คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality - ตอนที่ 2261 หลิงอ๋อง
- Home
- คัมภีร์วิถีเซียน A Record of a Mortal’s Journey to Immortality
- ตอนที่ 2261 หลิงอ๋อง
หานลี่ยิ้มออกมาอ่อนๆ เหาะขึ้นไปเหมือนกันโดยไม่มีควันของพลังปราณออกมาเลยแม้แต่น้อย เวลานี้ เผ่าวิญญาณขั้นผสานอินทรีย์ทั้งสี่ที่หลงเหลืออยู่ก็ขยับกายเหาะขึ้นไปด้านบนด้วยเช่นเดียวกัน
แต่ทว่าชายชราเคราขาวผู้นั้น กลับแอบมองเงาด้านหลังของหานลี่ด้วยสายตาแปลกๆ หานลี่แม้ว่าจะไม่ได้พูดอะไรออกมาเมื่อครู่ แต่วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากในหมู่เผ่าวิญญาณด้วยกัน จะไม่รู้เกี่ยวกับระดับมหายานคนใหม่ของเผ่ามนุษย์อย่างเขาได้เช่นไร
แม้ข่าวสารพวกนี้โดยส่วนมากจะมาจากนอกเผ่า ล้าสมัยไปแล้วหรือยังคลุมเครือเกินไป แต่เรื่องที่เผ่ามนุษย์ระดับมหายานผู้นี้เคยได้รับบาดเจ็บสาหัสจากยักษาระดับมหายานตนหนึ่ง กลับเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ข่าวเท็จ
สิ่งนี้ย่อมทำให้ชายชราเผ่าวิญญาณท่านนี้หวาดกลัวหานลี่มากขึ้นเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แน่นอนว่ายังมีความสงสัยอยู่มากด้วยเช่นกัน
อันที่จริงแดนวิญญาณมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล แต่ก็ไม่มีผู้ใดเลยที่เพิ่งสามารถเข้าสู่ระดับมหายานแล้วจะสามารถเอาชนะสัตว์ประหลาดโบราณระดับมหายานอื่นๆ ได้
หานลี่ย่อมไม่รู้เกี่ยงกับความเปลี่ยนแปลงในจิตใจของชายชรา และไม่มีความสนใจอันใด อีกทั้งสองเท้าอยู่เหนือพื้นหลายฉื่อ และเหาะอย่างช้าๆ ในขณะเดียวกันก็กวาดตามองตามถนนของภูเขาสองข้างทางไม่หยุด
เขตต้องห้ามที่จัดตั้งขึ้นที่ภูเขาฟู่หลิงครึ่งบนมีจำนวนมาก และมันสูงกว่าจุดสูงสุดของภูเขาด้านล่างเป็นอย่างมาก แต่ส่วนใหญ่ของเขตต้องห้ามถูกล้วนถูกผู้คนทำให้มันหยุดทำงานไปแล้ว
มิฉะนั้นหานลี่และมั่วเจี่ยนหลีถึงแม้จะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรในระดับมหายาน ก็ไม่มีทางที่จะผ่านเส้นทางนี้ไปโดยไร้สิ่งกีดขวาง
ดูเหมือนระยะทางที่เดินทางจะห่างกันไม่กี่พันจั้ง นึกไม่ถึงเลยว่าคนกลุ่มนี้จะใช้เวลาไปถึงอาหารหนึ่งมื้อเต็มๆ
เหมือนว่าความสูงของครึ่งหลังที่ตัดผ่านจุดสูงสุดของภูเขา จะมีมากถึงหนึ่งแสนจั้งเต็มๆ
สีหน้าของมั่วเจี่ยนหลีอดไม่ได้ที่จะแสดงความประหลาดใจออกมา
สีหน้าของหานลี่ไม่แสดงสิ่งใดออกมา แต่เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกทึ่งในใจ
ดูเหมือนว่าภูเขาลูกนี้ นอกจากเขตต้องห้ามตามพื้นผิวพวกนี้เหมือนจะยังมีสิ่งของที่มีพลังลึกลับบางอย่างอยู่ท่ามกลางภูเขา มิเช่นนั้นเมื่อเวลาผ่านไปก็ไม่สามารถเชื่อมต่อด้วยจิตสัมผัสได้
สีหน้าของชายชราเคราขาวและคนอื่นๆ ดูเหมือนปกติอยู่ตลอด เห็นได้ชัดว่าพวกเขาคุ้นเคยกับเรื่องพวกนี้มานานแล้ว
แม้ว่าครึ่งหลังของถนนบนภูเขาจะยาวมาก หลังจากคนกลุ่มนี้ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่ง ข้ามผ่านหมอกบางเบาสีขาวแล้วก็มาถึงที่ยอดเขาสักที
หานลี่เงยศีรษะมองขึ้นไปยังด้านบน มองเห็นแต่เพียงพื้นที่โล่งเตียนขนาดใหญ่ด้านบนยอดเขาฟู่หลิง นอกจากเจดีย์ขนาดใหญ่สูงสามชั้นแล้วก็ไม่มีสิ่งปลูกสร้างอื่นอีก
เหนือประตูใหญ่ด้านหน้าของเจดีย์มีป้ายแขวนอยู่หนึ่งชิ้น บนป้ายมีตัวอักษรสีทองอ่อนขนาดใหญ่ที่ถูกเขียนด้วยพู่กันเขียนอยู่อย่างมีชีวิตชีวาว่า ‘โถงปราณม่วง’
ด้านนอกของเจดีย์ก็โหวงเหวงเหมือนกัน ไม่เห็นเงาคนแม้แต่น้อย
“ผู้อาวุโสทั้งสอง ใต้เท้าหลิงรอพวกท่านอยู่ด้านในแล้ว พวกข้าน้อยมิสามารถเข้าไปได้มากกว่านี้” ชายชราเคราขาวกระแอมไอออกมาเบาๆ แสดงท่าทีนอบน้อมต่อพวกหานลี่ และกล่าวออกมาด้วยความเคารพ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเจ้ารออยู่ข้างนอกก็แล้วกัน” มั่วเจี่ยนหลีไม่ได้พูดอะไรออกมามากมาย หลังจากใช้จิตสัมผัสกวาดสำรวจด้านในของเจดีย์แล้ว เขาก็เดินผ่านประตูใหญ่เข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เมื่อครู่จิตสัมผัสที่ตรวจสอบอย่างลึกซึ้งมีความผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด โถงปราณม่วงนี้ไม่มีความผันผวนของเขตต้องห้ามเลยแม้แต่น้อย นอกจากพลังปราณแปลกประหลาดด้านในที่รู้สึกได้อย่างคลุมเครือแล้ว ก็เป็นเพียงแค่เจดีย์ธรรมดาทั่วไปจริงๆ
เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาย่อมไม่มีความกังวลใดๆ อีกต่อไป หานลี่หัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วเดินตามเข้าไปหลังจากเดินผ่านประตูใหญ่ ด้านในคือห้องโถงขนาดใหญ่ที่กว้างกว่าสี่สิบห้าสิบจั้ง ต้นไม้ดอกไม้ที่อยู่การะถางถูกจัดวางอยู่รอบห้องโถงใหญ่ทั้งสี่ด้าน กระถางมีความสูงหลายฉื่อ ด้านบนเต็มไปด้วยดอกไม้ขนาดใหญ่เท่ากำปั้นหลากหลายสีสัน
ด้านหน้าดอกไม้กระถางหนึ่ง ชายชราในชุดคลุมสีขาวยืนอยู่ตรงนั้นโดยเอามือไขว้ไว้ข้างหลัง เห็นเพียงเงาที่ทอดมายังประตูใหญ่
“นายท่านก็คือนักพรตหลิง!” แววตาของมั่วเจี่ยนหลีบีบลง แล้วพูดออกไปด้วยความเคารพ
“ทั้งสองท่านเดินทางมาไกล มานั่งพักนั่งคุยกันก่อนดีกว่า!” ชายชราในชุดขาวไม่ได้ตอบคำถามออกมาโดยตรง แล้วก็ตอบออกมาโดยไม่ได้หันหน้ามาคุย
“ในเมื่อท่านนักพรตพูดเช่นนี้ ข้าน้อยก็จะขอทำตามคำพูดของท่านแล้ว” มั่วเจี่ยนหลีจ้องมองไปที่แผ่นหลังของชายชราเล็กน้อย บ่นพึมพำเล็กน้อย จึงเดินวางมาดไปนั่งยังเก้าอี้ที่วางไว้อยู่ด้านข้าง
รูม่านตาของหานลี่สั่นไหวเล็กน้อย หลังจากร่างกายเลือนรางลงก็ไปปรากฏยังเก้าอี้อีกตัว หลังจากนั้นจึงใช้ดวงตาคล้ายยิ้มคล้ายมิยิ้มจ้องมองไปที่แผ่นหลังของชายชราในชุดขาวไม่หยุด
“นักพรตทั้งสองโปรดอภัยให้ข้าด้วย ผู้เฒ่าคุ้นชินกับการอยู่คนเดียวจึงสามารถรับแขกได้ด้วยชาสักถ้วยเท่านั้น” รอจนพวกของหานลี่นั่งลงบนเก้าอี้ ชายชราในชุดขาวจึงยิ้มเบาๆ พลางเอ่ยออกมา
สิ้นคำเอ่ยนั้น ประตูอีกด้านหนึ่งก็เปิดออก มีลิงน้อยคนสีขาวจำนวนมากเดินออกมาจากทางด้านนั้นอย่างกระตือรือร้น
พวกมันสูงไม่ถึงครึ่งชุ่น บนตัวมีขนสีขาวราวกับหิมะ ทว่าดวงตามีสีแดงฉานทั้งสองข้าง
ลิงน้อยเหล่านี้บนหัวบ้างมีถาดชา บ้างมีกาน้ำชาและถ้วยชา มือเท้าเคลื่อนไหวอย่างพร้อมเพรียงกัน ในชั่วอึดใจหนึ่งก็นำชาวิญญาณที่มีกลิ่นหอมเป็นพิเศษมารินต้อนรับให้แก่หานลี่และมั่วเจี่ยนหลี
หานลี่กวาดตามองชาวิญญาณนี้เล็กน้อย จึงหยิบยกถ้วยชาขึ้นมาดื่มชาลงไป มั่วเจี่ยนหลีกลับไม่มองชาวิญญาณที่อยู๋ตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย ถามออกไปยังชายชราในชุดขาวอย่างเฉยเมย
“จุดประสงค์ที่พวกข้าทั้งสองมาในครั้งนี้ คิดว่าท่านนักพรตคงทราบดีอยู่บ้างแล้ว”
“ถึงถ้าและนักพรตมั่วจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมานาน แต่นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่พวกเราได้พบหน้ากัน ข้าจะไปรู้ถึงจุดประสงค์ของท่านนักพรตได้อย่างไร” ชายชราในชุดขาวส่งเสียงหัวเราะหึๆ ออกมาในที่สุดก็หมุนตัวกลับมาพูดตอบ
ชายชราผู้นี้มีใบหน้าเปล่งปลั่ง ดวงตาละม้ายคล้ายคลึงกับเต่า ที่มุมของแขนเสื้อปักลวดลายด้วยใบเมเปิลสีม่วงแดงอย่างหรูหรา แต่สีหน้ากลับสงบนิ่งดั่งสายน้ำ
หานลี่และมั่วเจี่ยนหลีตื่นตกใจ แล้วจ้องมองหลิงอ๋องผู้นี้อีกรอบด้วยสายตาไม่คาดฝัน
“ท่านนักพรตไม่รู้จุดประสงค์ของพวกข้าในครั้งนี้ แต่มิทราบว่าที่ท่านเชื้อเชิญพวกนักพรตเซวี่ยหรานมาที่นี่ด้วยเรื่องอันใดกัน” มั่วเจี่ยนหลีแค่นเสียงด้วยอารมณ์ไม่พอใจแล้วถามกลับ
“โอ้ ข้าน้อยเรียกนักพรตเซวี่ยหรานมาที่นี่ในครั้งนี้ หาได้มีเรื่องลับลมคมในอันใดไม่ เพียงแค่ทำข้อตกลงกันเท่านั้น…ทำไม น้องมั่วก็สนใจในเรื่องนี้ด้วยงั้นหรือ!” รูม่านตาของชายชราชุดขาวหดลง แต่ก็ยังตอบกลับมาอย่างสงบเยือกเย็น
“หึๆ เช่นนั้นก็ดี พวกข้าสองคนมาที่นี่ ก็เพราะต้องการทำข้อตกลงกับนักพรตหลิงด้วยเช่นกัน” คราวนี้ถึงคราของมั่วเจี่ยนหลีที่ม่านตาหด แต่ปากพูดออกมาโดยไม่ลังเล
“หึๆ ถ้าอย่างนั้นคงต้องทำให้นักพรตมั่วผิดหวังเสียแล้ว ข้าน้อยติดต่อแต่เพียงคนคุ้นเคย และไม่ได้มีนิสัยที่จะทำข้อตกลงกับคนแปลกหน้า! น้องมั่วเชิญกลับไปเสียเถอะ” ชายชราในชุดขาวหาวออกมาแล้วปฏิเสธโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
มั่วเจี่ยนหลีได้ยินเช่นนี้ พลันตาทั้งสองข้างหรี่ลง ทันใดนั้นเขายกมือขึ้น ลำแสงสีเงินบินพุ่งไปยังฝ่ายตรงข้าม ชายชราชุดขาวไม่ขยับแม้เพียงนิด แต่แสงสีเงินนั้นพุ่งมายังด้านหน้าของเขาในระยะไม่กี่จั้ง แล้วหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศชั่วขณะหนึ่ง
ที่แท้เป็นม้วนคัมภีร์หยกสีเงินเจิดจรัส ที่บนผิวพิมพ์ลวดลายเหมือนกับใบเมเปิลสีม่วงแดงที่อยู่บนแขนเสื้อชองชายชราทุกประการ
ชายชราชุดขาวพลันบังเกิดใบหน้าไม่น่ามองขึ้น เขายกมือขึ้นทันใดนั้นม้วนคัมภีร์หยอสีเงินก็ตกลงมายังมือของเขา หลังจากตรวจสอบอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค่อยๆ พูดอย่างช้าๆ
“ดูเหมือนว่าบรรพชนสือซินจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว เป็นฝีมือเจ้าหรือว่าเป็นฝีมือของหนอนเพลี้ยตัวแม่ตัวนั้น”
“ถึงแม้ว่าหนอนเพลี้ยตัวแม่นั้นจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าด้วยตนเอง แต่ก็มีส่วนเป็นอย่างมาก” มั่วเจี่ยนหลีตอบอย่างสงบ
“งั้นก็ดี ไม่ว่าเจ้าจะได้ของยืนยันชิ้นนี้มาได้อย่างไร เช่นนั้นการทำข้อตกลงในครั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับพวกเจ้าแล้วกัน แต่พวกเจ้าจะได้สมดังใจหวังหรือไม่ ต้องดูที่ความสามารถของพวกเจ้าเอง” แสงสีเงินในมือชายชราชุดขาวสว่างวูบ ม้วนคัมภีร์หยกได้หายไปโดยไร้เสียง ในขณะเดียวกันก็พูดออกมาอย่างสงบ
“เรื่องนี้ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว พวกข้าสองคนมาไม่ได้มาที่นี่เพื่อแสวงหาโอกาสเท่านั้น” มั่วเจี่ยนหลีมีแสงวาบผ่านดวงตา บนในหน้าปรากฏรอยยิ้มสายหนึ่งพลางเอ่ยออกมา
“หึๆ มิใช่ว่าข้าดูถูกนักพรตมั่ว…ด้วยพลังของเจ้าเพียงลำพัง หากต้องการที่จะทำตามข้อตกลงนี้ให้สำเร็จดูเหมือนว่าเกือบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ กลับกันท่านผู้นี่ที่อยู่ข้างๆ เจ้ายังมีโอกาสสองถึงสามส่วนที่จะสามารถทำสำเร็จ นักพรตท่านนี้คงเป็นหานลี่ผู้ที่เพิ่งเป็นที่น่าหวาดหวั่นแก่เผ่าหลายเผ่ากระมัง ที่แท้ก็เทียบไม่ได้เลยกับผู้อาวุโสระดับมหายานทั่วไป” มุมปากของชายชราชุดขาวยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเยาะเย้ยบางเบาสายหนึ่งง แต่หลังจากที่สายตาตกอยู่ที่หานลี่ กลับแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นสองส่วน
“ใต้เท้าหลิงเคยได้ยินชื่อของข้าน้อย ข้ารู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความสนใจจริงๆ ทว่าท่านนักพรตดูหมิ่นพวกข้าเกินไปแล้ว” หานลี่พลันหัวเราะออกมาเล็กน้อย แล้วพูดออกมาอย่างสบายๆ
“ท่านหลิงหวางก็ได้ยินเกี่ยวกับชื่อของคนต่อไปเช่นกัน และข้าก็ปลื้มใจมาก แต่ท่านดูหมิ่นเกินไปเล็กน้อย” หานลี่ยิ้มเล็กน้อยและพูดเบาๆ ในทันใด