีลำแสงห้าสีปกคลุมเอาไว้ เผยความงดงามเป็นอย่างยิ่งออกมา
สายตาของหานลี่กลับถูกตำหนักบนยอดเขาดึงดูดเอาไว้
ตำหนักนี้มีขนาดแค่สองสามหมู่ ตัวตำหนักเป็นสีเขียวมรกต คาดไม่ถึงว่าจะดูเหมือนใช้ต้นไม้ที่สดใหม่สร้างขึ้น
“นี่ถึงจะเป็นยอดเขาสู่สวรรค์ที่แท้จริง!” อิ๋นเย่ว์ตกตะลึงไปชั่วขณะ แล้วถึงได้เอ่ยพึมพำอย่างไม่อยากจะเชื่อ
หานลี่ได้ยินเช่นนั้นพลันหัวเราะน้อยๆ ออกมา ยามที่กำลังคิดจะเอ่ยปากตอบอันใดนั้น ก็มีเสียงเย็นชาของสตรีดังออกมาจากยอดเขาที่งดงามลูกนั้น
“สหายผู้ใดให้เกียรติมาเยือนยอดเขาสู่สวรรค์ของข้า เซี่ยเหลียนไม่ได้ออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง หวังว่าจะไม่ถือสา”
สิ้นเสียงสายรุ้งสีเขียวมรกตก็พุ่งออกมาจากตำหนักสีเขียวมรกต หลังจากม้วนวนรอบหนึ่งก็พุ่งมาทางหานลี่
แค่กะพริบวาบๆ ลำแสงหลีกหนีก็หม่นแสงลงอยู่ห่างจากหานลี่และพวกที่ไปสิบจั้งเศษ ลำแสงหลีกหนีหม่นแสงลง หญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวหน้าตาเย็นชาก็ปรากฏกายขึ้น
หลังจากที่หานลี่กวาดสายตาไปบนใบหน้าของหญิงสาวกลับหน้าเปลี่ยนสี แล้วร้องอุทานเสียงหลงออกมา
“เป่าฮวา? ไม่สิ เจ้าไม่ใช่เป่าฮวา!”
หญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวมีหน้าตาคล้ายคลึงกับเป่าฮวามาก แต่เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดกลับพบว่าสีหน้าของหญิงสาวผู้นี้เย็นชาเกินไปหน่อย ไม่เหมือนกับเป่าฮวา
“สหายทั้งสามไม่ใช่คนจากแดนศักดิ์สิทธิ์สินะ มิเช่นนั้นจะจำข้าและ ‘เป่าฮวา’ ผิดได้อย่างไร” หญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวได้ยินคำพูดของหานลี่ แววตาพลันฉายแววเย็นชา แต่เมื่อพิจารณาหานลี่และนักพรตเซี่ยอย่างละเอียดสองสามแวบ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
อิ๋นเย่ว์ได้ยินคำพูดของหญิงสาวผู้นี้ ชั่วขณะนั้นพลันหน้าเปลี่ยนสี
ใบหน้าตกตะลึงของหานลี่กลับฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ หลังจากที่พิจารณาหญิงสาวชาววังสองแวบกลับเอ่ยถามอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อเราสามคนมาหาสหายเดิมก็ไม่คิดจะปิดบังประวัติความเป็นมาของตนเองอยู่แล้ว กลับเป็นสหายเซี่ยเหลียนที่ทำให้ข้าน้อยตกตะลึงไม่น้อย ไม่ทราบว่าสหายเรียกสหายเป่าฮวาว่าอย่างไร?”
“เป่าฮวาคือพี่น้องฝาแฝดของข้า สิ่งมีชีวิตระดับมหายานที่ไม่ทราบเรื่องนี้ เกรงว่าคงมีแต่พวกเจ้าที่มาจากแดนอื่น” หญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นเคร่งขรึมอีกครั้งขณะเอ่ย
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง มิน่าล่ะสหายและเป่าฮวาจึงหน้าตาคล้ายกัน ทว่าจุดประสงค์ที่พวกเรามาสหายเซี่ยเหลียนน่าจะรู้อยู่สินะ” หานลี่พยักหน้าอย่างไม่เกินความคาดหมาย แต่ก็เอ่ยถามพร้อมกับอมยิ้ม
“พวกเจ้าเองก็มาเรื่องจุดผนึกสินะ” หญิงสาวสวมชุดชาววังสีเขียวครุ่นคิดชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้าด้วยความประหลาดใจ